เสียงโครมครามคล้ายของแข็งตกกระแทกพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณ
เสียงดังสนั่นนั้นขัดจังหวะการรายงานของเงาทมิฬ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เหลือบมองหน้าต่างด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจว่า ”ว่าต่อสิ”
เงาทมิฬหลุบตาลง ”ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ในสถานการณ์ปกติพ่ะย่ะค่ะ จือฝู่คนนั้นปล่อยตัวเขาโดยไม่ได้ซักถามหรือเรียกร้องอะไรเพิ่มเติม”
ใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปราศจากอารมณ์ใดๆ ขณะรับฟังรายงานจากเงาทมิฬ แต่ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็ขยายออก ”หลังจากนั้นจือฝู่คนนั้นไปไหน”
เงาทมิฬชะงักไปชั่วขณะเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เป็นนายจะถามคำถามนี้ขึ้นมา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงตอบว่า ”ดูเหมือนว่าเขาจะไปที่จวนอ๋องมู่หรงพ่ะย่ะค่ะ”
“สรุปว่าคนที่จูงจมูกบรรดาทหารในเมืองหลวง และก่อเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้นก็คือมู่หรงอ๋องนี่เอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังจะจิบชาหยุดการกระทำของตนไป
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬตอบ
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หลุบลง เงาทมิฬเดาความคิดของผู้เป็นนายไม่ออก ดังนั้นเขาจึงทำเพียงแค่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น และรอรับคำสั่งต่อไปจากเจ้านายของตน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงหยิบพู่กันขึ้นเขียนจดหมาย อันที่จริงสิ่งที่เขาเขียนมีเพียงแค่คำสองคำเท่านั้น จากนั้นเขาก็บอกกับเงาทมิฬว่า ”นำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้กับกองทัพ”
น้ำเสียงเยือกเย็นผิดปกติของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำให้เงาทมิฬตระหนักได้ถึงความสำคัญของจดหมายฉบับนี้ ”ขอรับ” เขาขานรับคำสั่งอย่างขึงขังก่อนจะกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง เงาทมิฬไม่รู้ว่าผู้ชายที่อยู่นอกห้องกำลังจะซุ่มรอจังหวะทำร้ายองค์ชายสามอยู่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
มีเสียงเคาะประตูอย่างผิดปกติดังมาจากนอกห้อง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาวางม้วนกระดาษในมือลง แล้วเดินตรงไปที่ประตู จากมุมนี้เขาดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งยิ่งกว่าที่เคยเสียอีก
เขาเปิดประตู และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือลูกศิษย์คนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก
แต่ดูจากชุดของชายคนนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็สามารถบอกได้ว่าเขาก็เป็นศิษย์ของสำนักไท่ไป๋เช่นกัน
ทันใดนั้นลูกศิษย์คนนั้นก็กระตุกยิ้มขึ้น ริมฝีปากที่โค้งขึ้นของเขานั้นดูแปลกประหลาดและน่าขนลุก ”ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก ที่หอชั้นเลิศมีคนตายอีกแล้ว ท่านเจ้าสำนักสั่งให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่หอน้ำชา รีบตามข้ามาเร็วเข้า”
ขณะที่ศิษย์คนนั้นพูด เขาก็พยายามยื่นมือออกมาหมายจะจับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลบมือของศิษย์คนนั้นได้อย่างรวดเร็ว
ศิษย์คนนั้นชะงักไป เห็นได้ชัดว่าเขาคงนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอเข้ากับคนที่สุดแสนจะเย็นชาอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
อาจเป็นเพราะลูกศิษย์คนอื่นๆ ไปรวมตัวกันที่หอน้ำชา ดังนั้นทั่วทั้งหอพักจึงเหลือเพียงความเงียบงันอันชวนขนหัวลุก เสียงเดียวที่ลอยอยู่ในอากาศคือเสียงฝีเท้าและเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของพวกเขาเท่านั้น
นานๆ ครั้งจึงจะมีสายลมพัดเข้ามาสักหน
แต่ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
มันเป็นเครื่องยืนยันว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะออกไปพร้อมกับศิษย์คนนั้น
สุดท้ายลูกศิษย์คนนั้นก็หมดความอดทน เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ”ยุ่งยากจริง ในเมื่อเจ้าไม่อยากมากับข้า เช่นนั้นข้าก็จะกำจัดเจ้าที่นี่เลยแล้วกัน!”
“เจ้าจะกำจัดอะไร กำจัดตัวเองรึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ราวกับว่าฝนที่ตกอยู่สร้างความกังวลให้กับเขาได้มากกว่าลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
แม้จะเป็นสัตว์อสูร แต่เขาก็งุนงงกับท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาถอดหมวกออกด้วยความเดือดดาล เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด และเส้นผมสีดำลอยสยายอยู่ในอากาศได้แม้จะไม่มีสายลม เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอันมาดร้าย ”นานแล้วที่ข้าไม่ได้เจอคนโง่เขลาเช่นเจ้า แต่ช่างมันเถอะ ในไม่ช้าเจ้าก็จะได้รู้เองว่าการตัดสินใจอันโง่เขลาของเจ้าจะพาเจ้าไปเจอกับอะไร!”
“เช่นนั้นรึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่แยแส เขาดูไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ดูเหมือนตัวตนของลูกศิษย์คนนี้จะไม่ส่งผลกระทบอันใดกับเขาเลยแม้แต่น้อย
แม้ลูกศิษย์คนนั้นจะยังคงมีรอยยิ้มชวนขนลุกอยู่บนใบหน้า แต่เขาก็รู้สึกสับสนทีเดียว สำหรับเขาแล้วไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นแตกต่างไปจากมนุษย์คนอื่นๆ ที่เขาเคยเจอมา
ปกติแล้ว ป่านนี้มนุษย์ทุกคนคงได้ทิ้งตัวลงไปนั่งคุกเข่าแล้วร้องขอความเมตตาจากเขาแล้วด้วยซ้ำ…
ช่างเถอะ ชายผู้โง่เขลาคนนี้คงยังตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของเขาไม่ได้!
ลูกศิษย์คนนั้นกัดฟัน ทันใดนั้นพลังงานสีดำสนิทก็ทะลักออกมา ก่อนจะค่อยๆ คลุมร่างของเขาเอาไว้ จากนั้นปากและจมูกของเขาก็หายไป เหลือไว้เพียงรูกลวงๆ บนใบหน้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถูหน้าผากของตัวเองเบาๆ พลางยิ้มออกมา แต่ดวงตาของเขากลับเย็นชายิ่งกว่าในตอนแรก ”ก่อนที่เจ้าจะพยายามกินข้า ข้ามีคำถามจะถามเจ้าข้อหนึ่ง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเหยื่อล่ออยู่ เจ้ากล้าดีเสียจริงที่มาเล่นกับเหยื่อล่อเช่นนี้ หึๆ!”
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้น ลูกศิษย์คนนั้นก็ถึงกับก้าวถอยหลังไป สัตว์อสูรจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาเหลือเชื่อ ”เจ้า… เจ้าเป็นใคร”
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นเขาได้
หากเป็นเขา ข้าคงถูกเปิดโปงไปนานแล้ว
และค่ายกลเนินคนตายนั่น… เขาก็คงสามารถแก้มันได้นานแล้วด้วย!
แต่ ทำไมดวงตาของเขา…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองลูกศิษย์คนนั้นจากมุมสูงอย่างเงียบๆ ฟันขาวสะอาดปรากฏให้เห็นเล็กน้อยบนใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขา เขาก้าวเข้าไปหาลูกศิษย์คนนั้นอย่างไม่รีบร้อน
ร่างสูงเพรียวในเสื้อสีขาวเผยกลิ่นอายอันโหดเหี้ยมเย็นชาออกมา
ทันทีที่เห็นเช่นนั้น ลูกศิษย์คนนั้นก็แทบอยากจะหนีไปจากที่นี่ทันที
แต่แล้วเขาก็ถูกชายคนนั้นหยุดเอาไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ชายหนุ่มแยกสัตว์อสูรออกมาจากกายเนื้อของลูกศิษย์คนนั้นอย่างไร้ความปรานี
คราวนี้ สัตว์อสูรครึ่งปีศาจหวาดกลัวสุดหัวใจ มันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพุ่งตัวเข้าไปในหมอกหนา อย่างน้อยมันก็ต้องไปบอกให้ผู้เป็นนายรู้ถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ชายคนนั้นจะกลับมา!
แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้กระดิกตัวแม้แต่นิ้วเดียว มันก็ถูกความร้อนถาโถมเข้าใส่
ความเจ็บปวดที่ดูเหมือนจะมีต้นตอมาจากเส้นเลือดของมันเองท่วมเข้ามาหาและกลืนกินทั่วร่างของมันอย่างรวดเร็ว!
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็มาถึงที่เกิดเหตุ และได้เห็นฉากนองเลือดนั้นเข้าพอดี
มือของชายหนุ่มเปรอะไปด้วยเลือด ขณะที่เส้นผมสีดำของเขาลอยสยายอยู่ในอากาศ เส้นผมที่ยาวถึงเอวนั้นทำให้เขาดูเหมือนเทพแห่งความมืด เขาดูงดงามมากเสียจนสามารถดึงดูดทุกสายตาของคนที่อยู่ในห้องได้ ภายใต้ดวงตาคู่นั้นคือสายตาเย้ยหยัน ความโหดร้ายป่าเถื่อนของเขาแสดงออกมาให้เห็นผ่านทางริมฝีปากชวนลิ้มลองที่สามารถสะกดใจใครต่อใครได้ แต่ก็ยังทำให้สัตว์อสูรทุกตนที่ซ่อนตัวลึกอยู่ในสำนักหวาดผวาได้เช่นกัน
ภายใต้แสงสว่าง ใบหน้าของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้สีหน้าเป็นธรรมชาติแต่ก็เย็นชานั้นแทบจะสมบูรณ์แบบทีเดียว
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ เขารีบซ่อนมือของตัวเองเอาไว้ด้านหลังราวกับคนมีความผิด
หึ! ช่างน่าขันสิ้นดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้หยิ่งผยองมาตลอดอย่างเขา มาตอนนี้กลับกลัวจะถูกนางตัดสินเอาเสียได้
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ต้องการให้เหยื่อของตนได้เห็นความโหดเหี้ยมไร้หัวใจของตนเช่นนี้…
“ท่านไม่เป็นไรนะ” เขาได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยที่แฝงไปด้วยความกังวลดังขึ้นในขณะที่นางรีบเดินเข้ามาหาเขา
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดลงที่เฮ่อเหลียนเวยเวย และทันใดนั้นความดุร้ายที่อยู่ในดวงตาของเขาก็พลันหายไป เขาสงสัยจริงๆ ว่านางเห็นอะไรไปมากเพียงใด
แต่นางกลับเดินเข้ามาหาเขาโดยไม่ลังเล ก่อนที่จะสัมผัสตัวเขา จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”ถ้าเราว่างเมื่อไหร่ ลองลงประลองกระชับมิตรกันบ้างดีไหม”
นางพูดออกมาจากใจ เมื่อได้เห็นความโหดเหี้ยมขององค์ชายในตอนที่เขากำจัดสัตว์อสูรด้วยมือเปล่าแล้ว นางก็อยากจะทดสอบขีดจำกัดความแข็งแกร่งของเขาผ่านการประมือกับเขา นางอยากรู้จะตายอยู่แล้วว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลอบยิ้มมุมปากออกมา
หากเป็นคนธรรมดาละก็ หลังจากได้เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนของเขา คนพวกนั้นก็คงจะคิดว่าเขาเป็นอสุรกายไปแล้ว
แต่นางกลับเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น เด็กสาวคนนี้กลับอยากสู้กับเขาแทน
“เอาสิ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอยากไม่ใส่ใจ ”จะเดิมพันด้วยอะไรล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบว่า ”แล้วแต่ท่านเลย” นางอยากลองสู้กับองค์ชายยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องหน้านาง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของเขา เขาเอ่ยด้วยสายตาซุกซนว่า ”คนที่แพ้จะต้อง… อุ่นเตียงให้อีกฝ่าย”