เมื่อนางเดินมาจนถึงมุมที่ร้างผู้คน
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถูกอวิ๋นปี้ลั่วขวางทางเอาไว้
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีอารมณ์ที่จะสร้างความบันเทิงให้กับนาง นางมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า ”ไสหัวไป”
สีหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วเปลี่ยนไป นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า ”ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะปล่อยให้ฝ่าบาทเสี่ยงชีวิตเพื่อคุณชายเฮยได้” นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ ”คนที่บอกให้ฝ่าบาทเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้คือเจ้าใช่ไหม ถ้าไม่อย่างนั้นมีหรือที่คุณชายเฮยจะถูกปล่อยตัวเร็วถึงเพียงนี้”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อยาวแน่น แต่ดวงตาของนางกลับกระจ่างใสและมีสติแจ่มชัด
อวิ๋นปี้ลั่วลดเสียงลง ”ฝ่าบาทเล่าเรื่องระหว่างเขากับเจ้าให้ข้าฟังหมดแล้ว รวมถึงเรื่องข้อตกลงนั้นด้วย การจะขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาทนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่เจ้าไม่คิดหรือว่าคราวนี้เจ้าขอมากเกินไป”
“พูดจบหรือยัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตอบนาง แล้วเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มอย่างกระหายเลือด ”ถ้าพูดจบแล้วก็ไสหัวไป”
อวิ๋นปี้ลั่วเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเสียใจ ”เราสองคนต่างก็รู้ว่าสิ่งที่เงาทมิฬพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร มู่หรงอ๋องต้องการสังหารฝ่าบาท แล้วยึดตำแหน่งเขา อีกไม่นานข้ากับฝ่าบาทก็จะได้อยู่ด้วยกัน ข้าไม่อยากให้เขาต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพียงเพราะข้อตกลงที่เขาเคยทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าถ้าเป็นไปได้ เจ้าจะยอมไปจากเขาเสีย นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่ฝ่าบาทจะสามารถปลดเปลื้องภาระนั้นออกไปได้…”
นางเดินหายเข้าไปในฝูงชนทันทีที่พูดจบ และไม่คิดที่จะหันกลับมามองปฏิกิริยาของเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกเลย
เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่มีทางรับมือกับความกดดันในตอนนี้ได้ ดังนั้นนางจะต้องเลือกที่จะไปจากที่นี่อย่างแน่นอน…
ตึง!
เสียงนั้นเกิดจากลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยากจะออกไปจากที่นี่ แต่ก็ถูกทหารเหล่านั้น ‘เชิญ’ กลับมานั่นเอง
พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลังปราณของพวกตน
แต่แล้วในที่สุดพวกเขาก็ตั้งสติได้เมื่อเห็นคนของจือฝู่คนนั้นกลับมาจากบ่อน้ำ ทุกคนถูกฤทธิ์ของผงสลายพลังเข้าให้เสียแล้ว แม้ปริมาณของมันมีเพียงเล็กน้อย และไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต แต่มันก็เตือนให้พวกเขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถใช้พลังปราณได้
ที่ด้านนอกของสำนัก จือฝู่คนนั้นวางกลยุทธ์เอาไว้รอบด้าน แม้ว่าพวกเขาจะนั่งอยู่ในห้อง แต่ยังได้ยินกระทั่งเสียงกีบม้าที่ดังมาจากเนินเขาเลยด้วยซ้ำ มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้ามาใกล้เพียงใดแล้ว!
บรรดาองครักษ์เงายังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์แม้ว่าพวกตนจะได้รับบาดเจ็บอยู่ พวกเขากระจายกำลังกันออกไปประจำทั่วทุกมุมของหอพัก และสังเกตการณ์ศัตรูจากจุดที่ได้เปรียบมากกว่าของหอพัก
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่คนที่ประมาทพวกเขาย่อมได้ถูกลูกถีบของพวกเขาจัดการจนสะบักสะบอมเป็นแน่
นี่คือพลังขององครักษ์เงาทั้งสิบแปดนาย
แต่พวกเขาไม่ได้รับข่าวอะไรจากกองทัพกลับมาเลยแม้แต่ข่าวเดียว
จดหมายทุกฉบับที่พวกเขาส่งไปไร้การตอบรับ
ที่เมืองหลวงยังมีคนของเขาอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่คนพวกนั้นก็อยู่ห่างไกลเป็นอย่างมาก ต่อให้ตอนนี้พวกเขารู้ข่าวแล้ว แต่ก็คงมาถึงที่นี่ไม่ทันเวลา
จือฝู่คนนั้นยังไม่ได้สั่งให้เริ่มลงมือจู่โจม เพราะเขารู้ว่าต่อให้มีคนไปจากที่นี่ แต่องค์ชายสามก็จะไม่มีทางจากไป
ต่อให้เขาจะมีพลังปราณสูงส่งกว่าคนธรรมดา แต่ก็ใช่ว่ามันจะมีความหมาย
องค์ชายจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินนี้ในอนาคตได้อย่างไรหากเขาทอดทิ้งราษฎร และหนีไปก่อนสงคราม
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนจะต้องถ่มน้ำลายรดเขาแน่หากเขาหนีไป ใบหน้าของเขาคงได้เปรอะไปด้วยน้ำลายอย่างแน่นอน
พวกเขาวางแผนการทุกอย่างเอาไว้ก่อนจะเข้าล้อมภูเขาแห่งนี้ ทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นล้วนแต่มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการต้อนองค์ชายสามให้จนมุม!
ต่อให้เขารอดชีวิตไปได้ แต่เขาก็จะไม่มีหนทางออกไปจากที่นี่!
เมื่อเห็นสถานการณ์ในเวลานี้ อวิ๋นปี้ลั่วก็รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น สถานการณ์แย่กว่าที่นางคิดเอาไว้ กองทัพของศัตรูกำลังจะมาถึง และพวกนางไม่มีแม้แต่กำลังเสริม หมายความว่าทางออกเดียวที่มีก็คือ… ความตาย!
ตอนที่นางบอกให้คุณชายจับตัวเฮยเจ๋อไป นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้
ไม่ได้การ
นางต้องแนะนำให้องค์ชายออกจากสำนักและลงจากเขาเดี๋ยวนี้!
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งอยู่ด้านนอก บรรดาลูกศิษย์ของสำนักต่างก็พากันมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหมือนกับฝูงนกที่แตกตื่นเพราะเสียงธนู
แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะมีพลังปราณ แต่พวกเขาก็ไม่เคยเข้าร่วมสงครามมาก่อน
ในหมู่คนพวกนี้ มีคุณหนูจำนวนไม่น้อยที่ทั้งชีวิตรู้จักแต่เพียงความสุขสบาย
พวกนางมักจะต้องมีคนคอยช่วยพาเดิน และไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
พวกนางต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับวันอันโหดร้ายนี้ และแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ”องค์ชาย รีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าเพคะ ถ้าพวกเรามัวแต่อยู่เฉยเช่นนี้ก็คงจะไม่ได้การนะเพคะ หากพวกเขาผ่านประตูสำนักเข้ามาได้ เห็นทีการที่พวกเราจะออกไปจากที่นี่นั้นคงจะยิ่งลำบากกว่านี้มากนัก”
“ใช่แล้วเพคะ องค์ชาย! พวกเราไปกันเดี๋ยวนี้เลยดีกว่าเพคะ! จือฝู่คนนั้นจะกล้าสักเพียงใดกันเชียว!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มแสดงความเห็นออกมา อวิ๋นปี้ลั่วก็ลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า ”ฝ่าบาท หม่อมฉันเข้าใจว่าท่านเป็นห่วงศิษย์ในสำนักที่ท่านไม่สามารถพาไปด้วยได้ แต่ตอนนี้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้คือการหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาคืนพวกเขาก็ยังได้นะเพคะ ท่านเป็นองค์ชายของราชวงศ์หวงอันยิ่งใหญ่ หากมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นกับท่าน ผู้คนที่คอยช่วยเหลือท่านมาตลอดหลายปีจะมีจุดจบเช่นใดหรือเพคะ ตลอดหลายปีมานี้ท่านวางสายลับเอาไว้กี่คน ท่านไม่ได้กำลังรอวันที่จะได้นั่งบนบัลลังก์อยู่หรอกหรือเพคะ ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของจักรวรรดิจ้านหลงเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องแบกรับเอาไว้ในอนาคต ท่านยินดีจะยอมตายที่ภูเขาชิงหลงแห่งนี้จริงๆ หรือเพคะ”
“พี่อวิ๋นพูดถูกแล้ว พวกเราแค่พาคนจากหอชั้นเลิศและหอชั้นเยี่ยมไปก็พอ ทิ้งคนจากหอที่เหลือเอาไว้ พวกเขาย่อมพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อรับใช้องค์ชายแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองแน่นอนเพคะ อย่างไรในอนาคตพวกเขาส่วนมากก็จะต้องเข้าร่วมสงครามอยู่แล้ว องค์ชายจำเป็นต้องใช้พวกเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่างไรต่อให้พวกเขาต้องเสียสละ มันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ยิ่งกว่านั้นพวกนางก็จะได้หนีไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดเอาไว้เสียหน่อย
มันเป็นเพียงแค่ความคิดเพ้อฝันของขุนนางต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น
บริเวณรอบๆ ภูเขาชิงหลงมีขุนนางอยู่ตั้งมากมาย ดังนั้นต่อให้กองทัพปฏิเสธที่จะส่งทัพของตัวเองมา แต่ก็จะต้องมีใครสักคนมาที่นี่เพื่อปกป้ององค์ชายทันทีที่พวกนางไปถึงเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ต่อให้คนพวกนั้นจะไม่รู้ที่ต่ำที่สูง แต่พวกเขาก็คงไม่กล้าทำร้ายองค์ชายสาม
ต้องบอกว่าบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมักจะคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่นอยู่เสมอ
ในเมื่อกองทัพปฏิเสธที่จะส่งทัพมาช่วย แล้วพวกนางจะไปถึงเมืองหลวงในสภาพเต็มร้อยได้อย่างไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองคนโง่เขลาเหล่านั้น แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเสแสร้ง ”เงาทมิฬ ในเมื่อคนพวกนี้อยากออกไปนัก เช่นนั้นก็ส่งพวกเขาออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬหลุบตาลง แล้วปรายตามองบรรดาคุณหนูเอาแต่ใจพวกนั้น เขาอดส่ายหน้ากับตัวเองในใจไม่ได้ คนพวกนี้ช่างน่าสิ้นหวังเสียจริง พวกนางไม่รู้หรือว่าคนกลุ่มแรกที่หนีออกจากเมืองในระหว่างสงครามมักจะตายด้วยวิธีการอันน่าอนาถที่สุดเสมอ!
วิธีการขององค์ชายยังคงเด็ดขาดเช่นเคย
“ข้าไม่ไป” อวิ๋นปี้ลั่วช้อนดวงตาคู่งามที่เอ่อท้นไปด้วยน้ำตาขึ้นมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเล็กน้อย ”ไม่ว่าคราวนี้จะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่าน และปกป้อง…”
อวิ๋นปี้ลั่วไม่อาจพูดต่อได้อีกเพราะดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่จ้องมองมานั้นทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
ความเย็นชาสูงส่งนี้ยิ่งทำให้เขาดูเหนือกว่าใคร และแม้ว่าดวงตาของเขาจะไร้อารมณ์ แต่นางก็มองเห็นความเย้ยหยันที่อยู่ภายในนั้นได้อย่างง่ายดาย
ตอนนั้นเองที่องครักษ์เงานายหนึ่งปรี่เข้ามาจากด้านนอก แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าพระชายาจะไปจากที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”