เรื่องที่มีคนขอหู่พั่วหมั้นหมาย ซิ่วหยวนก็ได้ยินมาเช่นกัน
แต่นางไม่ได้เก็บเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ
บรรดาคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หู่พั่วเป็นสาวใช้ข้างกายสืออีเหนียงที่มีอำนาจมากที่สุด ใครได้แต่งกับหู่พั่วก็จะสามารถไต่เต้าตำแหน่งได้สบายๆ ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่กำลังจับตาดูอยู่ และสืออีเหนียงเองก็รักและเอ็นดูหู่พั่วเสมอมา หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปเกรงว่าจะไม่อนุญาตให้หมั้นหมาย ต้องเป็นคนที่มีอนาคตสว่างไสว แต่สำหรับหงซิ่ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีที่พึ่งที่แข็งแกร่งเหมือนกับหู่พั่ว แต่นางก็ทำงานอยู่ในเรือนหลัก ไม่ต่างอะไรกับหู่พั่วและชิวหง เป็นสาวใช้ข้างกายของอี๋เหนียงเช่นกัน แต่หู่พั่วกับชิวหงกลับมีความแตกต่าง เหวินอี๋เหนียงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในจวน และเกิดในสกุลเหวินเมืองหยางโจว มีทรัพย์สมบัติมากมาย แม้ว่าจะไม่สามารถอยู่ในจวนต่อไปได้ แต่ก็ยังสามารถไปขออาศัยสกุลเหวินได้ แต่ว่าตนไม่มีใครเป็นที่พึ่ง ไม่มีเงินเก็บ ขนาดเฉียวอี๋เหนียงก็ยังถูกสืออีเหนียงส่งไปปฏิบัติที่อารามเพราะไม่เชื่อฟัง ใครจะกล้าไปล่วงเกินหู่พั่ว…ไม่แน่หากทำให้สืออีเหนียงไม่พอใจ อาจจะต้องให้ชดใช้โดยการกลายเป็นคนตาบอดหรือคนพิการก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
จูหรุ่ยชะเง้อมองอยู่ที่ประตู
“มีอะไรหรือ” ซิ่วหยวนวางเข็มกับด้ายในมือลง “ไม่เป็นโล้เป็นพายเลยสักคน”
จูหรุ่ยเดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “พี่ซิ่วหยวน วันนี้อี๋เหนียงทานโจ๊กแค่ชามเดียวกับผักเครื่องเคียงจานเล็กอีกแล้ว”
ซิ่วหยวนได้ฟังแล้วก็มีสีหน้าหม่นหมอง วางเข็มกับด้ายในมือลงแล้วไปที่ห้องของเฉียวเหลียนฝัง
ผมสีดำขลับของเฉียวเหลียนฝังถูกมวยขึ้นอย่างเรียบร้อย สวมเสื้อแขนยาวสีขาวนวลจันทร์ที่ยังดูใหม่อยู่ ท่าทางซูบผอมกว่าตอนตรุษจีนเล็กน้อย เริ่มเห็นโครงหน้าชัดเจน ดวงตากลมโตดูโดดเดี่ยว ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
อาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะยังไม่ได้ถูกเก็บออกไป
ซิ่วหยวนเหลือบมอง ยิ้มพลางเดินเข้าไปเรียกนาง “อี๋เหนียง” แล้วอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ไอ๊หยา วันนี้บ่าวให้ห้องครัวทำเต้าหู้ใส่ไข่ให้ท่านโดยเฉพาะ ทำไมท่านไม่แตะเลยสักนิดเล่า หรือว่าคนครัวทำมาไม่อร่อยเจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังวางชามลง “วันนี้ไข่มีกลิ่นคาวมาก”
สองวันก่อนก็บอกว่าเนื้อมีกลิ่นแรง เมื่อวานก็บอกว่าปลามีกลิ่นคาว วันนี้แม้แต่ไข่ก็มีกลิ่นคาว…นางครุ่นคิดอยู่ในใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ให้คนครัวตุ๋นไก่ดีหรือไม่เจ้าคะ!”
เฉียวเหลียนฝังไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ลุกขึ้นแล้วไปที่ห้องด้านใน
“ข้าขอชาสักถ้วย!” นางกำชับซิ่วหยวน ไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่าง เปิดดูคัมภีร์พระสูตรที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างตั้งใจ
ซิ่วหยวนวางชาไว้ข้างมือเฉียวเหลียนฝังเบาๆ สายตาของเฉียวเหลียนฝังจับจ้องไปที่คัมภีร์ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
จูหรุ่ยมองซิ่วหยวนด้วยความกังวลใจ
เฉียวเหลียนฝังไม่แตะเนื้อสัตว์มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ทุกวันจะตื่นแต่เช้าแล้วเข้านอนแต่หัวค่ำ เวลาว่างก็จะอ่านคัมภีร์หรือไม่ก็คัดลอกคัมภีร์ เหมือนผู้ที่ปฏิบัติธรรมในเรือน ทำให้พวกนางรู้สึกตกใจ
ซิ่วหยวนก็หมดปัญญาจึงได้ถอยออกมา ชิมเต้าหู้ใส่ไข่ด้วยความไม่เชื่อว่าไข่ไก่มีกลิ่นคาว
ทั้งนุ่มทั้งลื่น อร่อยเป็นอย่างมาก ไม่เห็นจะมีกลิ่นคาวเลยสักนิด
“พี่ซิ่วหยวน จะทำอย่างไรดี!” จูหรุ่ยที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยความเป็นกังวล “พวกเราพูดเรื่องในจวนดีหรือไม่ ไม่แน่พออี๋เหนียงได้ฟังอาจจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา…”
“เช่นนั้นไม่สู้ไม่พูดจะดีกว่า” ซิ่วหยวนไม่เห็นด้วย “ป้าเถาถูกฮูหยินให้ไปอยู่ที่หมู่บ้าน คนที่เคยเป็นผู้ดูแลในเรือนของฮูหยินสี่คนก่อนถูกเปลี่ยนเป็นคนของไท่ฮูหยิน ข้าวของเครื่องใช้ก็ถูกเก็บจนหมด…ไม่พูดจะดีกว่า เกรงว่าหากพูดให้ฟังในใจของอี๋เหนียงจะแย่ลงกว่าเดิม”
“ไม่ใช่เรื่องนี้!” จูหรุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ข้าหมายถึงท่านโหว…”
ซิ่วหยวนประหลาดใจ “ท่านโหว? ท่านโหวเป็นอะไร”
“ข้าได้ยินป้าเถียนบอกว่าประมาณเดือนหกฮูหยินจะอาการดีขึ้น” จูหรุ่ยพูดเสียงเบา “เมื่อถึงเวลานั้นท่านโหวก็จะไม่เอาแต่อยู่ที่เรือนของฮูหยินทุกวันแล้ว ฮูหยินก็ไม่ได้หาสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหว เมื่อถึงเวลานั้นอี๋เหนียงของพวกเราก็จะมีโอกาส!”
ซิ่วหยวนได้ฟังก็ใจเต้นแรง เงยหน้าขึ้นกำลังจะถามอย่างละเอียด กลับเห็นเฉียวเหลียนฝังยืนอยู่หน้าผ้าม่านอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่านางมาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน
“อี๋เหนียง!” ซิ่วหยวนกับจูหรุ่ยหยุดบทสนทนาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย การแอบพูดลับหลังเช่นนี้ทำให้พวกนางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
เฉียวเหลียนฝังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ได้เวลาไปคารวะฮูหยินแล้ว!”
จูหรุ่ยตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วรีบตามไป
ตอนที่พวกนางไปถึง เหวินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียง และหยางอี๋เหนียงต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว
เฉียวเหลียนฝังย่อเข่าคำนับ ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้จิ่นอู้ที่เหลือว่างไว้ให้นางอย่างเงียบๆ ฟังเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงพูดคุยกับสืออีเหนียง
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านโหวบอกว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางยามอิ๋น ให้ท่านจัดหาป้ารับใช้ที่ไหวพริบดีไว้ข้างกายคุณชายน้อยสี่ขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้า บ่าวรับใช้ถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ฉินอี๋เหนียงนับวันดูแล้ว พรุ่งนี้พิธียี่สิบเอ็ดวันของหยวนเหนียงก็จะเสร็จสิ้น สวีซื่อจุนจะต้องไปจุดธูปให้หยวนเหนียง
สืออีเหนียงส่งป้าซ่งไป
สวีลิ่งอี๋กับสวีซื่อจุนใช้เวลาอยู่ที่วัด กระทั่งพลบค่ำกว่าจะได้กลับจวน
สวีซื่อจุนไปยังเรือนเก่าของหยวนเหนียง
ใบของต้นตงชิงที่ลานทั้งหนาและเขียวชอุ่มเช่นเคย แต่ของมีค่าอย่างไข่มุกและเครื่องประดับระยิบระยับในเรือนนั้นได้หายไปแล้ว เหลือเพียงข้าวของเครื่องใช้สีดำและชั้นวางสมบัติสีดำที่ว่างเปล่า ข้างๆ มีม่านสีน้ำเงินที่ยังใหม่อยู่ถูกปลดลง ทำให้ห้องที่เคยสว่างไสวดูมืดครึ้มลง ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป ทั้งห้องราวกับสาวงามที่ล้างเครื่องแต่งหน้าออกในตอนพลบค่ำ สูญเสียความสว่างไสวและดูโทรมในทันที
สวีซื่อจุนยืนอยู่กลางห้องโถง เหม่อมองห้องที่ว่างเปล่า นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
ป้าวังอธิบายเสียงเบาอยู่ข้างๆ “ฮูหยินสี่บอกว่าสิ่งของเหล่านั้นมีค่าเป็นอย่างมาก และเป็นของที่ท่านแม่ของท่านเหลือทิ้งไว้ หากหายขึ้นมาชิ้นหนึ่งจะแย่เอาได้ จึงให้พวกเราเก็บไว้ในคลัง รอให้ซื่อจื่อแต่งงานก่อนแล้วค่อยมอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
ของดีเช่นนี้จะต้องมีคนโลภอยากได้อย่างแน่นอน
สวีซื่อจุนพยักหน้าแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดในใจกลับรู้สึกทรมานเล็กน้อย
เขายืนนิ่งอยู่หน้ารูปวาดครึ่งตัวของมารดาอยู่นานไม่ยอมขยับตัวไปไหน
******
หลังจากทานอาหารเย็นที่เรือนไท่ฮูหยินเรียบร้อย ทุกคนก็ไปนั่งดื่มชาที่ห้องปีกตะวันตก สวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องที่สวีซื่อฉินจะไปปีนเขา “…ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้งามสะพรั่ง อวี้เกอก็มีเรื่องดีเช่นนี้ การที่พวกเจ้าบรรดาพี่น้องปรึกษากันเรื่องการเฉลิมฉลองก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มเรื่องมงคล เพียงแต่ว่าในบรรดาพี่น้องอย่างพวกเจ้ามีทั้งเด็กโตและเด็กเล็ก สำหรับจุนเกอกับเจี้ยเกอแล้ว การปีนเขานั้นเหนื่อยเกินไป ข้าว่าให้อาจารย์จ้าวไปเรือนนอกที่ซีซานเป็นเพื่อนพวกเจ้าหนึ่งวันก็พอแล้ว ฉินเกอและคนอื่นๆ อยากจะไปปีนเขาก็ไปปีนเขา จุนเกอกับเจี้ยเกอเด็กน้อยสองคนก็เล่นอยู่ในเรือน”
สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจและผิดหวังเล็กน้อย
ที่ประหลาดใจก็เพราะไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ซ้ำยังจัดแผนการเดินทางอย่างเคร่งครัด เดิมทีพวกเขาเตรียมจะอ้างว่าจะไปเยี่ยมสหายร่วมชั้นเรียนของสวีซื่ออวี้ แล้วแอบออกไปเที่ยวเล่นหนึ่งวัน แต่ที่ผิดหวังก็คือเรื่องนี้ไม่เพียงแค่ถูกสวีลิ่งอี๋รู้เข้า ซ้ำยังจัดเตรียมให้อาจารย์จ้าวซึ่งเป็นผู้ให้วิชาความรู้ไปเป็นเพื่อนพวกเขาด้วย เมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องอยู่ในกฏระเบียบ ยังจะมีอิสระอะไรอีก แต่เมื่อสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงก้มหน้าตอบตกลง “ขอรับ”
สวีซื่อจุนกลับรู้สึกปิติยินดี รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดกับท่านแม่นั้นได้ผล ยังไม่ทันรอให้คนที่ดื่มชาแยกย้ายกันไป เขาก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะไปส่งสวีซื่อเจี้ยกลับเรือนสืออีเหนียง
“ท่านแม่ ท่านแม่” สวีซื่อจุนดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “วันนี้ท่านพ่อบอกแล้วว่าพวกเราจะได้ไปที่ซีซาน” แล้วพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าไม่ได้บอกว่าให้พวกเราย่างเนื้อ ท่านพูดกับท่านพ่ออีกได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นให้พวกเราย่างเนื้ออยู่ที่ลานหลังเรือน”
“ย่างเนื้อได้!” สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ “แต่ว่าต้องทานแค่หนึ่งชิ้นเล็กๆ เท่านั้น”
สวีซื่อจุนพยักหน้าตอบตกลง
กระเพาะของเขาไม่ค่อยดีนัก หากจะบอกว่าย่างเนื้อสำหรับทานไม่สู้บอกว่าย่างเนื้อเพื่อความสนุกสนานจะดีกว่า
“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะกำชับเยี่ยนหรงให้ช่วยจัดเตรียมให้เจ้า” สืออีเหนียงยิ้มพลางรับปาก
สวีซื่อจุนไม่รู้สึกเสียใจแล้ว กลับเรือนไปอย่างมีความสุข
ระหว่างทางได้ผ่านเรือนเก่าของหยวนเหนียง
ฝีเท้าของเขาหยุดลงโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายน้อยสี่ พวกเรารีบกลับไปกันเถิดเจ้าค่ะ!” ฉาเซียงไม่ชอบเรือนหลังนั้น นางได้ยินมาว่าฮูหยินสี่คนก่อนเสียชีวิตที่นั่น นางจึงแอบขนลุก “ฟ้ามืดมากแล้ว พรุ่งนี้ยังจะต้องตื่นไปเรียนแต่เช้านะเจ้าคะ!”
สวีซื่อจุนไม่สนใจคำพูดชักจูงของนาง เดินไปเคาะประตู
คนที่มาเปิดประตูเป็นหญิงชรา เมื่อเห็นว่าเป็นสวีซื่อจุนก็รีบกำชับให้คนไปจุดโคมไฟที่ใต้ชายคาเรือน ถือโคมไฟแปดเหลี่ยมพาจุนเกอเข้าไปที่ห้องด้านใน
จุนเกอยืนอยู่หน้าภาพวาดของมารดาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเขาไปคารวะสืออีเหนียงท่าทางก็ดูหงอยเหงาเล็กน้อย ถามสืออีเหนียงว่า “ป้าเถาจะกลับมาเมื่อไรหรือขอรับ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ทั้งห้องเต็มไปด้วยผู้คนแต่กลับเงียบกริบ ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
สวีซื่อจุนพึมพำว่า “ข้าอยากกินขนมฝูหลิงที่ป้าเถาทำ”
“รอให้ขาของเถาเฉิงหายดีขึ้นก็คงจะกลับมาแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพลางตบบ่าสวีซื่อจุนเบาๆ “พอเจ้าพักตอนกลางวัน ข้าจะทำขนมฝูหลิงให้เจ้าทาน!”
สวีซือจุนตอบ “ขอรับ!” ด้วยความดีใจ ปรึกษากับสวีซื่อเจี้ยว่าอีกสองวันจะเอาอะไรไปทานที่ซีซานบ้าง
ตอนเที่ยงสืออีเหนียงทำขนมฝูหลิงตามที่รับปากเอาไว้
สวีซื่อจุนดึงออกเป็นสองชิ้น ตรงกลางเป็นสีขาวนวล
เขาก้มหน้าก้มตาทานขนมฝูหลิงคำเล็กๆ อย่างผิดหวัง
สืออีเหนียงเห็นเช่นนั้นก็ให้คนไปสืบมาว่าป้าเถาทำขนมฝูหลิงอย่างไร
วันต่อมาก็ใส่ลูกเกดในขนมฝูหลิง
สวีซื่อจุนทานไปสองชิ้น นับตั้งแต่นั้นก็ไม่พูดว่าอยากทานขนมฝูหลิงอีกเลย
หลังบรรดาเด็กๆ กลับมาจากซีซานไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ต้องส่งสวีซื่ออวี้เดินทางไปเล่ออาน แล้วก็เตรียมตัวสำหรับเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในเดือนห้า พบปะผู้ดูแลหญิงจากสกุลเซ่าที่มาคารวะ แต่ละเรื่องแม้ว่าจะไม่ต้องให้สืออีเหนียงจัดการด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถวางมือไม่ถามไถ่ได้ นางทำได้เพียงให้เยี่ยนหรงใส่ใจสวีซื่อจุนให้มากขึ้น “…หากมีอะไรให้รีบมารายงานข้าก่อน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กแล้วปล่อยให้ผ่านไป”
เยี่ยนหรงตอบรับอย่างนอบน้อม ไปมาหาสู่กับฉาเซียงสาวใช้ข้างกายสวีซื่อจุนอย่างสนิทสนม
เพียวชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงต้นเดือนห้าแล้ว มีจดหมายมาจากอวี๋หัง ไม่ว่าจะเป็นหลัวเจิ้นซิ่งหรือว่าอี๋เหนียงห้า ในจดหมายนั้นล้วนเต็มไปด้วยความปิติยินดีที่สืออีเหนียงตั้งครรภ์ สวีลิ่งอี๋รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย มอบจดหมายให้หู่พั่วไปวางไว้ที่ห้องหนังสือของตัวเอง ส่วนตัวเองก็ไปนั่งที่เตียงจ้องมองดูท้องน้อยๆ ของสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าช่างเป็นคนมีวาสนาเสียจริง!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความทอดถอนใจ
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วจับมือนาง “ใกล้จะถึงวันเกิดเจ้าแล้ว มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษหรือไม่”