มู่หรงอ๋องเกลียดบรรยากาศอันสูงส่งของเขายิ่งนัก เขาไม่คิดที่จะปกปิดฐานะของตัวเองอีกต่อไป และฉีกหน้ากากออก และเยาะยิ้มพลางสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วพูดว่า ”องค์ชายต้องรอดไปให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถฆ่าล้างตระกูลของกระหม่อมได้ หึๆ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ องค์ชายคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ แม้กระทั่งองครักษ์เงาที่ท่านส่งออกไปเมื่อครู่ก็ยังต้องกลับมา ทหารทุกนายที่ประจำการอยู่ที่ภูเขาชิงหลงแห่งนี้ล้วนแต่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของกระหม่อม ถ้าองค์ชายยังสติดีอยู่ ก็อย่าคิดสู้และยอมจำนนไปเสียจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ คนที่อยู่รอบตัวท่านจะได้ไม่เจ็บตัวไปด้วย อย่างไรเสียธนูเพลิงพวกนี้ก็ไม่มีตาเสียด้วย...”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเงียบ
องครักษ์เงาทุกนายไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงสงบเยือกเย็น พร้อมกับมองตรงไปข้างหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย
ถึงอย่างนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้สั่งให้พวกเขาช่วยปกป้องตัวเอง เขาสาวเท้าเดินออกไป จังหวะการเดินของเขาทั้งช้าและสง่างามมากเสียจนคนที่อยู่รอบเขาลืมขึ้นสายธนูไปเสียสนิท
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าบุกเข้ามาโดยที่ไม่ได้เตรียมการอะไรเอาไว้เลยน่ะหรือ”
น้ำเสียงเย็นชาไม่แยแสเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ น้ำเสียงไม่เห็นด้วยนั้นดังก้องอยู่ในอากาศ
มู่หรงอ๋องเอ่ยอย่างไม่เชื่อว่า ”การเตรียมการที่องค์ชายพูดถึงเมื่อครู่นี้ หมายถึงการขอกำลังเสริมจากกองทัพอื่นหรือ ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลานัก ไม่มีทัพไหนส่งคนมาช่วยท่านหรอก!”
คุณชายเป็นคนออกคำสั่งด้วยตัวเองว่าไม่อนุญาตให้กองทัพทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของสี่ตระกูลใหญ่ออกจากค่ายแม้แต่ก้าวเดียว!
ครั้งนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องตายอย่างแน่นอน!
“ใครบอกท่านหรือว่าจะไม่มีใครส่งทหารมาช่วย”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเฉยเมยจนติดจะเย็นชาก็ดังขึ้นจากม่านหมอกทางทิศตะวันตก
“แกเป็นใคร!” มู่หรงอ๋องไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ เขาสลัดแขนส่งสัญญาณบอกให้พลธนูขึ้นสายธนู จากนั้นจึงเริ่มกวาดยิงเข้าไปในความมืดนั้น
เสียงนั้นเงียบหายไปเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง!
“ข้าเอง”
หมอกจางลงทีละน้อย เหลือไว้เพียงร่างสูงเพรียวร่างหนึ่ง ขาอันเรียวยาวของร่างนั้นงดงามยิ่งกว่านางแบบคนใด นางยืนอยู่ในกลุ่มควันที่ม้วนตัวเข้าหากัน เสื้อคลุมสีดำยาวโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม ที่เอวของนางมีสายคาดปืนหน้าตาโดดเด่นไม่เหมือนใครคาดเอาไว้ สายคาดปืนเส้นนี้เป็นของคุณภาพดีที่สุดซึ่งได้รับการปรับแต่งมาอย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีรูปลักษณ์หรูหราเรียบง่าย แต่มันก็เปล่งประกายงดงามยิ่ง
ร่างนั้นยืนอยู่ในหมอกสีขาว มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ทั้งดูมีเสน่ห์และชั่วร้าย แต่พวกเขาก็ยังมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของนาง
พวกเขาเห็นเพียงภาพรางๆ ตอนที่นางวางนิ้วของตนลงบนปืนกระบอกนั้นอย่างเกียจคร้าน แล้วมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยซึ่งอยู่ไม่ไกลด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม กลิ่นอายของนางดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสะกดสายตาได้เป็นอย่างดี
ที่ด้านหลังของนางมีเงาร่างยืนเรียงแถวกันให้เห็นจางๆ ทุกคนในแถวนั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำไร้ซึ่งอาวุธติดตัว พวกเขามีรูปร่างสูงเพรียว ความเร็วในการเดินของพวกเขารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ทุกคนแทบจะมองข้ามลักษณะภายนอกของพวกเขาได้เลยทีเดียว เพราะเมื่อมองไกลๆ แล้ว พวกเขาดูเหมือนกับภูเขาสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาไม่มีผิด
ทหารที่เหลือเริ่มแตกตื่น พวกเขาถือคันธนูอยู่ในมือ แต่มือของพวกเขากลับสั่นระริก
“ธงนั่น!”
วัตถุสีดำที่โบกสะบัดอยู่เหนือกองทัพนั้นจริงๆ แล้วคือธงขนาดใหญ่นั่นเอง!
บนธงผืนนั้นมีตัวอักษรอันเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเขียนเอาไว้เพียงไม่กี่ตัวว่า… กองกำลังลับ!
กองกำลังลับหรือ??!!
“นั่น… นั่นมัน…” จือฝู่พูดไม่ออก แข้งขาของเขาอ่อนแรงจนถึงกับหงายหลังล้มตึง
ทุกคนที่เคยเข้าร่วมกองทัพย่อมรู้ว่ากองกำลังลับนั้นเป็นกองกำลังที่มีฝีมือฉกาจที่สุดในใต้หล้า!
มู่หรงอ๋องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับได้เห็นยมทูตที่ออกมาจากขุมนรก
ในขณะเดียวกันนั้น มู่หรงฉางเฟิงที่ยืนอยู่ข้างมู่หรงอ๋องก็ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ
เขาทั้งประทับใจและตกตะลึงไปพร้อมกัน!
แต่เหนืออื่นใดนั้น เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ!
ทุกคนคิดว่ากองกำลังลับหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนผู้นำของตระกูลเฮ่อเหลียน
แต่คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ได้!
และผู้นำของกองกำลังนั้นก็คือ…
ทันใดนั้นมู่หรงฉางเฟิงก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังใบหน้าของร่างผอมเพรียวนั้น
เป็นนางนั่นเอง!
เป็นนางจริงๆ!
ดวงตาของมู่หรงฉางเฟิงกระตุกอย่างรุนแรง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ สาเหตุเดียวที่ทำให้ขาไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งตอนที่ทุกคนรุมรังแกเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นเป็นเพราะเขาคิดว่านางเป็นแค่ผู้หญิงหน้าโง่คนเดียว เขาเคยคิดว่านางคงจะไม่มีประโยชน์กับเขาเลยแม้แต่เรื่องเดียว และนั่นทำให้เขาทำตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาที่บอกให้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อถอนหมั้นกับนางให้ได้!
แต่ตอนนี้… นางกลับกลายเป็นผู้นำของกองกำลังลับไปเสียแล้ว?!
ความเสียใจอย่างยิ่งยวดถาโถมเข้าใส่หัวใจของเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกนั้นได้
เดิมทีเขาก็นึกเสียดายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ความเสียดายเหล่านั้นไม่เคยมากเท่าครั้งนี้มาก่อน
อวิ๋นปี้ลั่วที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของกำแพง และได้เห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง ใบหน้าของนางซีดเผือด
นางคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไปจากที่นี่หลังจากได้ฟังสิ่งที่นางพูดเสียอีก
ทำไมกัน
ทำไมนางถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกับกองกำลังลับได้
นางได้กองทัพที่ทรงอำนาจเช่นนั้นมาได้อย่างไร
อวิ๋นปี้ลั่วกัดริมฝีปากบางของตัวเอง นางบอกว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนขี้ขลาดที่หนีไป แต่ตอนนี้… ภาพนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้านางเข้าอย่างจัง!
แตกต่างไปจากคนอื่นๆ มู่หรงอ๋องไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าคนพวกนั้นเป็นกองกำลังลับแล้วจะทำอะไรได้หรือ
ไม่ว่าพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จำนวนคนของข้าก็ยังมีมากกว่าพวกเขาอยู่ดี!
มู่หรงอ๋องคิดถึงทัพเสริมของตัวเอง แล้วเยาะใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”นับว่าหนนี้ขยะอย่างเจ้าช่วยเปิดโลกทัศน์ของข้าได้ดีจริงๆ”
“ด้วยความยินดี” ไม่มีใครสามารถเอาชนะความอวดดีของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ นางมองมู่หรงอ๋อง แล้วคลี่ยิ้มอันงดงามให้กับเขา ”นี่แค่ยังน้อย ในไม่ช้าท่านจะได้ซาบซึ้งกับพลังของกองกำลังฝีมือฉกาจด้วยตัวเองแน่ ข้าจะอัดท่านจนท่านต้องร้องไห้เรียกหาบุพการีเลยทีเดียวเชียวล่ะ”
ใบหน้าของมู่หรงอ๋องดำทะมึนด้วยความเดือดดาล เขากัดฟันแล้วกล่าวว่า ”โอกาสแพ้ชนะยังไม่แน่ชัด เจ้าคิดจะให้คนร้อยคนมาสู้กับกองทัพนับพันของข้าหรือ ช่างโง่เขลาเสียจนน่าสมเพชยิ่งนัก”
“โง่เขลาจนน่าสมเพชหรือ” มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยปัดผ่านปืนกระบอกนั้น มุมปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แล้วค่อยๆ พูดว่า ”ท่านต่างหากที่โง่เขลาจนน่าสมเพช ท่านไม่แปลกใจหรือว่าตั้งแต่ที่ท่านยกทัพบุกเข้ามาในเมือง ทำไมถึงไม่มีทหารจากกองทัพที่เหลืออยู่มาที่นี่แม้แต่คนเดียว”
มู่หรงอ๋องคงไม่ตระหนักถึงปัญหานี้หากเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ถามขึ้นมาเช่นนั้น
ทันทีที่ได้ยินคำถามของนาง สีหน้าของมู่หรงอ๋องก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาซีดจนขาว!
เขาคว้าตัวนายทหารที่อยู่ข้างๆ เข้ามา แล้วคำรามว่า ”ทหารจากกองทัพอื่นอยู่ที่ไหน”
“ข้า… ข้าไม่… ไม่ทราบขอรับ” ทหารนายนั้นกลัวจนตัวสั่น
มู่หรงอ๋องผลักเขาออกอย่างแรง แล้วตะคอกว่า ”เจ้าขยะไร้ประโยชน์!”
ทันใดนั้นก็มีนายทหารอีกนายหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา หมวกที่อยู่บนศีรษะของเขาเอียงเล็กน้อย เขาหอบพร้อมกับรายงานว่า ”ท่าน… ท่านอ๋องขอรับ ที่นอกเมืองมีกองทัพศัตรูปรากฏขึ้นขอรับ พวกเราไม่แน่ใจนักว่าพวกเขามาจากฐานทัพไหน ทัพเสริมของพวกเราถูกพวกเขาขนาบเข้าโจมตีทั้งจากข้างหน้าและข้างหลังเลยขอรับ จึงทำให้ต้องหยุดอยู่นอกเมือง!”
“หยุดลนลานเสียที!” มู่หรงอ๋องตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง เพราะเห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาเป็นการบั่นทอนขวัญกำลังใจของคนอื่นๆ เขาสะบัดแขนเสื้อยาวพลางข่มความสับสนเอาไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยว่า ”ทุกคนฟังข้าให้ดี! ต่อให้พวกเขาจะเป็นกองกำลังลับที่ฝีมือดีเพียงใด แต่พวกเขาก็มีเพียงแค่หนึ่งร้อยคน ส่วนพวกเรามีกันหลายพัน พวกเขาไม่มีทางโค่นพวกเราได้อย่างแน่นอน! ไม่ต้องห่วง ยกคันธนูขึ้นซะ ลูกธนูแต่ละดอกจากพวกเจ้าแต่ละคนก็สามารถจัดการพวกมันได้แล้ว!”
“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ” คิ้วอันงดงามของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นางหันไปคุยกับเด็กชายหัวโล้นที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ”เจ้าเจ็ด ไปหยิบปืนมาให้พี่สะใภ้สามทีสิ ท่านอ๋องอยากเอาชนะด้วยจำนวน ดังนั้นพวกเราก็คงต้องเปลี่ยนอาวุธด้วยเหมือนกัน”