บทที่ 410 วัชพืชที่กำลังจะทิ้ง? วัชพืชนี่ร้ายกาจยิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
“ได้คุณชายคอยดูแลเสมอ พวกเราไม่มีสิ่งใดตอบแทน คราวก่อนมาเยือนคุณชาย คุณชายเคยกล่าวว่าแม่วัวที่บ้านตาลุงอู๋ตาย ไม่มีนมดื่มไปพักหนึ่ง ข้ากับเสี่ยวหยาจึงจดจำไว้ในใจ”
หลิงอินกล่าว “พอดีที่บ้านเสี่ยวหยามีคนขายวัว ข้ากับเสี่ยวหยาจึงไปที่นั่น ซื้อวัวเหล่านี้กลับมา”
“เจ้าใส่ใจแล้ว!”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ย ซึ้งใจอยู่นิดหน่อย
เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ หลิงอินกับเสี่ยวหยานำวัวมาเพราะคำกล่าวของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ไปเถิด เข้าไปสนทนากันด้านใน!”
หลี่จิ่วเต้าบอกให้หลิงอินกับเสี่ยวหยาเข้าไป
เวลานี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิงอินกับเสี่ยวหยาถึงมาหาเขาที่ประตูลานเล็ก พาวัวสี่ตัวเข้าทางหน้าร้านไม่สะดวกเท่าใด
อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวเดินตามเข้าไป
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในลานเล็ก พวกมันก็สัมผัสถึงจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งมากมายที่ไหลเวียนอยู่ เป็นจังหวะแห่งเต๋าชั้นเลิศที่พวกมันไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหนือกว่าทุกสิ่ง!
ช่างเป็นผู้อาวุโสเหนือความคาดหมายจริง ๆ!
หัวใจของพวกมันเต้นรัวเร็วเพราะความเต็มตื้น หลิงอินมิได้หลอกพวกมัน ใต้หล้านี้มีสถานที่ที่ดียิ่งกว่าภพเซียนจริง ๆ!
จังหวะแห่งเต๋าสูงส่งเปี่ยมล้นเยี่ยงนี้ ต่อให้อยู่ที่นี่เฉย ๆ โดยไม่บำเพ็ญ ขอบเขตพลังก็ยังก้าวหน้าทวีคูณได้อย่างแน่นอน!
พวกมันมองสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในลาน หัวใจตื้นตันสะท้านเหลือคณา
ให้ตายสิ ในลานนี้ไม่มีสิ่งของธรรมดาสักชิ้น ทุกอย่างที่อยู่ในขอบเขตสายตาพวกมัน ล้วนสูงส่งไม่ธรรมดาถึงขีดสุด!
ต้องเป็นบุคคลเช่นใดถึงครอบครองทั้งหมดนี้ได้!?
ผู้อาวุโสท่านนี้… คงมิใช่ว่าเป็นเซียนท่านหนึ่งกระมัง!
พวกมันคิดในใจอย่างอดไม่ได้ ตื่นเต้นจนแทบเป็นลมเป็นแล้ง
ต่อให้ผู้อาวุโสท่านนี้มิใช่ท่านเซียน ก็คงเข้าใกล้ความเป็นเซียนเหลือแสน!
สวรรค์!
พวกมันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งพวกมันจะมีโอกาสรู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการเช่นนี้!
หลิงอินพูดไม่ผิด นี่คือวาสนาการเปลี่ยนแปลงสูงสุดสำหรับพวกมัน!
บุ๋ง บุ๋ง!
ภายในโอ่งน้ำ มัจฉาสัตมายากระโจนออกมาเป็นพัก ๆ
มันเห็นอสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัว
ท่านเซียนจะเลี้ยงวัวด้วยหรือ?
มันอิจฉาเหลือคณา เมื่อใดท่านเซียนจะบอกมันชัดเจนเสียทีว่าจะไม่กินมัน เช่นนี้มันจะได้ไม่ต้องผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่เดิมนั้นปลามิค่อยใจกล้าอยู่แล้ว
“เมี้ยว~”
แมวน้อยสีขาวลั่วสุ่ยส่งเสียงร้องอยู่ด้านข้าง ปรายตามองมัจฉาสัตมายา
มัจฉาสัตมายาได้ยินเสียงร้องของแมวน้อยสีขาว จึงหันมองตาม
ฉับพลันนั้น มันมีความมั่นใจขึ้นมา
ไม่ต้องกลัว มีพี่สาวแมวคอยคุ้มครองข้าอยู่
มันคิดในใจอย่างสุขสันต์ หลายวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับลั่วสุ่ยยิ่งชิดเชื้อขึ้นไปอีก ยามอยู่ว่าง ๆ มักสนทนาด้วยกันเสมอ
“ฮ่าฮ่า หากมิใช่ว่าข้าทุบกำแพงให้ทะลุถึงลานเล็กด้านข้างแล้ว ข้าคงไม่มีที่เลี้ยงวัวเหล่านี้ ต้องให้พวกเจ้าพากลับไปแล้ว”
หลี่จิ่วเต้าเอ่ยหยอกเย้า พร้อมพาวัวทั้งสี่ตัวไปยังลานด้านข้าง
“พอดีเลย ใช้หญ้าที่เพิ่งขุดขึ้นมาเลี้ยงวัวได้ มิเช่นนั้นคงต้องนำไปทิ้งเสียแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ ใช้เชือกคล้องวัวทั้งสี่ตัวให้ดี
ลานแห่งนี้ไม่นับว่าเล็ก เขาใช้พื้นที่ไปจำนวนหนึ่งกับการทำไร่ แต่ยังเหลือพื้นที่อยู่อย่างกว้างขวาง
มิหนำซ้ำ ภายในลานนี้มีห้องอยู่หลายห้อง เลี้ยงวัวได้ไม่มีปัญหา ทำเป็นคอกวัวได้เลย
หลังวัวสี่ตัวได้ยินคำกล่าวของหลี่จิ่วเต้า ก็ทอดสายตามองหญ้าบนพื้น
แม่เจ้า นี่… นี่คือหญ้าที่ตั้งใจจะทิ้งในตอนแรกหรือ
ต้นหญ้าเหล่านี้ ล้วนแฝงไว้ด้วยขุมปราณชีวิตมหาศาล เปี่ยมล้นยิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
พวกมันตกใจจริง ๆ ผู้นี้ต้องเป็นท่านเซียนอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเหตุใดหญ้าในดินยังทรงพลังกว่าโอสถมหาจักรพรรดิอีก!?
ท่านเซียนคิดเลี้ยงพวกมันด้วยหญ้าเหล่านี้หรือ!?
พวกมันตื้นตันขึ้นไปใหญ่ ผู้ใดเล่าจะคิดว่าพวกมันกินโอสถมหาจักรพรรดิเป็นอาหารได้!?
นี่คือวาสนาสะท้านโลกาของพวกมัน!
หวนนึกถึงคราวหลิงอินบอกว่าจะพาพวกมันไปด้วย พวกมันยังไม่เต็มใจเป็นหนักหนา อ้างเรื่องศักดิ์ศรี เกียรติยศต่าง ๆ กับหลิงอิน บัดนี้พวกมันรู้สึกกระดากยิ่งนัก ละอายเหลือทน!
พวกมันเกือบพลาดวาสนาสะท้านโลกาไปแล้วเชียว!
ถอนหญ้าหรือ?
นี่ท่านเซียนรู้อยู่แล้วหรือว่านางจะพาอสูรฟ้าชิงหนิวมาที่นี่
หลิงอินคิดในใจ รู้สึกว่าท่านเซียนช่างสุดยอด ล่วงรู้ทุกอย่าง
เสี่ยวหยาเองก็สะท้อนใจเหลือแสน ท่านเซียนก็คือท่านเซียน จิตของท่านรู้แจ้งเหตุทั้งปวง
“ใช่แล้ว เช่นนี้วัชพืชในไร่คงไม่เสียเปล่า ใช้เป็นอาหารวัวได้”
หลิงอินเอ่ยยิ้ม ๆ
ทว่าต่อมา นางบอกกับตัวเองในใจ วัชพืช… เจ้าช่างกล้าพูดจริงเชียว! หญ้าเหล่านี้เลอค่ายิ่งกว่าโอสถมหาจักรพรรดิเสียอีก!
“ฮ่า ๆ ไว้สายหน่อย ข้าจะทำเค้กเนยสดให้พวกเจ้ากิน”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม “จริงสิ ข้าทำนมเปรี้ยวให้พวกเจ้าดื่มได้ด้วย ทั้งยังผสมรสชาติต่าง ๆ ลงไปในนมเปรี้ยว อย่างเช่นรสองุ่น รสผิงกั่ว รสสาลี่…”
ที่บ้านมีวัวแล้ว เขาไม่ขาดแคลนนมอีกต่อไป ถึงคราวนั้นสามารถปรุงอาหารซึ่งมีส่วนผสมของนมได้อีกหลายอย่าง
“เช่นนั้นต้องขอขอบคุณคุณชาย!”
“พวกเราตั้งตารออย่างมาก!”
หลิงอินกับเสี่ยวหยาเอ่ยเสียงตื่นเต้น
ฝีมือของท่านเซียนไร้ที่ติ ถึงเวลานั้น เค้กเนยสดและนมเปรี้ยวหลากรสที่ปรุงเสร็จย่อมต้องอร่อยอีกทั้งมีคุณค่าอาหารมหาศาล!
“คุณชาย!”
เวลานั้น เซี่ยเหยียนเดินเข้ามาจากทางร้านค้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
นางกลับมาจากตระกูลไป๋แล้ว โดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย จึงมิได้ใช้เวลามากนัก
และหลังจากนางกลับมาก็มาหาท่านเซียนทันที
เซี่ยเหยียนขุดโอสถมหาจักรพรรดิจากตระกูลไป๋มาได้สามต้น อันเป็นต้นผลไม้ เมื่อครั้งที่ขุด นางก็คิดนำมาให้ท่านเซียน
เพราะอย่างนั้น หลังนางกลับมาจึงมาหาท่านเซียนก่อน
“พี่หญิงหลิงอินก็อยู่ด้วยหรือ!”
เซี่ยเหยียนทักทายหลิงอิน
เดิมนางไม่ยอมรับในตัวอีกฝ่าย ทว่าตั้งแต่นางได้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหลิงอินคือจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล นางก็ยอมรับหลิงอินอย่างสิ้นเชิง พบหน้าคราใดเป็นต้องเรียกว่าพี่หญิงหลิงอิน
“ผู้นี้คือ?”
นางมองเสี่ยวหยา อีกฝ่ายแปลกตายิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเสี่ยวหยามาก่อน
และนางก็ไม่ทราบเรื่องราวของเสี่ยวหยา ไม่รู้ว่าเสี่ยวหยานั้นคืนชีพกลับมาแล้ว
“นางคือเสี่ยวหยา”
หลิงอินแนะนำเสี่ยวหยาให้เซี่ยเหยียนรู้จักยิ้ม ๆ และแนะนำเซี่ยเหยียนให้เสี่ยวหยา “นางคือเซี่ยเหยียน”
“สวัสดีพี่หญิงเซี่ยเหยียน”
เสี่ยวหยาทักทายเซี่ยเหยียนอย่างมีมารยาท นางอายุไม่มาก แม้นเกิดในยุคโบราณ กระนั้นนางได้ตายไปตั้งแต่อายุสิบกว่าปีด้วยฝีมือจักรพรรดิบุปผา
“สวัสดีเสี่ยวหยา!”
เซี่ยเหยียนทักตอบยิ้ม ๆ ดูท่าหลังจากนี้นางคงได้สหายเพิ่มมาอีกหนึ่ง
ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ ย่อมได้รับการยอมรับจากท่านเซียนมาแล้ว ผู้ที่ไม่เป็นที่ยอมรับของท่านเซียน ไม่มีทางเข้ามาถึงภายในลานเล็กของท่านเซียน
หลิงอินคลี่ยิ้ม นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนางเพิ่งเคยเจอเซี่ยเหยียนครั้งแรก ครานั้น เด็กคนนี้ตั้งใจเต็มที่เพื่อประชันกับนางในทุก ๆ ด้าน
ทว่านางนั้นเป็นใคร จ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาล เป็นไปได้อย่างไรที่เซี่ยเหยียนจะข่มนางลงได้ นางเอ่ยปากขอบรรเลงเพลงฉินสักบทก็สยบเซี่ยเหยียนลงไปได้แล้ว
ด้านฉินนั้นเซี่ยเหยียนไม่ได้เรื่องจริง ๆ!
นางเอ่ยกับเสี่ยวหยาเชิงล้อเล่น “พี่หญิงเซี่ยเหยียนผู้นี้เล่าเรียนวิชาบรรเลงฉินกับคุณชายมาโดยตลอด ติดตามคุณชายมานานมากเมื่อเทียบกับเจ้า เจ้าควรศึกษาวิถีแห่งฉินกับพี่หญิงเซี่ยเหยียนให้มาก เอาอย่างนางหน่อย”
“ศึกษาวิถีแห่งฉินอยู่ข้างกายคุณชายมานานแล้วหรือ คิดแล้วทักษะด้านฉินของพี่หญิงเซี่ยเหยียนคงยอดเยี่ยมมากเลยกระมัง!”
เสี่ยวหยาไม่ทราบเรื่องราวในอดีตของหลิงอินและเซี่ยเหยียน นางคิดว่าหลิงอินแนะนำให้นางศึกษาเอาอย่างเซี่ยเหยียนจากใจจริง
นางบอกกับเซี่ยเหยียนด้วยท่าทางตั้งใจอย่างยิ่ง “หากวันใดพี่หญิงเซี่ยเหยียนว่างแล้ว ต้องชี้แนะข้าเสียหน่อย!”
“หา…!”
ได้ยินว่าให้บรรเลงเพลงฉิน เซี่ยเหยียนพลันรู้สึกเขียวไปทั้งหน้า นี่คือจุดด้อยของนาง จนบัดนี้เสียงฉินที่นางบรรเลงออกมานั้นยัง…บาดหูเหลือคณา!
นางเซ็งเหลือเกิน นี่หลิงอินยังจำเรื่องในคราวนั้นได้อยู่หรือนี่