“เช่นนั้นก็ให้พวกนางแย่งไปเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”ข้าไม่ชอบแย่งอะไรกับใคร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจะค่อยๆ เลือนหายไป ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย พร้อมกับคว้าคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ เขาใช้นิ้วหัวแม่มือลูบริมฝีปากสีซีดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเบาๆ ”สิ่งที่เจ้าพูดนี้คือความจริงหรือ”
เป็นอีกครั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่าแรงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นทรงพลังเพียงใด นางรู้สึกราวกับว่ามือของนางถูกเหล็กจับเอาไว้ก็ไม่ปาน นางพยายามดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามขึ้น ”เจ้าลืมสิ่งที่ข้าเตือนเจ้าไปแล้วหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเคลื่อนไหว ”อะไรนะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้ม แม้รอยยิ้มนั้นจะงดงามเป็นอย่างมาก แต่ดวงตาของเขากลับแฝงไปด้วยความไม่พอใจ เขาตอบว่า ”ถ้าเจ้าโกหกข้า ข้าจะตัดมือของเจ้าเสีย”
“ต่อให้ข้าไม่ได้พูดความจริง ท่านก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยโพล่งสิ่งที่นางคิดจริงๆ ออกไปโดยสัญชาตญาณ ”สุดท้ายแล้วท่านก็ต้องแต่งงาน มีพระชายา และมีนางสนมหลายคนอยู่ดี” ทันใดนั้นเองนางก็ตระหนักได้ว่านางไม่ควรพูดเช่นนั้นออกไป
ลำคอและแก้มทั้งสองข้างของนางขึ้นสีแดงระเรื่อในเสี้ยววินาที แม้กระทั่งดวงตาของนางก็ยังพลอยแดงก่ำไปด้วย
หลังจากนางใจเย็นลงได้ นางก็คิดที่จะไปจากที่นี่ทันที นางไม่อยากเห็นสีหน้าพออกพอใจของผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเร็วกว่านางอยู่ก้าวหนึ่ง เขาดึงนางเข้ามาหาตัว พร้อมกับเชยคางของนางขึ้น และประทับจูบลงที่ริมฝีปากของนาง
“ท่าน… ทำเกินไปแล้ว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเขินอายเพียงใด เขาลิ้มรสลิ้นอันอ่อนนุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากนาง จากนั้นจึงจูบขอบตาแดงก่ำของนางราวกับปลอบโยน เขาสัมผัสฝ่ามือเรียบเนียนของนางขณะรอให้ลมหายใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมาสม่ำเสมอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แล่นไปทั่วกระดูกสันหลัง และยังสัมผัสถึงความรู้สึกชาวาบที่เกิดขึ้นทั่วร่างได้อีกด้วย ความจริงที่ว่านางกำลังรู้สึกดีไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นางค่อนข้างอับอายทีเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ขณะที่แนบหน้าผากของตัวเองเข้ากับหน้าผากของนาง เขาใช้ดวงตาลึกล้ำนั้นจ้องนาง แล้วถามว่า ”แล้วตอนนี้เจ้าอยากบอกความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองให้ข้ารู้หรือยัง”
เจ้าเจ็ดเดินเข้ามาทางพวกเขาพร้อมกับเบ็ดตกปลาบนหลัง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปที่ทั้งสอง จากนั้นเขาจึงเคลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วถามว่า ”พี่สะใภ้สาม เกิดอะไรขึ้นกับแก้มของท่านขอรับ ทำไมมันจึงแดงถึงเพียงนั้นเล่า”
“อากาศมันร้อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอู้อี้ พร้อมกับขมวดคิ้ว ตอนนี้ข้าต้องพูดความจริงออกมาจริงๆ หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่าเขาไม่ควรบีบบังคับเฮ่อเหลียนเวยเวยมากเกินไป เขาปล่อยมือจากนาง แล้วตวัดสายตาไปมองน้องชายผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของตน ก่อนจะออกคำสั่งกับผู้เป็นน้องด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ดูแลพี่สะใภ้สามของเจ้าด้วย อย่าปล่อยให้นางเอ้อระเหยมากนัก”
“ขอรับ!” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมั่นใจอยู่เสมอว่าไม่มีใครจะมีความสามารถมากพอที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้นอกจากเขา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ได้สนใจบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองมากนัก นางจ้องมองร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เดินห่างออกไปแล้วหายลับไปจากสายตา ก่อนจะหาร่มไม้เพื่อล้มลงตัวนอนบนพื้นหญ้า นางเคี้ยวหญ้าหวานเล่นระหว่างขบคิดถึงปัญหาชีวิตของตน
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมั่นใจเต็มร้อยว่าตนเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ เขาไม่วางใจที่จะให้พี่สะใภ้สามอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตัดใจจากเวลาอาหารของตนเพื่อมาอยู่กับนาง แล้วเริ่มใช้ขาสั้นๆ อันอวบอั๋นของตนวิ่งเล่นรอบตัวนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกงุนงงสับสนกับเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพวกนางมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร…
เดิมทีนั้น แผนการของพวกนางก็คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่นี่มันไม่เกินจากแผนการของพวกนางไปหน่อยหรือ
ก่อนหน้านี้ การจูบทั้งหมดของพวกนางล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยความจงใจทั้งสิ้น
แต่วันนี้…
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้โดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งหูของนางก็ยังกลายเป็นสีชมพูไปด้วย
นางสัมผัสได้ถึงความรักใคร่อันท่วมท้นตอนที่ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสัมผัสกับริมฝีปากของนาง
ทันใดนั้นหัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้หน้าอกของนางรู้สึกปวดและเกิดอาการชาขึ้นมา
เหมือนมีประตูเปิดอยู่ตรงหน้า นางเริ่มเห็นภาพเหตุการณ์และรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่นางเคยมองข้ามไป นางจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาหลอกให้นางลงชื่อในสัญญานั้นด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง แต่ในดวงตาที่เขาจ้องมองมาที่นางนั้นกลับเต็มไปด้วยความเร่าร้อน
แต่ข้ารู้สึกอย่างไรกับเขากันล่ะ
ชาติก่อนนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาก่อน
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้
เหตุการณ์ตอนที่เขาบอกว่าเขาชอบนางนั่นเอง
หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยมีปฏิกิริยาก่อนที่นางจะทันรู้ตัวเสียอีก มันเต้นแรงจนนางรู้สึกอึดอัด และแก้มทั้งสองข้างของนางก็เห่อร้อนขึ้นมา
หืม...
ข้าเคยอ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน
มีสัญญาณหลายข้อที่บอกว่าคนเรากำลังตกหลุมรักใครสักคนอยู่
ข้อแรก เวลาที่คนคนนั้นคิดถึงคนที่รัก หัวใจของคนคนนั้นจะเต้นรัว
ข้อถัดมา คนคนนั้นจะไม่มีทางปฏิเสธจูบจากคนที่ตัวเองรักได้
ระหว่างที่จูบกัน คนคนนั้นจะหน้าแดง แขนขารู้สึกอ่อนแรง
ดูเหมือนว่า… สัญญาณทั้งหมดที่ว่ามานั้นจะตรงเผงทีเดียว
นางรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างทิ่มแทงหัวใจของนางอยู่ นางรู้สึกได้ถึงอาการชาและความจั๊กจี้ในหน้าอกของตัวเองได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลิ้งตัวอยู่บนพื้นหญ้าพร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นปิดตา
ดูเหมือนจะมีอะไร… แปลกๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ
นางใช้มือปิดแก้มของตัวเอง หวังว่ามันจะช่วยลดความร้อนนั้นได้ แต่แล้วนางก็ตระหนักได้ว่าร่างทั้งร่างของนางกำลังร้อนระอุราวกับคนเป็นไข้ ดวงตาของนางปริ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความอึดอัด
ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกถาโถมเข้าใส่นาง ขณะเดียวกันมันก็ทิ่มแทงและฉุดกระชากชีพจรของนางให้เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ
“แม่นาง ใกล้จะเย็นแล้ว” เสียงของหยวนหมิงดังมาจากมิติสวรรค์
เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นยืนพลางพยายามปรับลมหายใจของตัวเอง ”ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร จากนี้ไปเจ้ากับเสี่ยวไป๋อยู่แต่ในมิติสวรรค์ ห้ามปรากฏตัวออกมาล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน ข้ามีเรื่องอื่นต้องคุยกับเจ้า เจ้าไม่คิดที่จะ…”
หยวนหมิงพูดยังไม่ทันจบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ปิดมิติสวรรค์ลงอย่างไร้ความปรานี จากนั้นนางก็โยนเนื้อตากแห้งให้กับเจ้าเจ็ดอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แล้วปล่อยให้เขาเล่นคนเดียวต่อ
หลังจากนั้น นางก็เรียกสาวใช้เข้ามา แล้วสั่งให้พวกนางอารักขาความปลอดภัยรอบๆ บริเวณ ในระหว่างนั้นนางก็เดินตรงไปยังบ่อน้ำพุร้อนที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านหมอก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยประเมินฤทธิ์ของความต้องการเสพสังวาสที่มีต่อร่างกายของตัวเองต่ำเกินไป
ตะวันยังไม่ทันตกดิน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกำลังถาโถมเข้าใส่นาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยจุ่มตัวลงในน้ำทั้งที่ยังไม่ได้ถอดชุดออก อุณหภูมิในร่างของนางก็ดูจะลดลงได้ในที่สุด
แต่นางไม่รู้ว่าองค์ชายเดินตามนางมา
“เจ้าจะหลีกทางให้ข้า หรือจะให้ข้าช่วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองสาวใช้ทั้งสี่คนด้วยสายตาเย็นชา
สาวใช้ทุกคนมองตากัน พวกนางซื่อสัตย์ต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นที่สุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเรียกกิเลนออกมาแล้วสั่งว่า ”ขวางทางพวกนางไว้ และเจ้าเองก็ห้ามตามข้าไปเช่นกัน เข้าใจหรือไม่”
เขาเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาด้วยเสียงที่เย็นชาและยานคางเป็นอย่างมาก
กิเลนอัคคีที่เดิมทีตั้งใจว่าจะตามผู้เป็นนายไปถึงกับรู้สึกชาวาบไปทั้งหลัง มันตอบอย่างเคารพว่า ”ขอรับนายท่าน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินจากไปด้วยท่าทางสง่างาม ขณะที่กำลังเดินอยู่ บนริมฝีปากของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย เขาค่อยๆ ใช้นิ้วยาวของตนปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด
หึ
ข้ารอคอยวันนี้มานานเหลือเกิน…