“ล็อกประตู!?” ฉินอี๋เหนียงมองชุ่ยเอ๋อร์ด้วยความตกใจ “ใครเป็นคนล็อก แล้วทำไมต้องล็อก”
“หลินปัว คนของท่านโหวบอกให้คนมาล็อกเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าตกใจ “บอกว่ามีคนหลอกคุณชายน้อยสี่ มีคนเห็นคนที่หลอกคุณชายน้อยสี่วิ่งเข้าไปที่เรือนหลัก พวกเขาเลยจะค้นห้องทีละห้อง”
“อมิตาพุทธ!” ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พนมมือ “ใครเป็นคนทำเช่นนี้! คุณชายน้อยสี่อ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เขาจะทนต่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!” จากนั้นก็บอกชุ่ยเอ๋อร์ “ข้าจะจุดธูปแด่พระโพธิสัตว์ ขอให้พระโพธิสัตว์ปกป้องคุณชายน้อยสี่ให้หายเร็วๆ!”
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็จุดโคมเดินไปยังเรือนหน่วนเก๋อ
ฉินอี๋เหนียงคุกเข่าก้มหัวให้พระโพธิสัตว์กวนอิมสามครั้งด้วยความเคารพ จุดธูปสามดอก จากนั้นก็ลุกขึ้นกลับเข้าไปในห้องกับชุ่ยเอ๋อร์
“บอกว่าจะมาค้นเรือนของเราเมื่อไรหรือไม่”
“ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเอ๋อร์พูดเบาๆ “แค่บอกให้เราอยู่ที่เรือนห้ามออกไปไหน ถึงตอนนั้นจะมีคนมาเคาะประตูเอง”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้า ปิดปากหาวแล้วขึ้นไปบนเตียง “เช่นนั้นเราพักผ่อนก่อนเถิด! ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว”
ชุ่ยเอ๋อร์เห็นฉินอี๋เหนียงไม่สนใจ นางก็สงบสติอารมณ์ลง ถึงแม้ว่าจะตอบรับแล้วรับใช้ฉินอี๋เหนียงเข้านอน แต่นางก็ยังเป็นเพียงเด็กสาว ที่มีความอยากรู้อยากเห็นจะนอนหลับลงได้เช่นไร นางยกหูฟังเสียงข้างนอก
*****
ซิ่วหยวนก็ยกหูขึ้นฟังเสียงข้างนอกเหมือนกัน
“อี๋เหนียงเจ้าคะ ออกไปแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นนางก็กลับไปรายงานเฉียวเหลียนฝัง
เฉียวเหลียนฝังนั่งอยู่บนเตียง ได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยข้าแต่งตัวเถิด”
ซิ่วหยวนตกใจ
“ในเมื่อจะค้นเรือน ก็ต้องเข้ามาค้นข้างใน” เฉียวเหลียนฝังพูด “แทนที่ถึงตอนนั้นแล้วตื่นตูมทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ ไม่สู้แต่งตัวรอให้พวกเขามาจะดีกว่า”
ซิ่วหยวนคิดว่ามันสมเหตุสมผล จึงเรียกจูหรุ่ยเข้ามาช่วยเฉียวเหลียนฝังหวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้า
เฉียวเหลียนฝังนั่งอยู่หน้ากระจกด้วยท่าทีสับสน
“อี๋เหนียงเจ้าคะ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
ตั้งแต่วันที่นายหญิงเฉียวมาวันนั้น เฉียวเหลียนฝังก็เอ่ยปากขอร้องให้นายหญิงเฉียวช่วยหาสามีที่ดีให้ซิ่วหยวน ในที่สุดซิ่วหยวนก็โล่งใจ นางร่าเริงขึ้นไม่น้อย
“ข้ากำลังคิดว่า” เฉียวเหลียนฝังพูดเบาๆ “คำพูดของนักพรตฉังชุนช่างแม่นยำเสียจริง”
ได้ยินเฉียวเหลียนฝังพูดถึงนักพรตฉังชุน ซิ่วหยวนก็นึกถึงบุตรที่แท้งไปของเฉียวเหลียนฝัง สายตาของนางพลันหม่นหมองลง
“จะว่าไปแล้ว บนโลกนี้ใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ” เฉียวเหลียนฝังพูดด้วยสีหน้าที่เข้าใจ “เช่นเดียวกับคุณชายน้อยสี่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่คลอดออกมาแต่ก็เป็นที่คาดหวังของทุกคน ใครจะรู้ว่าเมื่อคลอดออกมาแล้ว กลับเป็นคนร่างกายอ่อนแอ แล้วท่านโหวก็มีแค่บุตรภรรยาเอกคนนี้คนเดียว ใครเจอก็ต้องเคารพนับถือ แต่เรื่องราวดีๆ กลับสั้นนัก แม่แท้ๆ เสียชีวิตไป แม่เลี้ยงได้ขึ้นเป็นภรรยาเอก ถือว่าเป็นความโชคร้ายในความโชคดี แต่อยู่ดีๆ กลับถูกคนรักแก…เห็นได้ชัดว่าชีวิตคนเรา ล้วนแต่ต้องลำบาก” พูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่คำพูดที่พูดออกมากลับฟังแล้วหดหู่
“ที่อี๋เหนียงพูดไม่ได้ถูกทั้งหมดเจ้าค่ะ” ซิ่วหยวนยิ้ม “บนโลกใบนี้ เดิมทีมีความโชคดีก็ต้องมีความโชคร้าย ไม่เช่นนั้น จะมีคำที่ว่าเรื่องร้ายกลายเป็นดี เรื่องดีกลายเป็นร้ายได้เช่นไรกันเจ้าคะ มีคำพูดที่ว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน บ่าวคิดว่าหากคุณชายน้อยสี่ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ต่อไปคงจะเจอเรื่องดีๆ เจ้าค่ะ…”
เฉียวเหลียนฝังไม่พูดอะไร นางมองภาพของซิ่วหยวนที่สะท้อนอยู่ในกระจกแล้วยิ้ม
*****
หยางอี๋เหนียงวางเข็มในมือลง แล้วพูดเบาๆ “ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะบุ่มบ่าม แต่มันก็ได้ผล” สายตาของนางมีความชื่นชม “คุณชายน้อยสี่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก เดินไม่กี่ก้าวก็แทบจะหายใจไม่ออก จะทนไหวได้เช่นไร! ข้าคิดว่า ถึงแม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เกรงว่าสติคงจะแตกไปแล้ว ถึงตอนนั้น หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น เกรงว่าตำแหน่งซื่อจื่อนี้คงจะไม่อยู่แล้ว”
“หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่า หากคุณชายน้อยสี่หายดีแล้ว ก็คงไม่เป็นผู้เป็นคนหรือเจ้าคะ” ป้าหยางตกใจ “ใครกันที่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ทำให้เด็กดีๆ คนหนึ่งกลายเป็นเช่นนี้ได้”
หยางอี๋เหนียงยิ้ม “หากไม่ทำเช่นนี้ บุตรของคนอื่นจะมีโอกาสได้เช่นไรเล่า”
ป้าหยางรู้สึกไม่สบายใจ นางพูดเบาๆ “แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรทำเช่นนี้…”
หยางอี๋เหนียงยิ้ม
“ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วดีกว่า!” หยางอี๋เหนียงบอกป้าหยาง “ปูเตียงเถิด! ข้าปักอีกสองสามเข็มก็จะนอนแล้ว”
“จะดีหรือเจ้าคะ” ป้าหยางลังเล “ประเดี๋ยวหากมีคนมาค้นเรือน เรายังนอนอยู่บนเตียง…”
“ไม่เป็นอะไร!” หยางอี๋เหนียงก้มหน้าลง ปักดอกไม้ที่ปักเมื่อครู่ต่อ “ค้นเรือนหลักเสร็จแล้ว ก็ไปค้นเรือนเหวินอี๋เหนียง จากนั้นก็ไปค้นฉินอี๋เหนียง เฉียวอี๋เหนียง…กว่าจะถึงเรือนเรา เกรงว่าคงจะดึกดื่นมากแล้ว”
ป่าหยางครุ่นคิด จากนั้นก็ตอบรับแล้วเดินออกไป
แต่หยางอี๋เหนียงกลับหยุดมือที่กำลังเย็บปักถักร้อย นางพูดเบาๆ “นอกจากฮูหยิน ยังจะมีใครที่รู้ความเคลื่อนไหวของจุนเกอเช่นนี้อีก แล้วใครที่สามารถสั่งงานบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้เหล่านั้นได้”
*****
“ข้าคิดดูแล้ว” สืออีเหนียงตั้งศอกขึ้นมาใช้มือเท้าค้าง เผยให้เห็นกำไลหยกที่ข้อมือของนาง “เรื่องนี้ไม่มีทางวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า ประตูหลังของเรือนไท่ฮูหยินห่างจากประตูหน้าเรือนเก่าของพี่หญิงใหญ่ไม่ถึงสิบจั้ง ปกติก็มีบรรดาสาวใช้และท่านป้าเดินไปมา คนคนนั้นไม่มีทางถือหน้ากากรออยู่ตรงนั้นทั้งวันแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ฉาเซียงบอกว่า จุนเกอนึกขึ้นมาอย่างกะทันหัน อยากจะแอบผู้ใหญ่ไปเรือนของพี่หญิงใหญ่ จึงออกไปทางประตูหลังที่ปกติจะไม่ไปทางนั้น จะว่าไปแล้ว หากคนคนนั้นยังมีคนสมรู้ร่วมคิด เห็นจุนเกอก่อน แล้วไปรายงาน พวกเขาคงมีเวลาไม่พอแน่นอน”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย “เช่นนั้น ฮูหยินรู้แล้วหรือเจ้าคะว่าคือใคร!”
“ข้าจะรู้ได้เช่นไรกัน!” สืออีเหนียงยิ้ม “ก็แค่พูดตามเหตุผล”
สีหน้าของหู่พั่วมืดมนลงอีกครั้ง
สืออีเหนียงครุ่นคิด
สาวใช้ที่ยืนอยู่นอกประตูรายงานขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม!” สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองบอกสวีลิ่งอี๋ว่าจะให้ท่านหมอจับชีพจรของนาง จึงบอกให้หู่พั่ววางม่านเตียงลงแล้วให้ท่านหมอจับชีพจร
“ชีพจรของฮูหยินแข็งแรง ไม่เป็นอะไรมากขอรับ”
สืออีเหนียงได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นหมอหลิว นางรีบถามเบาๆ “ซื่อจื่อเป็นเช่นไรบ้าง”
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ เขาแค่ตกใจเกินไป จุดเครื่ื่องหอมกล่อมนอนหลับ ทานยาสองสามชาม ค่อยๆ รักษาตัวสักระยะหนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว!”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่งหมอหลิวออกไปแล้วก็นอนลง “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่อยเรียกข้าเถิด ตอนนี้ข้าขอนอนอีกสักประเดี๋ยว หากไม่นอนพักจะอาเจียนเอาได้”
หู่พั่วตอบรับ ลดไส้ตะเกียงลงแล้วนั่งอยู่ข้างสืออีเหนียง เฝ้านางนอนหลับ
*****
ในห้องปีกทางทิศตะวันตกของเรือนไท่ฮูหยิน
ป้าตู้ลดไส้ตะเกียงลงแล้วเดินเข้าไปข้างเตียงเตา
จุดเครื่ื่องหอมกล่อมนอนหลับ สวีซื่อจุนก็หลับไปอย่างสนิท
ไท่ฮูหยินลูบหน้าผากเขาด้วยความรักใคร่เอ็นดู จากนั้นก็พูดกับป้าตู้เบาๆ “เจ้าไปดูสิว่าตอนนี้สืออีเหนียงเป็นเช่นไรบ้าง”
ป้าตู้ตอบรับเบาๆ แล้วเดินออกไป กำลังจะออกประตูไป ฮูหยินห้าก็มาพอดี
“ท่านแม่เจ้าคะ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน” นางพูดอย่างกังวล “ข้าค้นที่เรือนของข้าแล้ว นอกจากท่านป้าที่ไปเล่นไพ่ที่เรือนยามดึก คนอื่นต่างก็อยู่ครบ ไม่มีใครออกไปจากเรือนสักคน” พูดจบ นางก็ถามถึงสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่ล่ะเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่เห็นพี่สะใภ้สี่ กลับไปเรือนหลักแล้วหรือ”
สวีลิ่งควนให้ฮูหยินห้าค้นเรือนของตัวเอง ก็เพื่อป้องกันไว้ก่อนแค่นั้น ไท่ฮูหยินก็ไม่ได้หวังว่านางจะได้เรื่องอันใด
“นางพักผ่อนอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก” ไท่ฮูหยินเล่าเรื่องตอนนั้นให้นางฟัง “…ถูกจุนเกอเตะ โชคดีที่ท่านหมอบอกว่าไม่เป็นอะไร”
“นี่คือเรื่องโชคดีในความโชคร้าย” ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็เหงื่อตก “ไม่เช่นนั้น จวนคงจะวุ่นวายไม่น้อย”
“ใช่แล้ว หากสืออีเหนียงเป็นอะไรขึ้นมา…” ไท่ฮูหยินพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็หยุดพูด แล้วทำท่าทีครุ่นคิด
ฮูหยินห้าก็สังเกตเห็นแล้ว
หากจุนเกอเป็นอะไรขึ้นมา แล้วสืออีเหนียงเป็นอะไรขึ้นมาอีก เช่นนั้นบุตรภรรยาเอกของจวนสกุลสวีก็ไม่มีแล้ว
นางมองดูใบหน้าที่มืดมนของไท่ฮูหยิน กำลังคิดว่าจะพูดอะไรหยอกล้อไท่ฮูหยิน จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็พูดว่า “ที่นี่มีคุณชายสี่และคุณชายห้าอยู่ด้วย ซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่เรือนคนเดียว เจ้ารีบกลับไปเถิด!”
เพราะมันเป็นเรื่องของครอบครัวคุณชายสี่ เป็นเรื่องธรรมดาที่ไท่ฮูหยินไม่อยากให้นางรู้
ฮูหยินห้าตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ จากนั้นก็ขอตัวออกไป
ข้างนอกฝนเริ่มตกปรอยๆ อีกครั้ง ภายใต้แสงไฟ เม็ดฝนตกลงมาราวกับเข็มเย็บปักถักร้อย
บอกว่าไม่สบายไม่ใช่หรือ เหตุใดถูกจุนเกอเตะถึงไม่เป็นอะไร…ตามหลักแล้ว สืออีเหนียงกำลังตั้งครรภ์ ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย นางไม่มีทางทำอะไรจุนเกอตอนนี้ แต่เรื่องเช่นนี้ มักจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันตั้งตัว ทำให้พวกเขาเสียหลัก แต่คิดดูแล้วมันไม่เหมือนเรื่องที่สืออีเหนียงจะทำได้ลง…
นางครุ่นคิด จากนั้นก็เดินช้าลง
เหอเยี่ยที่กำลังถือร่มไม่รู้ว่าฮูหยินห้าจะไปไหน เห็นเม็ดฝนโปรยลงมา ทำให้กระโปรงของฮูหยินห้าเปียก นางจึงพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ เราจะไปไหนกันเจ้าคะ”
ฮูหยินห้าตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองต้นไผ่สีเขียวที่แกว่งใบไปมาหลังกำแพง
“ไปที่เรือนฮูหยินสอง” ตอนนี้นางอยากพูดกับใครสักคน
“เจ้าค่ะ!” เหอเยี่ยตอบรับ จากนั้นก็เดินไปยังเรือนฮูหยินสองกับฮูหยินห้า
ฮูหยินสองยังไม่นอน นางกำลังเขียนอะไรอยู่ที่โต๊ะ ได้ยินว่าฮูหยินห้ามาหา นางก็ประหลาดใจ จากนั้นก็เดินออกไปต้อนรับฮูหยินห้าที่ห้องรับแขก
“พี่สะใภ้สองเจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นแล้วท่านอาจจะยังไม่รู้” ฮูหยินห้าเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้มาให้นางฟัง “…ท่านคิดว่า ครอบครัวคุณชายสี่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พรุ่งนี้เจอกัน บรรดาลูกสะใภ้อย่างเราควรจะทำตัวเช่นไรดี”
“ไม่ควรนำเรื่องของครอบครัวไปเปิดเผยข้างนอก” ฮูหยินสองได้ยินว่าสวีซื่อจุนถูกคนรักแกนางก็มีสีหน้าตกใจ จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าที่สงบนิ่งดังเดิม “บอกว่าเป็นเรื่องของครอบครัวคุณชายสี่ ก็คือเรื่องของเจ้า เรื่องของข้า เราทำตามที่ไท่ฮูหยินบอกก็พอแล้ว!”
ฮูหยินห้าไม่ได้พอใจกับคำตอบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าฮูหยินสองไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ พูดคุยกันสองสามประโยค นางจึงขอตัวลา
เจี๋ยเซียงส่งฮูหยินห้าออกไป ฮูหยินสองนั่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กลับไปห้องหนังสือ
“ฮูหยิน ท่านรีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!” เจี๋ยเซียงเตือนนาง “พรุ่งนี้เช้าไท่ฮูหยินคงจะเรียกท่านไปพูดด้วยแน่นอน”
ฮูหยินสองจึงวางพู่กันลง
เจี๋ยเซียงรับใช้ฮูหยินสองอาบน้ำ นางลังเลที่จะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง
“มีอะไรหรือ” ฮูหยินสองถามนาง
เจี๋ยเซียงยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ฮูหยินสองเจ้าคะ ท่านคิดว่า ท่านโหวทำเช่นนี้ เขากำลังสงสัยฮูหยินสี่หรือเจ้าคะ”
“สงสัยฮูหยินสี่?” ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าท่านโหวสงสัยฮูหยินสี่เล่า” พูดจบ นางก็เหลือบมองเจี๋ยเซียงเหมือนมีอะไรในใจ “หากท่านโหวไม่ทำอะไรเลย เช่นนั้นถึงจะสงสัยฮูหยินสี่”