เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่ได้คิดจะทำอะไรเกินเลยกับเขาจริงๆ นางเพียงแค่ให้อาหารเรียกน้ำย่อยเล็กๆ น้อยๆ กับเขาเพื่อล่อให้เขาทำตามคำพูดของนางเท่านั้น
ใต้เท้าเลี่ยวให้สัญญากับนางอย่างรวดเร็ว ”ไม่ต้องห่วง เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะไม่ยอมให้คนที่เจ้าพูดถึงได้รับคัดเลือกแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดันไหล่เขาออก แล้วกระซิบแผ่วเบาว่า ”เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะตอบแทนใต้เท้าเลี่ยวอย่างแน่นอน”
ใต้เท้าเลี่ยวยังไม่คิดที่จะปล่อยนางไป เขากอดนางจากทางด้านหลัง พร้อมกับใช้มือใหญ่ของตนบีบเคล้นไปทั่วร่างของนาง แล้วบอกว่า ”อยู่ต่ออีกหน่อยสิ เดี๋ยวลุงเลี่ยวจะไปส่งเจ้าที่บ้านเอง”
รสสัมผัสที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้ขาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อ่อนแรง เพียงออกแรงผลักแค่เล็กน้อยก็ส่งให้ทั้งสองร่วงกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิมอีกครั้ง
แม้ข้ารับใช้ที่รออยู่ข้างนอกจะไม่ได้ยินถึงเนื้อหาในบทสนทนาของพวกเขา แต่ก็ยังสามารถได้ยินเสียงอันกระตุ้นอารมณ์ที่ดังออกมาจากห้องนั้นได้
ทหารรักษาการณ์สบตากันอย่างรวดเร็วพร้อมกับหัวเราะเยาะอยู่ในใจเงียบๆ พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าลับหลังนั้นบรรดาคุณหนูที่ยังไม่ทันแต่งงานพวกนี้จะใจกล้ากันถึงเพียงนี้
ลูกของใต้เท้าเลี่ยวต่างก็โตกันหมดแล้ว มิหนำซ้ำภรรยาของเขาก็ดุราวกับเสือ
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนมุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยระหว่างที่ฟังทหารรับจ้างนำข่าวนี้มาแจ้ง จากนั้นนางจึงสั่งว่า ”สะกดรอยตามนางต่อ จากนั้นก็ส่งจดหมายฉบับนี้ไปที่จวนตระกูลเลี่ยว แล้วแจ้งฮูหยินเลี่ยวว่าข้ามีของขวัญชิ้นใหญ่จะมอบให้นางที่พิธีคัดเลือกพระสนมในวันพรุ่งนี้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ทหารรับจ้างคนนั้นชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยเล็กน้อย และถึงกับชะงักกับภาพที่เห็น ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขาก็คงนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวราวกับเทพธิดาที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเจ้านายของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ร้อนใจแต่อย่างใด รอยยิ้มบนริมฝีปากสวยของนางเหยียดกว้างขึ้นทีละน้อยขณะที่นางถือร่มเอาไว้ในมือ…
หลังเสร็จสิ้นการประชุมราชสำนักในช่วงเช้า ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงกลับไปยังสำนักไท่ไป๋ ระหว่างที่เขากำลังใช้นิ้วเรียวยาวของตนถอดเสื้อคลุมอยู่นั้น เขาก็ออกคำสั่งว่า ”ไปปลุกพระชายา”
ในภาพจำที่เขามีต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาค้นพบว่าความสามารถในการทำตัวขี้เกียจอยู่บนเตียงของนางนั้นไม่เป็นสองรองใคร มันสามารถยั่วโมโหได้ทั้งมนุษย์และเทพเซียนเลยทีเดียว ถ้าไม่มีใครเรียก นางก็สามารถหลับอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ในห้องด้านหลังได้ทั้งวัน ยิ่งถ้ามีเตียงให้ นางก็จะนอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับว่าตัวเองเป็นท่อนซุง
ชิงจ้านตอบด้วยสีหน้าอึดอัดใจ ”ฝ่าบาทเพคะ พระชายา นาง….”
“ท่านกำลังตามหาข้าอยู่หรือ” เสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นนั้นดูสดชื่นและน่าฟังในยามเช้า แต่เสียงนั้นกลับทำให้คนฟังอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้หลังจากที่ได้ยิน
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวในชุดเสื้อคลุมหลวมโพรกตัวยาว นางหุบร่มลงแล้วค่อยๆ เดินเข้ามาแต่ไกล เขาหรี่ตาลง แล้วใช้นิ้วเรียวของตนส่งสัญญาณให้นาง ”มานี่”
ตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญของการตามเอาใจภรรยา บางครั้งประธานจอมเผด็จการก็จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนสำคัญของตัวเองได้เห็นในระหว่างที่ถูกเอาใจนี่เอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ต้องการผลลัพธ์เช่นนั้นเหมือนกัน นางเดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลุบตาลง แล้วปรายตามองนางอย่างรวดเร็ว เขาถามขึ้นขณะใช้นิ้วของตนไล้ไปตามรอยแผลเป็นที่อยู่บนหน้าของนาง ”เจ้าไปไหนมา” แต่อันที่จริงนั้นเขาอยากจะถามว่าทำไมวันนี้นางถึงตื่นเช้าผิดปกติมากกว่า
“อ๋อ ข้าออกไปทำธุระมา” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจ มุมหนึ่งในดวงตาของนางมีความซุกซนปรากฏอยู่ ”อย่างไรเสีย เวลาครึ่งชั่วยามในยามเช้าก็มีค่าเท่ากับหนึ่งชั่วยามในยามเย็น เวลาเช้าเป็นสิ่งล้ำค่า ข้าจึงไม่อยากพลาดมันไป”
สีหน้าสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงจ้านขณะที่นางยืนฟังอยู่ข้างๆ
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพระชายาเป็นคนประเภทยอมตายเสียยังดีกว่าไม่ได้นอน
นางพูดเรื่องไร้สาระอย่าง ’เวลาครึ่งชั่วยามในยามเช้าก็มีค่าเท่ากับหนึ่งชั่วยามในยามเย็น’ ออกมาได้อย่างไร
พระชายาทำตัวแปลกไปตั้งแต่นางได้หนังสือชื่อร้อยแปดวิธีเอาใจ ’ภรรยา’ มาไว้ในมือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยขณะที่ลดสายตาลง แล้วมองเข้าไปในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมีความหมาย จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า ”หลังจากนี้เจ้าต้องตามข้ากลับไปที่วังหลวง”
“ได้” มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็หาวออกมา ใบหน้าของนางกลับมาเป็นสีดำคล้ำนานแล้ว มันสามารถซ่อนรอยยิ้มที่อยู่ภายใต้สีหน้าของนางได้อย่างมิดชิด หืม... คนที่วังหลวงคงยังไม่รู้ว่านางกำลังเล็งองค์ชายอยู่ นางน่าจะเตือนพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้า
ที่จริงแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำราบองครักษ์เงาทั้งหมดลงได้ เวลาที่เขากลับไปเขาก็ไม่เคยปรายตามองสาวใช้ที่วังหลวงเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงองครักษ์สาวๆ จากวังปีศาจเลย
ดังนั้นข้ารับใช้ที่อยู่ใต้เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเป็นสาวใช้ที่มีอายุมากแล้วทั้งสิ้น พวกนางล้วนแต่เอาใจใส่ และเคารพนางเป็นอย่างยิ่ง ทำให้การรับใช้พระชายาพระองค์ใหม่นี้ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่านางไม่จำเป็นต้องเอาแผนการที่วางไว้มาใช้อีกต่อไป นางจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
นางสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่เคยได้ใช้ ’อำนาจอันเด็ดขาด’ ที่นางเตรียมจะใช้กับเขาได้เลยสักหน
แล้วบรรดาสาวใช้ที่หมายจะนอนร่วมเตียงกับเขาล่ะ
กระทั่งคนพวกนั้นก็ไม่มีโผล่มาเลยสักคน
นางจะหาข้ออ้างอะไรไป ’ผลักองค์ชายเข้ากับผนัง’ ได้หรือ ถ้านางไม่ ’ผลักเขาเข้ากับผนัง’ แล้วนางจะแสดงความโหดเหี้ยมชั่วร้ายของตนออกมาได้อย่างไร
เฮ้อ…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นนางกระตุกรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาขณะที่กำลังทำสีหน้าเหมือนหาอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง แต่สุดท้ายเมื่อนางหาสิ่งนั้นเจอ นางกลับเผยสีหน้าหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาใช้ตะเกียบคีบผักให้กับนาง จากนั้นจึงเอ่ยอย่างใจเย็นราวกับกำลังป้อนเหยื่อของตัวเองว่า ”อย่าใจลอยเวลากินข้าว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากแล้วกินผักชิ้นนั้นด้วยท่าทางสง่างาม แม้นางจะแอบบ่นอยู่ในใจระหว่างที่รับอาหารที่เขาป้อนให้มาเคี้ยวอยู่ก็ตาม
นางมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ข้าไม่คิดว่าผู้หญิงในหนังสือเล่มนั้นจะทำตัวเช่นนี้
พวกนางใส่ใจเรื่องอาหารการกินของท่านประธานด้วยหรือ ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้นี่นา
แต่องค์ชายนั้นต่างออกไป เขาชอบป้อนข้าวนาง และยังชอบเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคนที่นางจะไปพบอีกด้วย
แต่อย่างไรในเวลานี้นางก็เป็นประธานจอมเผด็จการ นางควรจะใส่ใจอีกฝ่าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากกินข้าวจนแก้มทั้งสองข้างของนางอัดแน่นไปด้วยอาหาร จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา เฮ้อ… องค์ชายช่างเป็นปีศาจตัวน้อยที่น่ารำคาญจริงๆ
ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น นางก็ทุ่มแรงทั้งหมดของนางไปที่การลิ้มรสอาหารอันแสนอร่อยเหล่านี้แทน
หนานกงเลี่ยถึงกับตกตะลึงกับท่าทางของทั้งสอง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงเพิ่งจะหาเสียงของตัวเองเจอ เขาเอ่ยว่า ”อาเจวี๋ย ต่อให้เจ้าจะไม่มีมารยาท แต่อย่างน้อยก็ละเว้นไม่ให้ข้าต้องเห็นภาพนี้ได้หรือเปล่า ข้ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง”
หลังจากที่ถูกขัดจังหวะ องค์ชายสามจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ”เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“ข้าอยู่ที่นี่มาตลอดต่างหาก!” หนานกงเลี่ยคำรามเสียงดัง ”พวกเจ้าสองคนมัวแต่สนใจกันเองจนไม่เห็นหัวคนอื่นต่างหากล่ะ!”
แล้วก็อีกอย่าง เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีมือหรือ
นางจำเป็นต้องให้เจ้าป้อนด้วยหรือ
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาจับผิดของหนานกงเลี่ยอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเวลานี้สายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องมาที่นางด้วย แต่นางก็ไม่คิดที่จะเอาคนเสเพลอย่างเขามาใส่สมองแม้แต่นิดเดียว
เปรี้ยงเดียวก็เอาอยู่แล้ว!
ในวินาทีถัดมา หนานกงเลี่ยก็รู้สึกเวียนหัวจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น นี่มัน… เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยชักขาข้างซ้ายที่เพิ่งถีบเขาอย่างสวยงามกลับมาด้วยรอยยิ้ม นางออกแรงกับการจู่โจมนั้นไปเพียงแค่หยิบมือเดียว
“เวยเวย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย พร้อมกับหันใบหน้าหล่อเหลาและสูงศักดิ์ของตนไปด้านข้าง
หนานกงเลี่ยน้ำตาคลอ อาเจวี๋ย ในที่สุดเจ้าก็จำได้แล้วว่าข้าคือสหายของเจ้า!
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงหันกลับไป หางตาของนางยกขึ้นเล็กน้อยราวกับรอให้เขาพูดอะไรบางอย่างออกมา
“คราวหน้าอย่าไปฆ่าใครตอนเจ้ากำลังกินข้าวอยู่ มันไม่ดีต่อระบบย่อยอาหาร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปดึงนางกลับมาที่โต๊ะ แล้วกล่าวว่า ”นั่งลง กินต่อได้แล้ว เมื่อครู่นี้เจ้ากินไปนิดเดียวเอง”
หนานกงเลี่ยที่ถูกถีบจนร่วงลงไปกองกับพื้นถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก บัดซบ! อาเจวี๋ย! เพื่อนเจ้าถูกเตะนะ! เจ้าไม่เห็นหรือ! เจ้าไม่เป็นห่วงข้าเลยหรือ!