นางยังสวมปลอกคอโลหะสีดำสนิทที่เขาให้นางเป็นของขวัญอยู่รอบคอของนาง เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของนางสยายอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางกระจ่างใสจนสามารถมองเห็นเส้นผมเงางามที่อยู่บนนั้นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นนางนอนหลับตาพริ้มด้วยสีหน้าสงบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็โน้มตัวลงจุมพิตริมฝีปากของนางอย่างอดใจไม่ไหว
ขันทีซุนใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี เขาย่อมฉลาดพอที่จะรู้ว่าภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหลังฉากกั้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้ารับใช้ควรเห็น ดังนั้นเขาจึงทำเพียงเดินเข้าไปแล้วหยุดยืนรออยู่ข้างๆ แทน
ภายใต้สถานการณ์ปกติเช่นนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมสังเกตเห็นว่าขันทีซุนมีเรื่องมารายงานเขา
“เข้ามา”
น้ำเสียงราบเรียบดังก้องมาจากด้านหลังของฉากกั้นนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังนั่งอยู่บนเตียงตอนที่ขันทีซุนเดินเข้ามา เขาไม่ได้ลุกขึ้นแม้จะเห็นว่าขันทีซุนเข้ามาแล้ว แต่กลับทำเพียงแค่ยื่นมือออกไปจัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากของเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามเสียงเบาว่า ”มีอะไร”
ขันทีซุนก้มหน้าเมื่อเห็นท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขารู้ว่าองค์ชายไม่อยากปลุกให้พระชายาตื่น เขาจึงลดเสียงลงจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แล้วตอบว่า ”นี่คือฎีกาที่บรรดาเสนาบดีส่งมาให้ในช่วงสองวันที่ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้ฮ่องเต้ซูบเซียวและอาการไม่ค่อยดีนัก ดูท่าว่าเขาคงจะไม่สามารถตรวจสอบพวกมันได้ ดังนั้นอดีตฮ่องเต้จึงสั่งให้กระหม่อมนำฎีกาเหล่านี้มาที่นี่เพื่อให้องค์ชายตรวจสอบแทนพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ และเอ่ยว่า ”วางลง ทีนี้เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”
ขันทีซุนทำตาม และหยิบฎีกาพวกนั้นมาจากขันทีอีกคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็วางพวกมันเอาไว้บนโต๊ะไม้จันทน์ที่ได้รับการแกะสลักอย่างเลิศหรูนั้น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า ”องค์ชาย อดีตฮ่องเต้ต้องการให้พระชายาไปร่วมเสวยมื้อเย็นด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมควรไปเตรียมตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ หรือควรจะรอให้พระชายาตื่นก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ”
“นางไม่ใช่คนเลือกกิน เตรียมอาหารไว้ตามปกติ แต่อย่าลืมอุ่นน้ำแกงให้ดีๆ ด้วยล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบีบนิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเล็กน้อย เขาดูพอใจอย่างมาก
ขันทีซุนสั่งข้ารับใช้ให้เริ่มเตรียมอาหาร แต่ขณะที่เขากำลังจะออกจากห้อง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปแอบมองทั้งสองคน เงาสองเงาที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของฉากกั้นบานนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ทำเอาคนที่เห็นภาพนั้นถึงกับหน้าเขียวด้วยความอิจฉา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ในอ้อมแขนด้วยความนุ่มนวลเป็นอย่างยิ่ง ไม่ปล่อยให้มันกระเทือนจนไปปลุกนางเข้า จากนั้นจึงจับศีรษะของนางซบเข้ากับคอของตน ท่าทางอันเกียจคร้านของนางเหมือนกับภาพสะท้อนของแมวที่กำลังสะลึมสะลือ ดูง่วงงุนแต่ก็ดูสูงศักดิ์อยู่ในที
ขันทีซุนตกตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน
องค์ชายไม่เคยปฏิบัติกับใครดีถึงเพียงนี้มาก่อน
ปกติเขาจะดูหงุดหงิดตลอดเวลา และอยู่แต่ในตำหนักของตนเท่านั้น
องค์ชายปฏิเสธการคัดเลือกพระสนมมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ต่อหน้านั้นบรรดาเสนาบดีทั้งหลายจะหวาดกลัวที่จะทำให้เขาเดือดดาลมาโดยตลอด แต่เบื้องหลังนั้นกลับมีเสียงซุบซิบนินทาเกิดขึ้นมากมาย
แม้อดีตฮ่องเต้จะเกลียดชังการสร้างความแตกแยกระหว่างสามีภรรยา แต่เขาก็จำเป็นต้องหารือเรื่องพระสนมกับพระชายา และบอกในสิ่งที่องค์ชายต้องทำหลังจากนั้น
ขันทีซุนทำเพียงส่ายศีรษะกับความคิดนั้น แล้วจากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับชำเลืองมองไปที่ฉากกั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ และพบว่าศีรษะของนางซบอยู่บนไหล่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางขยับตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับต้องการปลุกตัวเองให้ตื่น นายค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย และกะพริบตาติดต่อกันอีกหลายครั้ง จากนั้นนางจึงถามว่า ”เอ่อ ยามใดแล้วหรือ”
“ยังเช้าอยู่ เจ้านอนต่อเถอะ…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบพร้อมกับลูบหน้าผากของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนางก็หลับตาลงอีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวนางก็หลับสนิทไปแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดนางไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พลางใช้นิ้วของตนแตะแผ่นหลังของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นออกไปหยิบฎีกาที่ถูกวางเอาไว้เมื่อครู่ขึ้นมา สีหน้าเย็นชาไม่แยแสของเขาในยามปกตินั้น ในเวลานี้กลับดูคล้ายจะมีความอบอุ่นปรากฏขึ้นมา
ขันทีซุนไม่พูดอะไรอีกเมื่อเขาได้เห็นภาพที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของตน เขารีบพาขันทีสองคนที่มาด้วยออกจากห้องบรรทมไปอย่างรวดเร็ว
องค์ชายที่เขารู้จักนั้นเป็นคนโหดเหี้ยม ฉลาดแกมโกง และมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง เขามักเพลิดเพลินไปกับการวางแผนมากด้วยเล่ห์กล และสนุกสนานกับการเข่นฆ่าผู้คน
แต่คนเช่นเขากลับดูเหมือนกำลังใช้ความอดทนตลอดทั้งชีวิตไปกับช่วงเวลานี้
ขันทีซุนต้องรู้สึกดีใจกับเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่เขายังเล็ก องค์ชายก็ดูเป็นคนชั่วร้ายในสายตาของเขามาโดยตลอด
แม้คำว่าชั่วร้ายจะเป็นคำที่ฟังดูแปลกพิกลสำหรับใช้อธิบายเด็กคนหนึ่ง แต่ขันทีซุนก็ไม่สามารถลืมเหตุการณ์ในวันที่เขาพบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นครั้งแรกได้ลง
ในตอนนั้นองค์ชายยังเด็กอยู่ แต่เขาก็ดูสูงศักดิ์และสง่างามยิ่งนัก ทุกคนที่ได้เห็นเขาต่างก็ต้องตกตะลึงไปกับการมีอยู่ของเด็กชายรูปงามเช่นเขากันทั้งสิ้น
แต่เด็กคนที่ว่านี้กลับยืนอยู่ในอุทยานหลวง แล้วมองนางกำนัลที่กำลังจมน้ำอยู่ในทะเลสาบตาไม่กะพริบ บนใบหน้าของเขาไม่มีความตกใจอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำเขากลับเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมาเสียอีก
ในเวลานั้นขันทีซุนรู้สึกเกรงกลัวเจ้านายตัวน้อยผู้นี้ยิ่งนัก
หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดขันทีซุนก็เข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นเช่นนั้น
ในฐานะองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปราน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย ชีวิตแต่ละวันของเขาในวังหลวงนั้นย่อมไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
ตอนนี้ทุกคนอาจกำลังแข่งขันกันเพื่อให้ได้เป็นพระชายาขององค์ชาย แต่ในอดีตนั้นบรรดาหญิงสาวที่อยู่ในรั้วในวังทั้งหลายต่างก็พากันหลีกเลี่ยงเขาราวกับว่าเขาเป็นโรคระบาด
บรรดาลูกชายของเสนาบดีบางส่วนที่ใกล้ชิดกับฮองเฮาถึงกับนินทาเขาลับหลังด้วยซ้ำ
ความโดดเดี่ยวอันไร้รูปร่างนี้เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด
ด้วยเหตุนี้องค์ชายจึงกลายเป็นคนพูดน้อยคำ
อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีเพื่อน และแม้กระทั่งมารดาผู้ให้กำเนิดก็ยังไม่รักเขา
ทุกเช้าเย็น ที่โต๊ะอาหารจะมีเขานั่งอยู่เพียงลำพัง
แต่ด้วยเหตุนี้นี่เอง ความโหดเหี้ยมของเขาจึงยิ่งเพิ่มพูน
ฮองเฮาคนก่อนอาจจะพูดถูกแล้วก็ได้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนที่ชั่วร้ายไปถึงกระดูก
ที่อดีตฮ่องเต้ปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดีตลอดหลายปีเพราะเขาติดค้างอีกฝ่ายอยู่ แต่เป็นใครก็คงรู้สึกหวาดกลัวกันทั้งนั้นว่าวันหนึ่งองค์ชายจะก้าวขาสู่ทางสายมารเข้าจริงๆ
ตอนนี้เมื่อมีพระชายาอยู่เคียงข้างเขา บางครั้งบางคราวพลังปราณอันเย็นยะเยือกที่ปกคลุมร่างของเขาอยู่นั้นก็คล้ายกับจะมีประกายแห่งความอบอุ่นแผ่ออกมาจนรู้สึกได้
แต่การคัดเลือกพระสนมนั้นเป็นปัญหายุ่งยากที่ยากจะรับมือจริงๆ…
ขันทีซุนเป็นผู้ช่วยที่อดีตฮ่องเต้สามารถเชื่อใจได้ เขาได้รับคำสั่งให้นำทุกอย่างมาแจ้งให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ก่อนมื้อเย็น ดังนั้นพวกเขาจะได้หารือถึงเรื่องนี้ในระหว่างมื้ออาหารได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนหิวง่าย ดังนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงสั่งให้ข้ารับใช้เตรียมขนมทานเล่นเอาไว้ในห้องนอนจนเป็นกิจวัตร จากนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปจัดการเรื่องในราชสำนักต่อที่ห้องทรงอักษร
พอลืมตาขึ้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้รับการต้อนรับด้วยกล่องใส่ขนมหวานหลากสีสันพร้อมกับชาหลงจิ่งหอมกรุ่น นางกินขนมพลางฟังขันทีซุนชี้แจงรายละเอียดเรื่องนั้นให้นางฟังอย่างแข็งขัน
ตอนแรกนางยังรู้สึกสนใจอยู่เล็กน้อย
แต่จากนั้นนางก็หยิบซาลาเปาลูกท้อที่รสชาติไม่ถูกปากนักขึ้นมา ก่อนยัดมันเข้าไปในปากขันทีซุน นางเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเล็กน้อยว่า ”การคัดเลือกพระสนมจะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้ ท่านจะตื่นตระหนกไปทำไมหรือ”
เขาจะตื่นตระหนกไปทำไมน่ะหรือ เขาตื่นตระหนกก็เพราะเป็นห่วงนางน่ะสิ!
ขันทีซุนลอบถอนหายใจในใจ และจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาเป็นคำถาม พระชายาใจกว้างถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
“การคัดเลือกพระชายาจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนกลืนซาลาเปาลูกท้อที่อยู่ในปากลงคอ แล้วเอ่ยต่อ ”ผลการประเมินความงามของพวกนางก็ออกมาแล้วเช่นกัน หญิงที่ได้อันดับหนึ่งคือแม่นางอวิ๋นที่ได้รับการแนะนำมาจากสี่ตระกูลใหญ่พ่ะย่ะค่ะ อดีตฮ่องเต้ไม่ชอบนางเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในเวลานี้เขาไม่สามารถกล่าวอันใดได้ เฮ้อ! เขาร้อนใจแทบตายแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นดูสงบเยือกเย็น ตรงกันข้ามกับสีหน้าทุกข์ใจของขันทีซุน แต่นางกลับเลิกคิ้วขึ้นอย่างซุกซน แล้วถามว่า ”ท่านบอกว่าอวิ๋นปี้ลั่วได้อันดับหนึ่งในการประเมินความงามหรือ”