องค์รัชทายาทวิ่งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้หอบหายใจเพราะวิ่งหรือเพราะได้ยินข่าว เขาหอบหายใจหนักจนเกือบเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายพลาดไป
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท” ฝูชิงประคองเขา พูดด้วยน้ำตา “ระวังพ่ะย่ะค่ะ ระวังพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทสะบัดเขาออก ก่อนจะวิ่งตรงไปยังตำหนักอีกครั้ง
ด้านหน้าตำหนักมีขันทีหลายคนรออยู่ เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเสด็จมา พวกเขาต่างเข้ามาพยุง
“เสด็จพ่อทรงเป็นอย่างไรบ้าง” องค์รัชทายาทถามเสียงสั่น
ขันทีที่เป็นหัวหน้าทูลตอบเสียงสั่น “เวลานี้ยังไม่ฟื้น แต่ยังมีลมหายใจพ่ะย่ะค่ะ”
หมายความว่าฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่
ในขณะที่พูด องค์รัชทายาทก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างต่อเนื่อง พระสนมเสียน พระสนมสวีและองค์หญิงจินเหยาต่างอยู่ในห้องโถง แม้จะมีน้ำตาก็ไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง กลัวว่าจะรบกวนการรักษาของบรรดาหมอหลวง
องค์รัชทายาทเดินเข้าห้องด้านในอย่างรวดเร็ว บรรดาหมอหลวงหลีกทาง องค์รัชทายาทมองฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียง คุกเข่าร้องไห้เรียก “เสด็จพ่อ”
ดวงตาของฮ่องเต้ปิดสนิท สีหน้าซีดเซียว นอนนิ่งไม่ขยับ หน้าอกมีการขยับขึ้นลงถี่แสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่
“องค์รัชทายาท” หมอหลวงพูดเสียงเบา “พวกกระหม่อมกำลังหาทาง เวลานี้อาการของฝ่าบาทยังคงที่พ่ะย่ะค่ะ”
“คงที่หรือ” องค์รัชทายาทถามอย่างร้อนใจ “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
เขาพูดพลันหันไปมองขันทีจิ้นจง
ข้างกายเสด็จพ่อมีขันทีจิ้นจงติดตามอยู่ทุกเวลา ไม่มีเรื่องใดที่ปิดบังเขาได้
สีหน้าของขันทีจิ้นจงทั้งร้อนใจทั้งเสียใจ “อันที่จริงฝ่าบาทประชวรมาระยะหนึ่งแล้ว นับวันอาการปวดหัวยิ่งมากขึ้น หมอหลวงจางปรุงมายาเพื่อควบคุม ไม่คิดว่าจะควบคุมไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
น้ำตาขององค์รัชทายาทหลั่งไหลลงมา “เหตุใดจึงไม่บอกข้า เสด็จพ่อยังทรงงานหนักเพียงนี้ ข้าก็ไม่รู้”
ขันทีจิ้นจงคุกเข่าพลันตำหนิตนเอง “กระหม่อมผิดเอง”
หมอหลวงจางพูดอยู่ด้านข้าง “องค์รัชทายาท โรคนี้สะสมมาหลายปี เดิมทีสามารถควบคุมได้ เพียงแค่ต้องพักผ่อนให้มาก อย่าได้เกิดความโกรธ เดิมทีหลายวันนี้ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เหตุใดจึงรุนแรงขึ้น…”
หากเป็นหมอหลวงท่านอื่นพูดเช่นนี้คงต้องถูกตำหนิว่าผลักภาระ แต่หมอหลวงจางติดตามฮ่องเต้มานาน บุตรชายคนโตของหมอหลวงจางที่ตายไปก็เติบโตต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้เหมือนบรรดาองค์ชาย ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางใกล้ชิดกัน ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา องค์รัชทายาทจึงรีบหันไปมองขันทีจิ้นจง “เกิดเรื่องใดขึ้น เสด็จพ่อทรงโกรธอีกแล้ว หรือเพราะทรงเหน็ดเหนื่อยกับงานอภิเษกของเหล่าท่านอ๋อง”
สีหน้าของขันทีจิ้นจงประหลาดไป เขาลังเลเล็กน้อย “ก็ ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่องค์รัชทายาทกับบรรดาหมอหลวงกำลังพูดคุยกันนั้น พระสนมเสียนและพระสนมสวีที่อยู่ห้องด้านนอกต่างเงี่ยหูฟัง แต่เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ พวกนางก็เดินเข้ามาอย่างไม่สนใจสิ่งใด
“ไม่มีเพคะ มีแต่พวกเรากับสำนักเส้าฝู่เจี้ยน พวกหม่อมฉันต่างบอกให้ฝ่าบาทพักผ่อน” ทั้งสองพูดอย่างพร้อมเพรียง เป็นพยานให้ตนเองและอีกฝ่าย
หากจะบอกว่าฝ่าบาทประชวรเพราะงานอภิเษกของท่านอ๋องทั้งสาม เช่นนั้นท่านอ๋องทั้งสามคงมีความผิดมหันต์แล้ว
“ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องอื่นไม่ได้เข้าวังในระยะนี้” พระสนมเสียนพูด “หม่อมฉันบอกให้พวกเขาอย่ามารบกวนฝ่าบาท”
“ถึงแม้ซิวหยงจะอยู่ในวัง” พระสนมสวีรีบพูด “แต่เขาก็ยุ่งเรื่องสอบคัดเลือกตลอดเวลา”
ในขณะที่พวกนางพูดอยู่นั้น ด้านนอกมีคนมารายงาน “ท่านอ๋องฉีมาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทมองไป เห็นฉู่ซิวหยงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “เสด็จพ่อ…”
องค์รัชทายาทพูดขัดเขา “ด้านหน้ารู้หมดแล้วหรือ”
ถึงแม้ฮ่องเต้ไม่ได้เข้าประชุมในท้องพระโรง แต่บรรดาขุนนางต่างยังคงทำหน้าที่ของตนเอง ตำหนักด้านหน้าก็มีขุนนางที่เข้าเวร
ฮ่องเต้ประชวรกะทันหันเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากทูลรายงานองค์รัชทายาทแล้ว วังหลังก็มีการปิดข่าวชั่วคราว
“หม่อมฉันให้คนไปบอกเขาเอง” พระสนมสวีรีบพูด พลันปิดหน้าร้องไห้ “ฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันตกใจอย่างมาก”
ฉู่ซิวหยงพูดกับองค์รัชทายาท “ข้าไม่ได้บอกผู้อื่น”
พวกเขาต่างเป็นบุตร ถึงแม้เขาจะเป็นองค์รัชทายาท ก็ไม่อาจห้ามองค์ชายอื่นมาเยี่ยมฮ่องเต้อย่างไม่มีเหตุผล องค์รัชทายาทพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เขาเข้าใกล้ พลันพูดเสียงสะอื้น “ไม่รู้เกิดอันใดขึ้นกับเสด็จพ่อ”
ฉู่ซิวหยงคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กลั้นน้ำตาพลันกุมพระหัตถ์ของฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ” เขาหันไปมองหมอหลวงจางด้วยความดีใจ “พระหัตถ์ของเสด็จพ่อยังมีแรง ข้าจับพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ออกแรงแล้ว”
หมอหลวงจางไม่ได้ดีใจมากนัก เขาพูดเสียงเบา “เวลานี้ยังดี แต่ต้องทำให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว หากนานไป เกรงว่า…”
เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ
เสียงร้องไห้ของพระสนมเสียนและพระสนมสวีดังขึ้น องค์หญิงจินเหยาร้องไห้เสียงเบา
“องค์รัชทายาท” ฉู่ซิวหยงสูดลมหายใจเข้า “เรียกบรรดาขุนนางใหญ่เข้ามาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทมองเขาโดยไม่พูดสิ่งใด
“รวมทั้งท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลู” พระสนมเสียนแม้จะร้องไห้ก็ไม่ลืมที่จะพูด
องค์รัชทายาทสูดลมหายใจพลันหลับตา “ข้ารู้แล้ว ข้าไปจัดการ”
ฉู่ซิวหยงพูดอีกครั้ง “รวมทั้งน้องหก”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ องค์รัชทายาทชะงักไปเล็กน้อย เขามองไปทางขันทีจิ้นจง “น้องหกมาก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่”
เรื่องที่องค์ชายหกเข้าวังจะปิดบังองค์รัชทายาทได้อย่างไร ถึงแม้องค์รัชทายาทจะไม่เอ่ยออกมาเองก็ตาม ขันทีจิ้นจงถอนหายใจ ทำได้เพียงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จมาก่อนหน้านี้”
หมอหลวงอีกคนพูดเสริม “เสด็จมาตอนที่กระหม่อมมาส่งยาให้ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นสีหน้าของฝ่าบาทไม่ดีนัก เดิมทีอยากตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทก่อน แต่ฝ่าบาททรงปฏิเสธ เพียงแค่เสวยยาเข้าไป จากนั้นกระหม่อมถอยออกมา ยังไม่ได้เดินออกมาไกลนัก ก็ได้ยินว่าฝ่าบาททรงสลบไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนในห้องต่างมองไปทางหมอหลวงผู้นั้น ก่อนหน้านี้หมอหลวงผู้นี้ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว เวลานี้กลับพูดเรื่องทั้งหมดต่อหน้าองค์รัชทายาท อีกทั้งยังผลักภาระอย่างไม่ปิดบัง…
แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ วันนี้เขาเข้าเวร ฝ่าบาททรงสลบไปหลังจากเสวยยาที่เขาส่งมา หมอหลวงผู้นี้คงกลัวมาก ก่อนหน้านี้จึงไม่กล้าพูด เวลานี้เห็นองค์รัชทายาทก็ราวกับเห็นเชือกฟางช่วยชีวิต
องค์รัชทายาทมองเขา ก่อนจะมองไปทางขันทีจิ้นจง เอ่ยถาม “น้องหกมาทำอันใด”
ขันทีจิ้นจงพูดตามความจริง “องค์ชายหกตรัสว่ายังไม่สมรส แต่จะพาคุณหนูตันจูกลับเมืองซีจิงก่อน รอทั้งสองอยากสมรสเมื่อใดค่อยสมรส”
ทันทีที่สิ้นเสียง ทั้งห้องตกอยู่ในความตะลึง พระสนมเสียนและพระสนมสวีตะโกนเสียงดัง “ทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เด็กคนนี้เป็นอันใด”
“เขาบอกว่าอยากสมรสเอง เวลานี้ก็มาบอกว่าไม่สมรสแล้ว!”
คนอื่นอาจไม่รู้เรื่องนัก แต่พวกนางรู้ดีอย่างมาก สาเหตุที่ฉู่อวี๋หยงสมรสกับเฉินตันจูได้เป็นฝีมือของฉู่อวี๋หยง เวลานั้นเขาก็ทำให้ฝ่าบาททรงโกรธครั้งหนึ่งแล้ว เวลานี้เขากลับบอกว่าไม่สมรสอีก เขาเห็นพระราชโองการของฝ่าบาทเป็นสิ่งใด!
มิน่าฝ่าบาทจึงทรงโกรธจนสลบไป!
ภายในห้องวุ่นวาย องค์รัชทายาทและฉู่ซิวหยงไม่พูด องค์หญิงจินเหยาปิดปากและตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความตกตะลึง…ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่นางรู้ดีอย่างมาก รู้ว่าฉู่อวี๋หยงทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้
ฉู่อวี๋หยงทำให้ฝ่าบาททรงโกรธจนอาการประชวรกำเริบ!
ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าใช่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธ บรรดาหมอหลวงและขันทีต่างเงียบสนิท
องค์รัชทายาทถอนหายใจยาว มองไปทางขันทีจิ้นจง “เสด็จพ่อทรงโกรธมากใช่หรือไม่”
ขันทีจิ้นจงก้มหน้าทูลตอบ “พ่ะย่ะค่ะ”
มีขันทีอีกคนพูดเสริม “ฝ่าบาททรงโยนฎีกาทิ้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ที่องค์ชายหกอยู่ มีเพียงขันทีจิ้นจงรับใช้อยู่ด้านข้าง ผู้อื่นไม่รู้ว่าภายในคุยเรื่องใดกัน เพียงแค่ได้ยินเสียงด่าของฮ่องเต้ เมื่อองค์ชายหกจากไป บรรดาขันทีเข้ามาด้านใน เห็นฎีกาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงโกรธ
ขันทีจิ้นจงเหลือบมองขันทีผู้นี้ ขันทีผู้นี้พูดมากเกินไปหรือไม่ แต่ก็เข้าใจได้ ฮ่องเต้ทรงสลบไปอย่างกะทันหัน บรรดาขุนนางฝ่ายในที่อยู่ในเหตุการณ์เวลานั้นย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษได้ ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน
พระสนมที่นิสัยดีก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป “เรียกเขาเข้ามา! ฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้ เขาจะจากไปอย่างง่ายดายหรือ!”
ขันทีจิ้นจงไม่พูดสิ่งใด อันที่จริงเขามีเรื่องที่ต้องการพูด อันที่จริงฮ่องเต้ไม่ได้ทรงโกรธองค์ชายหก ระหว่างพวกเขาพ่อลูกเป็นเช่นนี้เสมอมา แต่เขาพูดไม่ได้ เพราะไม่อาจอธิบายเรื่องนี้
มันเป็นความลับที่ไม่อาจพูดได้
เฮ้อ ขันทีจิ้นจงทำได้เพียงเงียบ คราวนี้ถือว่าองค์ชายหกโชคไม่ดี เจอปัญหาเข้าแล้ว
เวลานี้ด้านนอกรายงานว่าเชิญบรรดาขุนนางที่เข้าเวรมาแล้ว
พระสนมสวีพูดกับองค์รัชทายาทเสียงเบา “เชิญองค์ชายหกมาให้เร็วเข้าเสียเถิด เขาต้องให้คำอธิบายแก่ทุกคน”
ฮ่องเต้ไม่อาจประชวรอย่างไร้สาเหตุ! ระยะนี้นอกจากเรื่องงานอภิเษกของเหล่าท่านอ๋องก็ไม่มีเรื่องใหญ่อื่นแล้ว!
สายตาภายในห้องต่างจับจ้องไปยังองค์รัชทายาท ฮ่องเต้ทรงล้มลงแล้ว เวลานี้ผู้ที่สามารถตัดสินใจได้มีเพียงองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทที่ฟังเรื่องทั้งหมดไม่แสดงความโกรธแม้แต่น้อย หากแต่ส่ายหัวถอนหายใจ “เสด็จพ่อทรงเป็นเช่นนี้แล้ว เรียกเขามาจะทำอันใดได้ ร่างกายเขาก็ไม่ดี หากเกิดเรื่องอีก ข้าจะทูลเสด็จพ่ออย่างไร”
เขายกมือ
“เชิญบรรดาขุนนางใหญ่เข้ามาหารือเถิด อาการประชวรของเสด็จพ่อสำคัญที่สุด”
องค์รัชทายาทช่างเป็นพี่ชายที่ใจอ่อน ผู้คนในห้องต่างก้มหน้า
ดวงตาของฉู่ซิวหยงฉายแววเยาะเย้ย พูดถึงเพียงนี้แล้ว ไม่เรียกองค์ชายหกเข้ามาจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือ
เรียกเข้ามาอย่างไรก็ต้องถกเถียง ไม่เรียกเข้ามา รอบรรดาขุนนางใหญ่มาแล้วย่อมเป็นการตัดสินโทษโดยตรง
พระสนมสวีถลึงตามองเขา เห็นได้ชัดว่านางก็รู้เรื่องนี้ดี นางกลัวว่าเขาจะพูดมาก ในเมื่อมีองค์ชายหกรับผิดชอบ ทุกคนย่อมปลอดภัย…ฮ่องเต้ทรงสลบไป แผ่นดินครึ่งหนึ่งของต้าเซี่ยก็เป็นขององค์รัชทายาทแล้ว
องค์รัชทายาทที่ครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งเอาไว้ย่อมมีอำนาจในการตัดสินความเป็นความตาย
ฉู่ซิวหยงพยักหน้าให้พระสนมสวี ไม่ต้องให้นางเตือน เพราะมันเป็นฝีมือของเขา
ประตูตำหนักใหญ่เปิดออก เสียงฝีเท้าวุ่นวาย บรรดาขุนนางที่ได้ข่าวต่างหลั่งไหลเข้ามาราวกับเมฆดำบนท้องฟ้า อีกทั้งยังมีเสียงฟ้าผ่าดังจากระยะไกล
ไม่อาจหลีกเลี่ยงฝนที่กำลังจะตกลงมาได้
…
เมื่อหยาดฝนเม็ดใหญ่ลงตกลงมา หวังเจียนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างถูกฝนสาดจนเปียกไปทั้งตัว เขาก้าวถอยหลัง มองเข้าไปภายในห้อง ฉู่อวี๋หยงกำลังนั่งดื่มชา ถึงแม้จะบอกว่ากำลังดื่มชา แต่ความจริงแล้วเขากำลังเหม่อลอย
“ท่านเพิ่งออกมา ฝ่าบาทก็ทรงเกิดเรื่อง” หวังเจียนพูด “บังเอิญเสียจริง”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้า “ข้าเพิ่งเข้าเฝ้าฝ่าบาท พระองค์ไม่มีร่องรอยอาการกำเริบ ดังนั้น…”
เรื่องนี้ต้องมีปัญหา
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงรายงานอย่างรีบร้อนที่ดังขึ้นมาจากในวังหลวงเวลานั้น ฉู่อวี๋หยงยังคงจากมาอย่างเด็ดขาด
ไม่แน่ว่าเวลานี้ภายในวังหลวงอาจมีตาข่ายผืนใหญ่รอเขากระโจนเข้าไปอยู่
เขาไม่อาจเข้าไปอย่างบุ่มบ่าม หนึ่งคือเปิดเผยสายในวังหลวงของตนเอง สองคือกังวลว่าเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้
หวังเจียนเงียบไปสักพัก พูดขึ้น “มาดูว่าผู้ใด หวังว่าพวกเขาจะไม่บ้าคลั่งเพียงนั้น”
สังหารฮ่องเต้เชียว
“ข่าวบอกว่าสลบ เวลานี้เสด็จพ่อยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต” ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเบา
หวังเจียนพูดเสียงต่ำ “ไม่ว่าพวกเขาต้องการกำจัดผู้ใด แต่การกระทำนี้ถือว่าทำร้ายท่าน ลองเชิงท่าน พวกเราจะไม่ทำสิ่งใดเลยหรือ”
ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องสนใจ ข้าไม่สนใจพวกเขา” เขาลุกขึ้นเดินมาริมประตู มองไปยังทิศทางของวังหลวงผ่านฝนและหมอก
ผู้คนที่ถูกขังอยู่ในแผ่นดินนั้น ทั้งน่าโกรธแค้นทั้งน่าสงสาร