ตอนที่ 441 ความหลังของตระกูลเฉิน
เฉินเฟินชำเลืองมองแม่ของตน แล้วเอ่ยอย่างประชดประชัน “คุณจะหมายความว่า ผมแค้นเคืองคุณไม่ได้ และควรจะรู้สึกขอบคุณที่ตอนนั้นคุณทิ้งผมไป ส่วนตัวเองก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างนั้นใช่ไหม?”
แม่เฉินน้ำตาไหลพรากดุจสายฝน “เปล่านะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น”
เฉินเฟิงถามอย่างเย็นชา “งั้นคุณหมายความว่าอะไรล่ะ?”
“แม่…แม่แค่อยากให้พวกเราแม่ลูกได้กลับมาเชื่อมสัมพันธ์กัน….”
เฉินเฟิงหัวเราะเหอะๆ อย่างเย็นชาสองสามคำ “พูดไปพูดมา คุณก็ยึดเรื่องดีๆ เข้าตัวหมดเลยนะ ตอนนั้นอยากจะทิ้งผมไปก็ทิ้ง ตอนนี้อยากจะเอาผมคืนก็เอา ตัวคุณเองกับสามีคนปัจจุบันของคุณไม่มีลูกชายหรือไง ถึงได้ต้องมาเอาผมกลับไป!”
ตอนนั้นที่แม่ของเขาทิ้งเขาไป เขาเคยได้ยินแม่เลี้ยงบอกไว้ว่าแม่ของเขาคลอดน้องชายนอกสมรสตัวน้อยคนหนึ่งให้กับสามีคนปัจจุบันของหล่อน
เพราะอย่างนั้นผู้ชายที่คิดเพียงอยากได้เด็กผู้ชายไว้สืบทอดวงศ์ตระกูลคนนั้นถึงได้ยอมแต่งหล่อนเป็นภรรยา แล้วพาหล่อนไปถึงต่างประเทศ
ไม่อย่างนั้นต่อให้หล่อนจะหน้าตางดงามราวเทพธิดาอย่างไร ชาวจีนโพ้นทะเลในต่างประเทศผู้ร่ำรวยคนนั้นก็ไม่มีทางแต่งกับหล่อน
ในเมื่อหล่อนสองสามีภรรยามีลูกชายร่วมกัน แล้วยังจะเอาเขากลับไปทำไม? หัวสมองมีปัญหาหรือไง?
แม่เฉินได้ยินคำพูดนั้น ก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าว “น้องชายของลูกเขาประสบอุบัติเมื่อไม่กี่ปีก่อน…เขาจากไปแล้ว…”
เฉินเฟิงถึงเพิ่งเข้าใจ “ดังนั้นคุณเลยตามหาผม อยากเอาผมกลับไปเป็นลูกชายของพวกคุณสามีภรรยางั้นเหรอ?”
จากนั้นก็พูดแทงใจดำ “ผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับคุณไปตั้งนานแล้ว คุณจะเอาผมกลับไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
ขณะที่พูด เขายังมองพิจารณาแม่ของตนหัวจรดเท้า “คุณก็เพิ่งจะอายุสี่สิบกว่า สามีของคุณเองก็น่าจะไม่ได้แก่จนถึงขั้นจะมีลูกไม่ได้แล้ว พวกคุณสองคนพยายามสักตั้ง คลอดลูกชายอีกสักคนก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องลำบากมาขอร้องผมด้วย?”
แม่เฉินพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “พ่อเลี้ยงของลูกเขา…เขา…เขาเสื่อมภาวะเจริญพันธุ์แล้วน่ะ”
เฉินเฟิงถามอย่างสงสัย “เสื่อมสมรรถภาพจากฤทธิ์สุราเหรอ?”
แม่เฉินค่อนข้างรับอึดอัดใจ ก่อนมองเขาอย่างวิงวอน “เรื่องนี้ลูกอย่าถามเลย แม่แค่อยากจะรู้จักมักคุ้นกับลูกเท่านั้น”
เมื่อเห็นสีหน้าเหยียดหยามของเฉินเฟิง แม่เฉินก็พูดต่อ “ลูกไม่ต้องกังวลว่าจะรู้จักมักคุ้นกับแม่หรือเปล่าหรอก ลูกจะได้ไปอยู่ที่บ้านใหม่ คนในบ้านเราสบายๆ เป็นกันเอง นอกจากแม่กับพ่อเลี้ยงของลูกแล้ว ยังมีลูกสาวที่รับเลี้ยงมาอีกคนหนึ่ง ถ้าลูกเชื่อมความสัมพันธ์กับแม่แล้ว ต่อไปทรัพย์สินของพ่อเลี้ยงทั้งหมดก็จะเป็นของลูก จะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ส่วนลูกสาวบุญธรรม ก็ให้สินเดิมก้อนโตๆ หล่อนไปสักก้อนก็ได้แล้ว”
เฉินเฟิงพูดอย่างเย็นชา “อย่าเอาเงินมาล่อผม ผมเองก็มีเงินเยอะเหมือนกัน”
คำพูดนี้ของเขาไม่ได้คุยโวโอ้อวดเลยแม้แต่น้อย
ก่อนที่จะทำธุรกิจร่วมกับหลินม่าย เขาทำเงินได้มากมายจากการขายสินค้าที่ได้มาจากศุลกากรอยู่แล้ว
แค่เฉพาะตัวเขาเมื่อก่อนที่เป็นพ่อค้าหน้าเลือดและเปิดตลาดมืด….ก็หาเงินได้หลายแสนหยวนแล้ว ที่เมืองหลวงก็ยังมีเรือนสี่ประสานอีกสองแห่ง
เงินน่ะ เขามีไม่ขาดเลยจริงๆ
แม่เฉินหัวเราะอย่างดูแคลนเล็กน้อย “เงินเล็กน้อยนั่นของลูกมันเทียบกับทรัพย์สินของพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้หรอก”
“แล้วมันยังไงกันล่ะ?” เฉินเฟิงถากถางกลับ “ผมไม่สน!”
แม่เฉินเกลี้ยกล่อมเขาด้วยความหวังดี “เจ้าเด็กโง่ จงใจหาเรื่องกับใครกับอะไรก็ได้ แต่อย่าหาเรื่องกับเงินเชียว”
เฉินเฟิงแค่นหัวเราะแล้วพูด “ดังนั้น เพื่อเงินแล้ว เพื่อชีวิตแสนสุขอาหารดีอาภรณ์งาม ตอนนั้นก็เลยทิ้งผมไว้งั้นสิ?”
แม่เฉินพลันหน้าแดงก่ำขึ้น “นั่นมัน…ลูกโทษแม่ไม่ได้จริงๆ นะ…พ่อของลูกประสบอุบัติเหตุตายไปตอนที่ลูกเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน ในบ้านเหลือแค่แม่กับย่าของลูก และยังมีลูกที่ยังไม่หย่านม ชีวิตยากจนข้นแค้นก็ว่าไปอย่าง แต่หลังจากที่พ่อลูกตายไป ย่าของลูกก็เอาความตายของพ่อลูกโยนให้เป็นความผิดของแม่ทั้งหมด บอกว่าแม่เป็นตัวซวย ทำให้ลูกชายของหล่อนตาย ไม่ทุบตีก็ด่าทอแม่ ทั้งยังมักจะไม่ให้ข้าวแม่กินอยู่บ่อยๆ แล้วลูกจะให้แม่ใช้ชีวิตอยู่ยังไง? แล้วตอนนั้นพ่อเลี้ยงของลูกก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี เขาคอยถามไถ่ทุกข์สุขกับแม่ แม่จะไม่รู้สึกกับเขา ไม่ตามเขาไปได้ยังไง? ลูกต้องเข้าใจสถานการณ์ในตอนนั้นของแม่ด้วยสิ”
แม่เฉินร้องไห้อยู่ตลอดเวลาที่กำลังพูดเรื่องเหล่านี้ ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจเป็นพิเศษ
แต่เฉินเฟิงกลับไม่เกิดความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย
สิ่งเขารู้มาจากแม่บุญธรรมนั้นมันเป็นหนังอีกม้วนหนึ่งเลย
แถมแม่บุญธรรมของเขาก็คือพี่สาวแท้ๆ ของแม่เขา และเป็นป้าของเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะโกหกจึงมีน้อยมาก
แม่บุญธรรมบอกเขาว่า พ่อแท้ๆ ของเขามีฐานะเดิมร่ำรวย
แม่ที่ยังสาวและสวยของเขาในตอนนั้นต้องฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพล พยายามสุดความสามารถถึงได้แต่งงานกับเขา
พ่อของเขาเสียไปด้วยอุบัติเหตุ ทั้งยังด่วนจากไปในช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในวิกฤต ทรัพย์สินทั้งหมดล้วนมอบให้กับทางการ ฐานะของครอบครัวจึงร่วงดิ่งลงมาในทันที
เบื้องบนจัดสรรให้แม่และย่าของเขาไปเป็นคนงานที่โรงปั่นฝ้ายทั้งหมด
แม่ของเขาไม่อาจรับความลำบากได้แม้แต่นิด เพียงสามวันก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว แล้วจึงไม่ได้ทำงานอีกเลย
ทั้งครอบครัวสามปากท้อง ต้องพึ่งพาย่าของเขาเลี้ยงทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ย่าของเขาจึงแค้นเคืองแม่ของเขาอย่างมาก
แต่ก็เพียงแค่ต่อว่าไม่กี่คำเท่านั้น ส่วนเรื่องทุบตีหรือไม่ให้ข้าวกินนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น
แต่แม่เฉินไม่เพียงลำบากไม่ได้เท่านั้น ยังนึกอยากจะเป็นคุณนายเฉินที่ได้กินอาหารดีๆ ใส่เสื้อผ้าดีๆ อย่างแต่ก่อน
แต่ตอนนั้นสภาวะเศรษฐกิจในประเทศทุกข์ยากถึงขนาดนั้น ผู้คนมากมายแม้แต่อาหารก็มีไม่พอยาไส้ คุณย่าเฉินจะไปให้ชีวิตเช่นนั้นกับหล่อนได้อย่างไร!
แม่เฉินจึงหันไปตกสามีคนปัจจุบันของหล่อน
คุณย่าเฉินเห็นว่าลูกชายเพิ่งเสียไปไม่นาน ลูกสะใภ้ก็มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับคนอื่นเพื่อแสวงความสบายเสพความสุขเสียแล้ว นั่นจึงทำให้นางทุบตีด่าทอหล่อน
แม้ว่าตอนนั้นเฉินเฟิงจะเพิ่งสามสี่ขวบ แต่เขาเองก็จำได้ลางๆ ว่าแม่ของเขาอยู่ที่บ้านน้อยมาก ทว่าเมื่อกลับมาก็จะเอาของอร่อยๆ มาให้เขาด้วยทุกครั้ง
และต่อจากนั้น แม่ของเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
แต่เขากลับยังดื้อดึงยืนอยู่ที่ทางแยกที่จะไปบ้านของเขา คอยมองหาอย่างโง่เขลา และรอให้แม่มาหาเขาอยู่ตลอด
ไม่ว่าใครจะบอกว่าแม่ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เขาก็ไม่เชื่อ
กระทั่งรออยู่หนึ่งปีเต็มๆ เขาก็หมดสติไปในยามพลบค่ำที่พายุโหมกระหน่ำ เมื่อตื่นขึ้นมา เขาถึงได้พบความสิ้นหวัง
แม่เฉินร้องไห้อย่างหนักจนแทบลมจับ แต่กลับเห็นลูกชายนิ่งเฉยไม่แยแส จึงถามอย่างระมัดระวัง “ลูกจะยอมกลับมาเชื่อมความสัมพันธ์กับแม่ไหม?”
เฉินเฟิงพูดอย่างเย็นชา “ให้ผมคิดดูอีกไม่กี่วันค่อยว่ากัน ตอนนี้คุณไปก่อนเถอะ”
แม่เฉินหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา จากนั้นก็หยิบแป้งตลับขึ้นมาเติมหน้า ถามขึ้นด้วยแววตาหม่นเลือน “ลูกจะคิดสักกี่วันล่ะ?”
เฉินเฟิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “ไม่รู้สิ”
แม่เฉินนิ่งงัน “อย่างนั้นอีกสองสามวันแม่จะมาหาลูกใหม่นะ”
พูดจบ หล่อนก็ผลักประตูห้องทำงานเดินออกไป
หลินม่ายมาถึงไซต์ก่อสร้าง ก็ไปเยี่ยมผู้อาวุโสเจิ้งก่อน แล้วมอบของขวัญที่ซื้อมาให้เขาให้
เอ่ยแสดงความเสียใจอีกสองสามคำ แล้วจึงมาหาเฉินเฟิง
ประจวบเหมาะกับที่แม่เฉินที่เดินนวยนาดผ่านมาพอดี
บนตัวของแม่เฉินนั้นสวมใส่ชุดเครื่องประดับทับทิม ส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางแสงแดดในฤดูร้อน ดึงดูดหลินม่ายให้มองไปที่หล่อนหลายครั้ง
แม่เฉินเองก็มองมาที่เธออย่างสำรวจสืบเสาะ
เด็กสาวหน้าตาสะสวย แต่งตัวทันสมัยคนหนึ่งมาหาลูกชายของหล่อน ไม่มีทางที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของหล่อนได้หรอก
ทว่าทั้งสองคนเพียงมองพินิจกันไม่นาน ก็ต่างฝ่ายต่างละสายตากันไป
หลินม่ายเดินเข้าไปในห้องทำงาน กำลังคิดจะถามว่าผู้หญิงสวยๆ คนเมื่อครู่นั้นคือใคร ก็เห็นสีหน้าหดหู่ของเฉินเฟิง เธอจึงเปลี่ยนประเด็นแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “นายเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไรหรอก” เฉินเฟิงฝืนทำท่าทีมีชีวิตชีวา “เธอมาได้ยังไงล่ะเนี่ย คงไม่ได้เพิ่งประชุมเสร็จก็คิดถึงฉันมาหรอกนะ”
หลินม่ายจงใจเมินคำพูดหยอกเย้าของเขา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “ฉันมาแสดงความเสียใจกับผู้อาวุโสเจิ้งต่างหาก ก็เลยจะมาถามนายด้วยเลย ว่าเหล้านอกที่ซื้อมาจากศุลกากรพวกนั้นจะเอาออกมาขายในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์กับวันชาติสักหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ ทำไมเหรอ?” เฉินเฟิงถามอย่างงุนงง
“ฉันกลัวว่าเหล้านอกพวกนั้นจะมีคนสั่งจองไว้แล้วน่ะ ก็เลยมาถามก่อน”
หลินม่ายเห็นท่าทางที่ไม่ค่อยอยากคุยของเฉินเฟิง จึงจากไปทันทีที่คุยเสร็จ
เธอยังต้องรีบไปสำนักงานเขตเพื่อถามผอ.เขตโอวหยาง ว่าหน่วยงานเอกชนจะซื้อที่ดินสร้างโรงงานได้อย่างไร
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ในสำนักงานเขต
ผอ.เขตโอวหยางได้ยินความตั้งใจของหลินม่าย ก็พลันตะลึงไปสองสามวินาที “ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน หลังจากที่รายงานกับเบื้องบนแล้วผมจะให้คำตอบคุณอีกที”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ถึงอย่างไรเมืองเจียงเฉิงก็เพิ่งจะดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศเท่านั้น เบื้องบนเองก็กำลังคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ ระบบระเบียบอีกมากมายต่างก็ยังไม่เข้าที่
แต่เธอรู้มาจากประสบการณ์ในชาติที่แล้ว ว่าเธอสามารถซื้อที่ดินผืนนี้ได้อย่างแน่นอน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รอดูต่อไปค่ะว่าเรื่องครอบครัวของเฉินเฟิงจะไปจบที่ตรงไหน ซับซ้อนเหลือเกิน
ไหหม่า(海馬)