“เพียงแต่หน้าตาของเจ้า…” อดีตฮ่องเต้ที่ชินกับการออกคำสั่งอย่างเขา นานทีปีหนจะรู้สึกลังเลว่าจะพูดอะไรดี เขารู้สึกพอใจกับเฮ่อเหลียนเวยเวยผู้เป็นภรรยาของหลานชายจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ถึงอย่างไรราชวงศ์ก็ยังคงเป็นราชวงศ์ ดังนั้นจึงมีเรื่องให้ต้องกังวลหลายประการ และใบหน้าของเวยเวยก็คือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเข้าใจในสิ่งที่อดีตฮ่องเต้ต้องการจะสื่อ นางยิ้มออกมาเล็กน้อย ”เสด็จปู่ทรงอย่าได้เป็นกังวล เมื่อเวลานั้นมาถึง หม่อมฉันจะจัดการกับปัญหานั้นเองเพคะ”
อดีตฮ่องเต้กำลังคิดที่จะถามว่านางจะแก้ไขปัญหานี้ไปได้อย่างไร เพราะผิวพรรณของคนเราใช่ว่าจะสามารถขาวผ่องขึ้นได้ในทันทีทันใด
แต่ถ้าเวยเวยถูกเลือกจริงๆ และอันดับของนางก็ไม่ได้อยู่ไกลนัก เช่นนั้นเขาก็จะมีข้ออ้างไม่ให้อาเจวี๋ยต้องเลือกนางสนม
“ได้” อดีตฮ่องเต้ยิ้ม ”เจ้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยก็ได้ ข้าจะสนับสนุนเจ้าเอง ต่อให้เจ้าไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่ข้าก็ยังสามารถทำให้เจ้าอยู่ในห้าลำดับแรกได้ แต่เจ้าต้องาเตรียมตัวแต่งหน้าและแต่งตัวมาเป็นอย่างดีด้วยล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าทันทีที่ได้ยินดังนี้ ”เพคะ”
อดีตฮ่องเต้รู้สึกชื่นชมในความสุขุมของนางเสมอมา เขาหันไปออกคำสั่งกับขันทีซุนที่ยืนอยู่ข้างกายว่า ”หลังจากนี้เจ้าค่อยนำรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการคัดเลือกพระสนมมาให้เวยเวยดู”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนตอบ จากนั้นจึงชำเลืองมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง ความประหลาดใจในหัวใจของเขายังไม่เลือนหายไป หากว่ากันด้วยหลักการ รูปร่างหน้าตาในปัจจุบันของพระชายานั้นคือสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาควรแสดงให้ประชาชนเห็น ทันทีที่ใบหน้าอัปลักษณ์นี้ปรากฏสู่สายตาของผู้คน มันจะต้องนำมาซึ่งความไม่พอใจอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่
บรรดาคุณหนูที่มีคุณสมบัติครบครันแต่ไม่ได้รับเลือกย่อมนำตัวเองมาเปรียบเทียบกับผู้หญิงอัปลักษณ์ที่ได้เป็นถึงพระชายาสามคนนี้แน่
ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่บนโลกใบนี้มีผู้หญิงอยู่ตั้งมากมาย
แต่ทำไมองค์ชายถึงได้หลงใหลได้ปลื้มคนคนนี้เพียงผู้เดียว
หลังจากผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ต่อให้โลกใบนี้จะมีผู้หญิงอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครเข้าหาองค์ชายโดยไร้เจตนาแอบแฝงเหมือนอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำสักคน
แม้เขาจะติดตามรับใช้องค์ชายมาหลายปี แต่เขาก็ยังกลัวเวลาที่ต้องอยู่กับองค์ชาย เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังใช้ชีวิตอยู่กับเสือร้ายทุกครั้งที่องค์ชายแสดงด้านมืดของตัวเองออกมา
แต่เรื่องนี้กลับดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย นางเห็นองค์ชายเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายธรรมดาที่นางรัก
ตั้งแต่พระชายาย้ายเข้ามาในวังหลวง ฝ่าบาทก็หัวเราะบ่อยขึ้น อีกทั้งวิธีที่เขาใช้เอาอกเอาใจพระชายานั้นก็ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของทุกคนทีเดียว
เขาอยู่ในวังหลวงมานาน และเคยเห็นพระชายาถูกตามใจจนนิสัยเสียมาก็หลายคน
ทันทีที่พวกนางได้รับความโปรดปราน พวกนางก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทุกคนล้วนแต่ปฏิบัติต่อสาวใช้และขันทีในวังหลวงด้วยการดุด่าและทุบตีอยู่เสมอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยในเวลานี้นั้นเป็นเพียงแค่เด็กสาววัยรุ่น แต่นางกลับให้ความรู้สึกสุขุมเยือกเย็นในเวลาที่เผชิญหน้ากับวิกฤติ
แม้ปกตินางจะดูเป็นคนเกียจคร้าน และเวลาส่วนมากก็มักจะไม่ทำอะไร แต่ทุกการกระทำของนางก็เต็มไปด้วยความกดดัน
นางไม่เคยทำตัวหยิ่งผยองเพียงเพราะได้รับความโปรดปราน ตรงกันข้าม นางกลับยิ่งทำตัวสุภาพกับผู้อาวุโสมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ผู้หญิงเช่นนี้เหมาะสมกับความมืดภายในวังหลวง
นางแตกต่างจากองค์ชาย
องค์ชายเป็นคนประเภทที่ไม่ว่าภายนอกนั้นเขาจะดูศักดิ์สิทธ์เพียงใด แต่ภายในนั้นกลับเย็นชาอย่างมาก ความเย็นชาในดวงตาของเขาทำให้เขาเปลี่ยนจากเทพเป็นปีศาจได้ในทันที
ตรงกันข้าม เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่เขากลับสัมผัสถึงความมืดจากนางไม่ได้ จะสัมผัสได้ก็เพียงแต่ความสว่างไสว ความเกียจคร้าน และความทรหดอดทนราวกับแสงอันอบอุ่น
ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่าบาท แต่แม้กระทั่งข้ารับใช้ต่างก็ชอบอยู่ข้างกายพระชายากันทั้งนั้น
ดังนั้นขันทีซุนจึงรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก เพราะหากเทียบกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว เขาต่างหากที่กำลังร้อนใจราวกับถูกไฟเผา
พวกเขาต้องหาผู้หญิงที่เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้กับพระชายา
แล้วก็เสื้อผ้า… จริงสิ!
เขามีเส้นสายมากมาย ดังนั้นการจะหาตัวช่างตัดฉลองพระองค์สักคนย่อมไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ปัญหาใหญ่ก็คือเวลาที่พวกเขามีนั้นกระชั้นชิดยิ่งนัก เพราะงานคัดเลือกพระชายาจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว!
สวรรค์ ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าลูกสาวกำลังจะแต่งงานเช่นนี้!
ไม่ได้การ เขาต้องรีบเตรียมการเดี๋ยวนี้!
ดังนั้นขันทีซุนจึงรีบหาข้ออ้างมอบสิ่งที่ตนรับผิดชอบให้คนอื่นรับช่วงต่อทั้งที่ยังไม่หมดเวลามื้อเย็นเสียด้วยซ้ำ
เมื่ออดีตฮ่องเต้ส่งคนไปหาเขา เขากลับตอบมาเพียงสองคำว่า ”ยุ่งอยู่!”
คนที่ถูกส่งไปถึงกับตกตะลึง เพราะเขารู้ว่าขันทีซุนเป็นคนที่จงรักภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ที่สุดมาโดยตลอด เขากล้าถึงขนาดบอกกับอดีตฮ่องเต้ว่า ’ยุ่งอยู่’ เชียวหรือ”
แน่นอนว่าคนที่ถูกส่งไปย่อมไม่ได้นำคำพูดสองคำนั้นรายงานกับอดีตฮ่องเต้ เขาเพียงแต่บอกว่าขันทีซุนไม่สามารถมาได้ และจะมาเข้าเฝ้าทันทีที่เขาสะดวก
สุดท้าย แม้ว่ามื้อเย็นจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ขันทีซุนก็ไม่ได้มาปรากฏตัวอีกเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับสั่งให้บรรดาคนที่เขาเลี้ยงดูให้ใช้เส้นสายทั้งหมดที่ตนมีเพื่อหาฉลองพระองค์ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยในวันคัดเลือกพระสนม
เขามองดูฉลองพระองค์ราคาสูงเสียดฟ้าผ่านตาไปชุดแล้วชุดเล่า เขารู้สึกว่าเวลาที่เอาจริงเอาจังนั้น เขาช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย!
อีกด้านหนึ่งนั้นอดีตฮ่องเต้จงใจเรียกให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาหาในระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกไปนอกห้อง เขาถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยว่า ”แม่หนู อย่าถือโทษโกรธปู่เลยนะที่ปู่ตัดสินใจเช่นนี้”
“หม่อมฉันไม่โกรธพระองค์หรอกเพคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรินน้ำชาให้เขา ”หม่อมฉันรู้ดีเพคะว่าสถานการณ์ปัจจุบันภายในราชสำนักนั้นเป็นเช่นใด ดังนั้นขอเสด็จปู่โปรดวางพระทัย หม่อมฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้คนอื่นมารังแกอยู่แล้วเพคะ”
หลังจากได้ฟังคำพูดของนาง ความรู้สึกผิดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในหัวใจของเขา ”เป็นข้าต่างหากที่แข็งแกร่งไม่พอ แต่กระนั้นบิดาของอาเจวี๋ยก็ยังเลวร้ายกว่าข้าเสียอีก หากไม่ใช่เพราะความโหดเหี้ยมที่เขามีมาตั้งแต่ยังเด็ก ป่านนี้เด็กคนนั้นก็คงมาไม่ได้ไกลถึงเพียงงนี้ ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกว่าลูกหลานตระกูลไป๋หลี่นั้นเป็นคนเลือดเย็น แม้พวกเราจะมีฐานะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แต่พวกเราต่างก็เป็นเพียงแค่ศพเดินได้เท่านั้น บรรดาคนที่ถูกเขาลงโทษต่างก็เคยสาปแช่งเขาด้วยซ้ำว่าให้เขามีชีวิตนิรันดร์ และต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต หลังจากผ่านมาหลายปี เขาก็ยังไม่มีใครสักคนอยู่ข้างกาย บอกตามตรงว่าข้าเองก็เคยสงสัยว่า… เขาอาจจะชอบบุรุษมากกว่าจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอยากจับมือกับอดีตฮ่องเต้ยิ่งนัก นางก็สงสัยเช่นนี้อยู่เหมือนกัน!
“แต่แล้วข้าก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สนใจใครเลย” อดีตฮ่องเต้หลุบตาลง ความเสียใจอย่างสุดซึ้งปรากฏให้เห็นบนใบหน้า ”การอยู่บนจุดสูงสุดนั้นช่างโดดเดี่ยว ข้าส่งเขาไปอยู่จุดนั้นเร็วเกินไป และยังรับผิดชอบในการกระทำนั้นได้ไม่ดีพอ ตอนที่ข้าพบว่าเขาถูกมารดาปฏิเสธ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีใครที่เราจะสามารถเชื่อใจได้ แต่อย่างน้อยองค์ชายพระองค์อื่นก็ยังมีมารดาที่พร้อมทำเพื่อพวกเขาจากหัวใจ การที่เจวี๋ยเอ๋อร์ต้องคอยระวังคนอื่นเอาไว้เช่นนี้ก็นับว่าเสียเปรียบอยู่แล้ว แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือเขายังต้องคอยระวังมารดาของตนเองอีกด้วย หลังจากมู่หรงมาที่วัง วิธีการที่เขาใช้ก็ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยคิดที่จะอยู่ร่วมกับใคร เด็กสาวคนก่อนหน้านี้นั้นท่านแม่ของเขาเป็นคนทิ้งให้อยู่กับเขา ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติกับเด็กสาวคนนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น ข้าเคยคิดว่าเขาอาจจะเลือกเด็กสาวคนนั้นมาเป็นพระชายาหลังจากที่โตขึ้น แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิดไป มีหลายสิ่งที่สามารถทำให้เขาหัวเราะได้ แต่เจ้าเป็นคนแรกที่สามารถทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจได้”
“เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าประหลาดใจเพียงใดตอนที่เขาบอกข้าว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเลือกสนม เพราะเขารู้ว่าเจ้าจะต้องหนีเขาไปอย่างแน่นอน” อดีตฮ่องเต้ยิ้มพลางหันมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”แม้ข้าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็เหมือนอย่างที่คนพวกนั้นว่าไว้ว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยม และเขาไม่เคยใส่ใจสิ่งใด แต่ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนที่เขาห่วงใยเสียที ต่อให้คนคนนั้นจะกลายเป็นจุดอ่อนของเขา แต่ปู่ก็ดีใจ”