ณ ตอนนี้ เวลานี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถม้าก็ฉายขึ้นในห้วงความคิด ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยหน้าแดงระเรื่ออย่างอดไม่อยู่ ไม่ใช่ว่านางเปลี่ยนใจจากหนิงเซ่าชิง และก็ไม่ได้เกิดรักซูชีขึ้นมา แต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของคนที่เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ซูชี ซูชี…เฮ้อ… มั่วเชียนเสวี่ยถอนหายใจ
จะต้องเป็นครั้งนั้นที่นางกระทำการไม่เหมาะสม หยอกเย้าซูชี ถึงได้ทำให้คุณชายที่รักอิสระไร้กฎเกณฑ์เช่นเขาถึงกับสับสน…
มั่วเชียนเสวี่ยเกิดความรู้สึกผิดต่อซูชีขึ้นมาในใจ ทั้งยังนึกถึงความรักลึกซึ้งของท่านหญิงซูซู ถ้าหากมีวันหนึ่งที่ซูซูรู้ว่าตนเองเป็นอุปสรรคชิ้นโตที่ทำให้ความรักของนางไม่มีวันเป็นจริง ก็ไม่รู้ว่าจะเกลียดตนเองหรือไม่
คิดไปคิดมา มั่วเชียนเสวี่ยก็หงุดหงิดใจ
หนิงเซ่าชิงเกิดความรู้สึกหึงหวงขึ้นในใจ ใบหน้าทะมึน แต่กลับแข็งใจตำหนิไม่ลงแม้แต่น้อย สำหรับมั่วเชียนเสวี่ย ตอนนี้เขามีเพียงแต่ความสงสาร ถึงนางจะทำเรื่องเลวร้ายที่สุดในโลก ขอเพียงแค่นางยังมีชีวิตอยู่ และสบายดี เขาล้วนไม่ถือสาหาความ เขาเพียงจะทำลายอุปสรรคในหนทางเบื้องหน้าให้
เซ่าชิงเพิ่มแรงกระชับฝ่ามือที่จูงมือมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ให้แน่นขึ้น
ความกระชับแน่นนี้กำลังเหมาะพอดี เรียกสติมั่วเชียนเสวี่ยให้กลับคืนมา ทั้งยังทำให้มั่วเชียนเสวี่ยจำเป็นต้องเร่งฝีเท้าตามไป
เพียงแต่มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะเดินตามไป หนิงเซ่าชิงกลับหยุดนิ่งเสียอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึง คนขี้หึงคงไม่ได้คิดจะแผลงฤทธิ์ตอนนี้หรอกนะ
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หนิงเซ่าชิงจะทำเพียงแค่ถอนหายใจ ปลดเสื้อตัวนอกบนร่างมาคลุมไว้บนร่างนางอย่างเรียบร้อย ทั้งสางเรือนผมที่ยุ่งเหยิงของนาง ทั้งยังกางอาภรณ์สะอาดของตนเองออกมาเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าของนางอย่างละเอียดจนสะอาดสะอ้าน
การกระทำของเขาแผ่วเบา อ่อนโยน ทั้งยังเป็นธรรมชาติ มั่วเชียนเสวี่ยจ้องเขาเขม็ง
เห็นเพียงแค่ในแววตาที่ใสกระจ่างราวกับสายน้ำมีเพียงความจนปัญญาและสงสาร ไร้ซึ่งความรังเกียจและตำหนิเลยแม้แต่น้อย ความกระวนกระวาย แค้นเคืองใจ และอับจนหนทางตลอดทั้งคืนนี้ของมั่วเชียนเสวี่ยได้มลายหายไปจนหมดสิ้น
มีบุรุษคอยทะนุถนอม รักและเอาใจเช่นนี้คนหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่มีความสุขมากที่สุดในโลกแล้ว
มีเพียงแค่ประสบพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามที่ยากจะก้าวผ่าน ถึงจะจดจำไว้ในใจได้ไม่ลืมเลือน ถ้าหากว่าไม่มีความทุกข์ยากเหล่านั้น จะสามารถมองเห็นจิตใจที่แท้จริงของคนคนหนึ่งอย่างชัดเจนได้เช่นไร
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มั่วเชียนเสวี่ยที่เข้มแข็งมาโดยตลอดกลับมีน้ำตาเอ่อล้นหน่วยตาในคราวนี้
ภายใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินยามค่ำคืนก่อนรุ่งสาง ทั้งสองคนล้วนมิได้สนทนากัน แต่นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง
สายตาสองคู่ประสานกัน จุมพิตของหนิงเซ่าชิงแตะลงบนหน่วยตาที่คลอไปด้วยน้ำตา แผ่วเบา นุ่มนวล แต่ลึกซึ้ง ราวกับได้ลิ้มรสสุราดอกสาลี่ที่หวานกลมกล่อม จิบเพียงเล็กน้อยรสชาติก็กระจายไปทั่ว ทั้งยังเหมือนกับสายฝนปรอยๆ ที่ตกลงมาจากชั้นเมฆ
มั่วเชียนเสวี่ยเกือบจะขาดอากาศหายใจ คล้ายกับร่างกายลอยอยู่บนชั้นเมฆอันอ่อนนุ่ม แสงจันทร์นุ่มนวลและสงบเงียบ ดวงดารานับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นประกายแสงอันงดงาม ระเบิดดังตูมภายในร่างนาง
จุมพิตที่แผ่วเบา ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ตอนนี้กลับทำได้เพียงเท่านี้
แม้ว่าจวนจะถูกเผาทำลายไปแล้ว ทางเดินหินบนพื้นกลับเผาทำลายไม่ได้ หนิงเซ่าชิงปล่อยมั่วเชียนเสวี่ยออกแล้วจูงมือนางเดินไปนอกจวนกั๋วกง
พ่อบ้านมั่วกับอวี่เสวียนตามกลับมาพร้อมกับมั่วเชียนเสวี่ย อวี่เสวียนติดตามอยู่ด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ยเงียบๆ ตลอดเวลา พ่อบ้านมั่วกำลังนับจำนวนบ่าวรับใช้ผู้โชคดีที่อยู่ในจวน
อวิ๋นอิ๋นที่สายตาเฉียบแหลมเห็นมั่วเชียนเสวี่ยในแวบแรกทันที จึงโผเข้ามาแล้วคุกเข่าลงกับพื้น “คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ! ขอบคุณฟ้าดิน…”
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในเส้นทางลับ ก็พลางเดินพลางขบคิดดูว่าใครกันแน่ที่วางยาในอาหาร ก่อนพวกนางจะพักผ่อนล้วนกินขนมที่อวิ๋นอิ๋นยกมาให้
จากรูปการณ์ในวันก่อน ความน่าสงสัยของอวิ๋นอิ๋นมีมากที่สุด ตอนนั้น นางไม่ค่อยหิว กินไปเพียงแค่ชิ้นสองชิ้น ส่วนหมัวมัวกับพวกชูอีวิ่งไปทั่วตลอดทั้งวัน หิวจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว จึงกินเข้าไปไม่น้อย
ตนเองกินน้อย และเคยกินยาที่ท่านหมอหวังที่เป็นหมอประหลาดมอบให้เป็นรางวัล ดังนั้นถึงได้ฟื้นคืนสติเร็ว…
แต่ทว่า ตอนนี้เห็นว่าอวิ๋นอิ๋นก็สวมชุดตัวในเช่นกัน ทั้งร่างเต็มไปด้วยขี้เถ้า บนใบหน้ายังมีรอยขีดข่วนจากการถูกกิ่งไม้หรือสิ่งของอื่นๆ เกี่ยวเข้า ดวงตาก็ร้องไห้จนบวมช้ำ ในใจจึงสั่นคลอน พลางยื่นมือไปประคองอวิ๋นอิ๋นให้ลุกขึ้น
อวิ๋นอิ๋นลุกขึ้น “คุณหนูใหญ่ ท่านลำบากแล้ว! หากว่าท่านมีเรื่องอะไร บ่าวตายหมื่นครั้งก็ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงของคุณหนูได้!” เสียงนี้ ประโยคนี้ น้ำตานี้เต็มไปด้วยความจริงใจ
คือความเป็นห่วงจริงๆ หรือแสร้งเข้ามาต้อนรับปรนนิบัตินั้น มั่วเชียนเสวี่ยย่อมแยกออก
นางวางความสงสัยในใจลง และมีความรู้สึกตื้นตันใจอยู่บ้าง
บ่าวและข้ารับใช้ที่เฝ้าดูแลเรือนคนอื่นๆ ก็ค้นพบเช่นกัน ย่อมพากันคุกเข่าลง พลางร้องไห้ทำความเคารพมั่วเชียนเสวี่ย
พ่อบ้านมั่วนับจำนวนคนแล้วก็มารายงานว่า “รายงานคุณหนูใหญ่ บ่าวนับจำนวนคนเรียบร้อยแล้ว สาวใช้ ผัวจื่อ และบ่าวรับใช้ชายที่เฝ้าดูแลจวนมีทั้งหมดสามสิบเจ็ดคนขอรับ”
คนทั้งหมดในจวนมีร้อยกว่าคน ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่สามสิบเจ็ดคน จะแบกรับความรู้สึกเช่นนี้ไหวได้อย่างไร
คนที่ตายก็จากไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากไปถือสาหาความอันใดอีก เพียงแค่สั่งพ่อบ้านมั่วให้จัดการที่พักให้คนเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อน เรื่องอื่นๆ รอวันพรุ่งนี้ค่อยจัดการ
ขณะที่เอ่ย ก็ถูกหนิงเซ่าชิงอุ้มขึ้นม้าและจากไปอย่างรวดเร็ว
จวนกั๋วกงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเช่นนี้ เขาย่อมส่งคนมาช่วยพ่อบ้านมั่วจัดการ ทำไมต้องให้เชียนเสวี่ยของเขาเปลืองสมองด้วยเล่า
อวี่เสวียนคิดจะตามไป แต่ถูกพ่อบ้านมั่วดึงเอาไว้
คุณหนูใหญ่อยู่กับหัวหน้าตระกูลหนิง ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นแน่นอน
พ่อบ้านมั่วอายุหกสิบแล้ว เดิมก็สนิทกับมั่วเหนียง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างผู้เป็นนายกับหัวหน้าตระกูลหนิง เขาก็รู้มาบ้าง
เขายังอยากให้อวี่เสวียนฉวยโอกาสที่ฟ้ายังมืดอยู่ ไปรับชูอีกับสืออู่กลับมา
ร้านค้าแห่งนั้น ไม่เปิดเผยออกมาจะดีกว่า
มั่วเชียนเสวี่ยถูกหนิงเซ่าชิงพากลับไปยังตระกูลหนิง และให้พักอยู่ในเรือนที่อยู่ข้างเรือนหลักเรือนหนึ่ง
ช่วงเวลาเช่นนี้ ปล่อยมั่วเชียนเสวี่ยไว้ในสถานที่ใดล้วนไม่สบายใจเท่ากับให้อยู่ภายใต้สายตาตนเอง
อีกทั้ง ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ พานางกลับมายังตระกูลหนิง คนนอกก็ไม่กล้าลือวาจาแย่ๆ อะไรออกไป
ตอนนี้เป็นเวลายามอิ๋น[1] ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งคืน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยคราบเขม่า นางแช่น้ำอุ่น เปลี่ยนอาภรณ์สะอาดชุดหนึ่งภายใต้การปรนนิบัติของสาวใช้ จากนั้นก็เอนตัวนอนลงในอ้อมแขนของหนิงเซ่าชิง และผล็อยหลับไปอย่างสบายใจ
นางหลับแล้ว ส่วนหนิงเซ่าชิงกลับยังไม่ได้หลับตาลง
แต่มองนางด้วยความสงสารครู่หนึ่ง พลางวางนางลงบนเตียงอย่างมั่นคง พร้อมกับเหน็บชายผ้าห่มให้ จากนั้นก็ย่องออกจากประตูห้องไปเงียบๆ เขากำชับเย่ว์เซี่ยซึ่งเป็นสาวใช้ให้เฝ้าประตูให้ดี ถึงได้ออกจากเรือนข้างกลับไปยังเรือนหลัก เย่ว์เซี่ยเป็นบุตรีแม่นมของหนิงเซ่าชิง ถือได้ว่าเติบโตมาด้วยกันกับเขาตั้งแต่เยาว์วัย มีความซื่อสัตย์ และไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นใดต่อเขา
สาวใช้ที่หน้าตาน่าเอ็นดูผู้นี้ รวมเอาจุดเด่นของชูอีกับสืออู่เอาไว้ นิสัยร่าเริง ดูบุ่มบ่าม ใจร้อน แต่กลับทำงานละเอียดรอบคอบ ทั้งยังมีวรยุทธ์ติดตัวอยู่บ้าง มีนางเฝ้าอยู่ และอยู่ในถิ่นของตระกูลหนิง หนิงเซ่าชิงก็วางใจ
หนิงเซ่าชิงที่ออกประตูไป ความรู้สึกอ่อนโยนบนใบหน้าก็เลือนหายไปอย่างไร้วี่แววทันที และเปลี่ยนเป็นความเย้ยหยัน โหดเหี้ยม และเร่งรีบ
เรื่องที่เขาต้องจัดการในวันนี้ย่อมมีไม่น้อย ไม่เพียงแต่เรื่องในตระกูลที่มีไม่น้อย เรื่องของจวนกั๋วกงก็ไม่น้อย เรื่องของขุนนางในราชสำนักก็ไม่น้อยเช่นกัน
[1] ยามอิ๋น คือ 03.00 – 04.59 น