Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 294 สถานีรถไฟสำหรับคนหนึ่งคน

ตอนที่ 294 สถานีรถไฟสำหรับคนหนึ่งคน

บุคลากรในวงการกดเข้าไปในข่าวด้วยความรู้สึกสับสนในใจ

ไม่มีใครจินตนาการถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถานีรถไฟกับบะหมี่หยางชุนได้ จนกระทั่งได้อ่านเนื้อหาโดยละเอียดของข่าวนี้…

ในข่าว ผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานด้วยน้ำเสียงและท่วงท่าจริงจังชัดเจน

“เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เมืองเยี่ยของมณฑลฉู่ รถไฟขบวนหนึ่งกำลังจะหยุดวิ่ง บนบลูสตาร์เกิดเหตุการณ์ที่การคมนาคมจะหยุดเดินรถเป็นครั้งคราว เดิมทีนี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่เพราะเหตุใดถึงได้ดึงดูดความสนใจเป็นวงกว้างจากโลกภายนอกได้”

นั่นน่ะสิ ทำไมกัน

เรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสั้นของฉู่ขวงได้ยังไงล่ะ

หลายคนจับจ้องตาแทบไม่กะพริบ

“นักข่าวได้ทราบมาว่า ในความจริงแล้วบริษัทซานสือซึ่งรับผิดชอบการเดินรถไฟสายนี้ได้ตัดสินใจระงับการเดินรถตั้งแต่สามปีที่แล้ว เพราะรถไฟสายนี้ขาดทุนมาเป็นระยะยาว เดินรถวันหนึ่ง อีกวันหนึ่งก็ขาดทุน แต่ในตอนนั้นเอง ก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น และส่งผลให้บริษัทซานสือเปลี่ยนใจ”

การรายงานหยุดลงชั่วคราว

ภาพประกอบข่าวเป็นภาพของหิมะ เด็กผู้หญิงสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาและพันผ้าพันคอสีแดงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

มีคนให้สัมภาษณ์

“ตอนนั้นการรถไฟบอกว่าปิดสถานีรถไฟแล้ว แต่ภายหลังพวกเขาพบว่ามีเด็กผู้หญิงมัธยมคนหนึ่งยังนั่งรถไฟขบวนนี้ไปโรงเรียนทุกวัน”

ฉากตัดไป

เด็กหญิงก็ให้สัมภาษณ์ “หนูเป็นผู้โดยสารคนเดียวของรถไฟขบวนนี้…”

มีคนฉุกคิดเชื่อมโยงขึ้นมาได้

นักข่าวหญิงแนะนำต่อ “นี่เป็นเส้นทางไปกลับระหว่างไป๋ถงกับหย่วนชิง โดยบริษัทขนส่งซานสือ ซานสือเป็นบริษัทขนส่งทางรางที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลฉู่ มีเส้นทางทั่วทั้งมณฑลฉู่ ทว่าก่อนที่จะหยุดการเดินรถ บริษัทซานสือพบว่าบนเส้นทางนี้มีนักเรียนมัธยมวัย 17 ปีคนหนึ่ง จะเดินทางด้วยรถไฟไปกลับระหว่างบ้านและโรงเรียนทุกวัน เธอไปโรงเรียนในเวลา 7:04 นาฬิกา และจะกลับบ้านช่วงเย็นในเวลา 17:08 นาฬิกา เป็นเช่นนี้เป็นเวลาสามปี”

ชั่วขณะนั้น ผู้ที่เคยอ่านเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามก็พอจะตระหนักได้ถึงเหตุผลขึ้นมาบ้างแล้ว

เสียงของพิธีกรยังคงบรรยายต่อไป “บริษัทซานสือจึงบอกว่า เอาละ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนของเธอ เก็บรถไฟขบวนนี้ไว้ให้เธอก่อนก็แล้วกัน มีผู้โดยสารเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร ด้วยเหตุนี้เองรถไฟจึงไม่ถูกระงับ และยังคงเดินรถต่อไปจนกระทั่งเธอจบมัธยมปลายปีสาม ดังนั้นเรื่องนี้จึงยืดเยื้อมาจากเมื่อสามปีที่แล้ว มาจนถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เพราะหลังจากนี้เด็กหญิงจะไม่ต้องขึ้นรถไฟไปกลับโรงเรียนอีกแล้ว”

ภาพข่าวไปหยุดที่ตารางเดินรถทั้งสองของรถไฟขบวนนี้

ตารางแรก ระบุสถานีต่างๆ

ตารางที่สอง กลับระบุไว้เพียงสองช่วงเวลา

“เพราะบนรถไฟไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ดังนั้นเวลาเดินรถจึงถูกแก้ไข”

“เดิมทีจะระบุเวลาปล่อยรถ ผ่านสถานีไหนบ้าง ออกตอนกี่โมง และถึงตอนกี่โมง ตั๋วในแต่ละระยะราคาเท่าไหร่”

“หลังจากนั้นก็พบว่าไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ซับซ้อนเช่นนั้นอีกต่อไป เขียนไว้แค่ [เดินรถเพื่อเธอ] ก็คงเพียงพอแล้ว”

“ส่งเธอไปโรงเรียนทุกวัน และรับเธอกลับจากโรงเรียนทุกวัน”

“นอกจากนั้น ด้วยนิสัยของชาวฉู่แล้ว เรื่องนี้หากจะลงมือทำแล้ว ย่อมต้องระบุเวลาละเอียดถึงหน่วยวินาที ต่อให้มีผู้โดยสารเพียงคนเดียว บอกว่าถึงสถานี 7:04 ก็ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นาทีเดียว บอกว่าออกจากสถานีเวลา 17:08 ก็รักษาเวลาอย่างเคร่งครัด”

“ต้องเข้าใจว่า รถไฟไม่ใช่รถแท็กซี่ รถไฟวิ่งหนึ่งเที่ยวต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนเท่าไหร่ ทั้งเจ้าหน้าที่ขับรถไฟ เจ้าหน้าที่ดูแลผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่เก็บตั๋ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า…ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความทรุดโทรมของรถไฟและระบบราง ลำพังรถไฟสองตู้ วิ่งแค่หนึ่งช่วงโมง จะกินพลังงานไปเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ของฟรีอย่างแน่นอน และบริษัทซานสือก็ไม่ใช่องค์กรการกุศล นักเรียนหญิงยังต้องซื้อตั๋วเข้าสถานี”

“ตั๋วราคาเท่าไหร่น่ะหรือคะ”

“นักข่าวของเราตรวจสอบมาแล้ว ตั๋วไปกลับราคาทั้งหมดสามสิบหกหยวน จ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อเรียกรถแท็กซี่นั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นตั๋วรถไฟราคาสามสิบหกหยวนนับว่าใจดีมากแล้ว นอกจากนั้น เนื่องจากยังขายตั๋ว จึงจำเป็นต้องมีคนขายตั๋ว เก็บตั๋ว และจำเป็นต้องลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และวัสดุเช่นเดียวกัน”

เมื่ออ่านข่าวมาจนถึงตอนนี้ มีหลายคนถึงขั้นสงสัยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือเปล่า

แต่ว่า…

นักข่าวหญิงกล่าวว่า

“จากความเข้าใจของเรา การปฏิบัติในลักษณะนี้ ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังยิ่งใหญ่ คนทั่วไปไม่มีทางเพลิดเพลินกับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ หรอกใช่ไหมคะ นอกจากนั้นยังดำเนินงานเช่นนี้มาตลอดสามปี แต่นักข่าวของเราศึกษาดูจึงได้พบว่า เด็กหญิงคนนี้ไม่ได้มีพื้นเพหรือครอบครัวที่มีอำนาจแต่อย่างใด อาจจัดอยู่ในขอบเขตของครอบครัวยากจนซึ่งได้รับเบี้ยยังชีพ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไกลจากโรงเรียนมากถึงขนาดนี้”

“ความจริงใจมีอยู่บนโลก”

“ที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฉู่ขวงนักเขียนชื่อดังได้เผยแพร่นิยายชิ้นหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ‘บะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม’ เป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจเช่นเดียวกัน เรื่องราวนั้นแสนเรียบง่ายค่ะ สามีของผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ เธอจึงต้องตรากตรำเลี้ยงดูลูกชายสองคนโดยลำพัง ทุกคืนวันส่งท้ายปี พวกเขาจะมายังร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง ทั้งสามคนกินบะหมี่หนึ่งชาม ด้วยคำอวยพรของเจ้าของร้านว่า ‘ขอให้เป็นปีที่พบแต่เรื่องดีๆ’ ในที่สุดสามแม่ลูกก็ชดใช้หนี้สินจนหมด ลูกทั้งสองคนประสบความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่ต้นจนจบ ราคาบะหมี่หยางชุนสำหรับสามแม่ลูกก็ยังคงเดิม”

“สังคมเรา ถ้าหากคุณแบ่งปันน้ำใจต่อผู้อื่น คุณอาจไม่ได้คำชื่นชมจากจักรพรรดิ หรือคำสรรเสริญเยินยอจากผู้คน เพียงแค่ประโยคประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว”

“ประโยคนี้ อาจเป็นเพียง [ขอบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม]”

“หรืออาจเป็น [1095วัน ต่อให้มีแค่เธอเพียงคนเดียว รถไฟขบวนนี้ก็จะเดินรถเพื่อเธอ]”

“ฉันเชื่อว่า ความงดงามทั้งหลายของโลกใบนี้ ขึ้นอยู่กับความเห็นอกเห็นใจกันเพียงชั่วขณะเดียวของพวกเราทุกคน”

เด็กหญิงไม่ได้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็นเพียงผู้ที่ได้รับน้ำใจจากธุรกิจซึ่งมีมนุษยธรรม

เช่นเดียวกับสามแม่ลูกในเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม พวกเขาไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด หรือว่าหดหู่ เพียงแต่สามีภรรยาเจ้าของร้านบะหมี่ยินดีส่งมอบน้ำใจให้พวกเขาก็เท่านั้นเอง

เพียงเท่านี้เอง

ข่าวซึ่งเกิดขึ้นในความเป็นจริงชั่วขณะนี้ ดูเหมือนจะส่งเสียงสะท้อนกับเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม

ในตอนนี้

หลายคนซึ่งเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อน ก็เงียบงันไป

ต่อให้เป็นบุคลากรในวงการนี้ ต่างก็เคยตั้งคำถามกับคุณภาพของนิยายเรื่องนี้ แต่เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ใครเล่าจะกล้าบอกว่าลึกๆ แล้วไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจ?

เสแสร้ง?

เรื่องละมุนอบอุ่นหัวใจ?

ถ้าหากน้ำใจคือการเสแสร้ง เช่นนั้นก็โปรดอย่าได้ตระหนี่ความเสแสร้งนี้เลย ถ้าหากเรื่องละมุนอบอุ่นหัวใจนี้ปลอบประโลมหัวใจของผู้คนได้จริง ก็จงโปรดแสดงมันออกมาเถิด

เพราะฉะนั้น นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามแซงขึ้นมาได้ในวันเดียว!

ในข่าว ไม่มีการกล่าวถึงความสำเร็จของฉู่ขวงจนมากเกินงาม และไม่ได้ยกยอปอปั้นนิยายของเขาจนมากเกินงาม ทว่าคำกล่าวง่ายๆ ในช่วงสุดท้ายก็ได้อธิบายทุกอย่างไว้ชัดเจนแล้ว

เรื่องหนึ่งเป็นนิยาย อีกเรื่องเป็นเรื่องจริง

เรื่องราวในความเป็นจริงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เกินจริงเสียยิ่งกว่านิยาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคล้ายคลึงกันเหลือเกิน

เป็นความบังเอิญ

หลายคนกดเปิดเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ เมื่อรวมกับความรู้สึกหลังจากฝั่งข่าวแล้ว กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

“นี่อาจเป็นเรื่องราวที่เรียบง่ายที่สุดที่ฉู่ขวงเคยเขียน ไม่มีจุดเปลี่ยนที่เหนือความคาดหมาย ไม่มีการหักมุมชวนตกตะลึง แต่กลับมีพลังในการเยียวยาจิตใจของผู้คน ฉันคิดว่า พรสวรรค์ของฉู่ขวงล้วนรวมกันอยู่ในบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามมาตั้งแต่แรก ทำให้หลายคนรู้สึกอบอุ่น ท่ามกลางความเงียบงัน”

…………………………………………………..

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Status: Ongoing

‘เขา’ ทะลุมิติมายังจักรวาลคู่ขนานซึ่งมีชื่อว่า ‘บลูสตาร์’

ดินแดนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

ร่างที่เขามาสิงอยู่คือ ‘หลินเยวียน’ นักศึกษาปีสองที่กำลังจะเดบิวต์

แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้หลินเยวียนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ครอบครัวก็หมดเงินไปกับค่ารักษาจนอยู่ในภาวะการเงินขัดสน

เป็นเหตุให้หลินเยวียนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวต่อไป

แต่ ‘เขา’ ไม่คิดจะปลิดชีพตัวเองเหมือนหลินเยวียน

ถึงแม้ร่างนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรอยู่บ้าง

และแม้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ก็ยังพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของครอบครัวได้

เขาจะเขียนเพลง เขียนหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ หารายได้ให้ครอบครัว!

ทันใดนั้น…

[กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…

ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…

เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

[ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ

ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์!]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท