บุคลากรในวงการกดเข้าไปในข่าวด้วยความรู้สึกสับสนในใจ
ไม่มีใครจินตนาการถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถานีรถไฟกับบะหมี่หยางชุนได้ จนกระทั่งได้อ่านเนื้อหาโดยละเอียดของข่าวนี้…
ในข่าว ผู้ประกาศข่าวหญิงรายงานด้วยน้ำเสียงและท่วงท่าจริงจังชัดเจน
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เมืองเยี่ยของมณฑลฉู่ รถไฟขบวนหนึ่งกำลังจะหยุดวิ่ง บนบลูสตาร์เกิดเหตุการณ์ที่การคมนาคมจะหยุดเดินรถเป็นครั้งคราว เดิมทีนี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่เพราะเหตุใดถึงได้ดึงดูดความสนใจเป็นวงกว้างจากโลกภายนอกได้”
นั่นน่ะสิ ทำไมกัน
เรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสั้นของฉู่ขวงได้ยังไงล่ะ
หลายคนจับจ้องตาแทบไม่กะพริบ
“นักข่าวได้ทราบมาว่า ในความจริงแล้วบริษัทซานสือซึ่งรับผิดชอบการเดินรถไฟสายนี้ได้ตัดสินใจระงับการเดินรถตั้งแต่สามปีที่แล้ว เพราะรถไฟสายนี้ขาดทุนมาเป็นระยะยาว เดินรถวันหนึ่ง อีกวันหนึ่งก็ขาดทุน แต่ในตอนนั้นเอง ก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น และส่งผลให้บริษัทซานสือเปลี่ยนใจ”
การรายงานหยุดลงชั่วคราว
ภาพประกอบข่าวเป็นภาพของหิมะ เด็กผู้หญิงสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาและพันผ้าพันคอสีแดงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
มีคนให้สัมภาษณ์
“ตอนนั้นการรถไฟบอกว่าปิดสถานีรถไฟแล้ว แต่ภายหลังพวกเขาพบว่ามีเด็กผู้หญิงมัธยมคนหนึ่งยังนั่งรถไฟขบวนนี้ไปโรงเรียนทุกวัน”
ฉากตัดไป
เด็กหญิงก็ให้สัมภาษณ์ “หนูเป็นผู้โดยสารคนเดียวของรถไฟขบวนนี้…”
มีคนฉุกคิดเชื่อมโยงขึ้นมาได้
นักข่าวหญิงแนะนำต่อ “นี่เป็นเส้นทางไปกลับระหว่างไป๋ถงกับหย่วนชิง โดยบริษัทขนส่งซานสือ ซานสือเป็นบริษัทขนส่งทางรางที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลฉู่ มีเส้นทางทั่วทั้งมณฑลฉู่ ทว่าก่อนที่จะหยุดการเดินรถ บริษัทซานสือพบว่าบนเส้นทางนี้มีนักเรียนมัธยมวัย 17 ปีคนหนึ่ง จะเดินทางด้วยรถไฟไปกลับระหว่างบ้านและโรงเรียนทุกวัน เธอไปโรงเรียนในเวลา 7:04 นาฬิกา และจะกลับบ้านช่วงเย็นในเวลา 17:08 นาฬิกา เป็นเช่นนี้เป็นเวลาสามปี”
ชั่วขณะนั้น ผู้ที่เคยอ่านเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามก็พอจะตระหนักได้ถึงเหตุผลขึ้นมาบ้างแล้ว
เสียงของพิธีกรยังคงบรรยายต่อไป “บริษัทซานสือจึงบอกว่า เอาละ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนของเธอ เก็บรถไฟขบวนนี้ไว้ให้เธอก่อนก็แล้วกัน มีผู้โดยสารเพียงคนเดียวก็ไม่เป็นไร ด้วยเหตุนี้เองรถไฟจึงไม่ถูกระงับ และยังคงเดินรถต่อไปจนกระทั่งเธอจบมัธยมปลายปีสาม ดังนั้นเรื่องนี้จึงยืดเยื้อมาจากเมื่อสามปีที่แล้ว มาจนถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เพราะหลังจากนี้เด็กหญิงจะไม่ต้องขึ้นรถไฟไปกลับโรงเรียนอีกแล้ว”
ภาพข่าวไปหยุดที่ตารางเดินรถทั้งสองของรถไฟขบวนนี้
ตารางแรก ระบุสถานีต่างๆ
ตารางที่สอง กลับระบุไว้เพียงสองช่วงเวลา
“เพราะบนรถไฟไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ดังนั้นเวลาเดินรถจึงถูกแก้ไข”
“เดิมทีจะระบุเวลาปล่อยรถ ผ่านสถานีไหนบ้าง ออกตอนกี่โมง และถึงตอนกี่โมง ตั๋วในแต่ละระยะราคาเท่าไหร่”
“หลังจากนั้นก็พบว่าไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ซับซ้อนเช่นนั้นอีกต่อไป เขียนไว้แค่ [เดินรถเพื่อเธอ] ก็คงเพียงพอแล้ว”
“ส่งเธอไปโรงเรียนทุกวัน และรับเธอกลับจากโรงเรียนทุกวัน”
“นอกจากนั้น ด้วยนิสัยของชาวฉู่แล้ว เรื่องนี้หากจะลงมือทำแล้ว ย่อมต้องระบุเวลาละเอียดถึงหน่วยวินาที ต่อให้มีผู้โดยสารเพียงคนเดียว บอกว่าถึงสถานี 7:04 ก็ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นาทีเดียว บอกว่าออกจากสถานีเวลา 17:08 ก็รักษาเวลาอย่างเคร่งครัด”
“ต้องเข้าใจว่า รถไฟไม่ใช่รถแท็กซี่ รถไฟวิ่งหนึ่งเที่ยวต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนเท่าไหร่ ทั้งเจ้าหน้าที่ขับรถไฟ เจ้าหน้าที่ดูแลผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่เก็บตั๋ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า…ยังไม่ต้องเอ่ยถึงความทรุดโทรมของรถไฟและระบบราง ลำพังรถไฟสองตู้ วิ่งแค่หนึ่งช่วงโมง จะกินพลังงานไปเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ของฟรีอย่างแน่นอน และบริษัทซานสือก็ไม่ใช่องค์กรการกุศล นักเรียนหญิงยังต้องซื้อตั๋วเข้าสถานี”
“ตั๋วราคาเท่าไหร่น่ะหรือคะ”
“นักข่าวของเราตรวจสอบมาแล้ว ตั๋วไปกลับราคาทั้งหมดสามสิบหกหยวน จ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อเรียกรถแท็กซี่นั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นตั๋วรถไฟราคาสามสิบหกหยวนนับว่าใจดีมากแล้ว นอกจากนั้น เนื่องจากยังขายตั๋ว จึงจำเป็นต้องมีคนขายตั๋ว เก็บตั๋ว และจำเป็นต้องลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และวัสดุเช่นเดียวกัน”
เมื่ออ่านข่าวมาจนถึงตอนนี้ มีหลายคนถึงขั้นสงสัยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือเปล่า
แต่ว่า…
นักข่าวหญิงกล่าวว่า
“จากความเข้าใจของเรา การปฏิบัติในลักษณะนี้ ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังยิ่งใหญ่ คนทั่วไปไม่มีทางเพลิดเพลินกับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ หรอกใช่ไหมคะ นอกจากนั้นยังดำเนินงานเช่นนี้มาตลอดสามปี แต่นักข่าวของเราศึกษาดูจึงได้พบว่า เด็กหญิงคนนี้ไม่ได้มีพื้นเพหรือครอบครัวที่มีอำนาจแต่อย่างใด อาจจัดอยู่ในขอบเขตของครอบครัวยากจนซึ่งได้รับเบี้ยยังชีพ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไกลจากโรงเรียนมากถึงขนาดนี้”
“ความจริงใจมีอยู่บนโลก”
“ที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือ เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ฉู่ขวงนักเขียนชื่อดังได้เผยแพร่นิยายชิ้นหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ‘บะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม’ เป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจเช่นเดียวกัน เรื่องราวนั้นแสนเรียบง่ายค่ะ สามีของผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ เธอจึงต้องตรากตรำเลี้ยงดูลูกชายสองคนโดยลำพัง ทุกคืนวันส่งท้ายปี พวกเขาจะมายังร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง ทั้งสามคนกินบะหมี่หนึ่งชาม ด้วยคำอวยพรของเจ้าของร้านว่า ‘ขอให้เป็นปีที่พบแต่เรื่องดีๆ’ ในที่สุดสามแม่ลูกก็ชดใช้หนี้สินจนหมด ลูกทั้งสองคนประสบความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่ต้นจนจบ ราคาบะหมี่หยางชุนสำหรับสามแม่ลูกก็ยังคงเดิม”
“สังคมเรา ถ้าหากคุณแบ่งปันน้ำใจต่อผู้อื่น คุณอาจไม่ได้คำชื่นชมจากจักรพรรดิ หรือคำสรรเสริญเยินยอจากผู้คน เพียงแค่ประโยคประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว”
“ประโยคนี้ อาจเป็นเพียง [ขอบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม]”
“หรืออาจเป็น [1095วัน ต่อให้มีแค่เธอเพียงคนเดียว รถไฟขบวนนี้ก็จะเดินรถเพื่อเธอ]”
“ฉันเชื่อว่า ความงดงามทั้งหลายของโลกใบนี้ ขึ้นอยู่กับความเห็นอกเห็นใจกันเพียงชั่วขณะเดียวของพวกเราทุกคน”
เด็กหญิงไม่ได้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ เธอเป็นเพียงผู้ที่ได้รับน้ำใจจากธุรกิจซึ่งมีมนุษยธรรม
เช่นเดียวกับสามแม่ลูกในเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม พวกเขาไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด หรือว่าหดหู่ เพียงแต่สามีภรรยาเจ้าของร้านบะหมี่ยินดีส่งมอบน้ำใจให้พวกเขาก็เท่านั้นเอง
เพียงเท่านี้เอง
ข่าวซึ่งเกิดขึ้นในความเป็นจริงชั่วขณะนี้ ดูเหมือนจะส่งเสียงสะท้อนกับเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม
ในตอนนี้
หลายคนซึ่งเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อน ก็เงียบงันไป
ต่อให้เป็นบุคลากรในวงการนี้ ต่างก็เคยตั้งคำถามกับคุณภาพของนิยายเรื่องนี้ แต่เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ใครเล่าจะกล้าบอกว่าลึกๆ แล้วไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจ?
เสแสร้ง?
เรื่องละมุนอบอุ่นหัวใจ?
ถ้าหากน้ำใจคือการเสแสร้ง เช่นนั้นก็โปรดอย่าได้ตระหนี่ความเสแสร้งนี้เลย ถ้าหากเรื่องละมุนอบอุ่นหัวใจนี้ปลอบประโลมหัวใจของผู้คนได้จริง ก็จงโปรดแสดงมันออกมาเถิด
เพราะฉะนั้น นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามแซงขึ้นมาได้ในวันเดียว!
ในข่าว ไม่มีการกล่าวถึงความสำเร็จของฉู่ขวงจนมากเกินงาม และไม่ได้ยกยอปอปั้นนิยายของเขาจนมากเกินงาม ทว่าคำกล่าวง่ายๆ ในช่วงสุดท้ายก็ได้อธิบายทุกอย่างไว้ชัดเจนแล้ว
เรื่องหนึ่งเป็นนิยาย อีกเรื่องเป็นเรื่องจริง
เรื่องราวในความเป็นจริงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เกินจริงเสียยิ่งกว่านิยาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
เป็นความบังเอิญ
หลายคนกดเปิดเรื่องบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ เมื่อรวมกับความรู้สึกหลังจากฝั่งข่าวแล้ว กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“นี่อาจเป็นเรื่องราวที่เรียบง่ายที่สุดที่ฉู่ขวงเคยเขียน ไม่มีจุดเปลี่ยนที่เหนือความคาดหมาย ไม่มีการหักมุมชวนตกตะลึง แต่กลับมีพลังในการเยียวยาจิตใจของผู้คน ฉันคิดว่า พรสวรรค์ของฉู่ขวงล้วนรวมกันอยู่ในบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามมาตั้งแต่แรก ทำให้หลายคนรู้สึกอบอุ่น ท่ามกลางความเงียบงัน”
…………………………………………………..