ขันทีซุนทำได้เพียงมองดูอวิ๋นปี้ลั่วมุ่งหน้าเข้าสู่สถานที่ทดสอบอย่างหวาดหวั่น จากนั้นนางก็เดินออกไปก้าวหนึ่ง แล้ววางมือของตนลงบนลูกแก้วใส
เพียงชั่วอึดใจแสงสีเหลืองอมส้มก็สว่างวาบออกมาจากก้นลูกแก้ว แสงที่ส่องออกมานั้นสว่างเจิดจ้าเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว!
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาออกมาพร้อมกัน ”ธาตุทองระดับสิบ!”
“สวรรค์! ธาตุทองระดับสิบ! ทั่วทั้งจักรวรรดิแห่งนี้ รวมถึงในหมู่อาจารย์จากสำนักไท่ไป๋ ก็มีคนที่สามารถทะลวงปราณขึ้นไปถึงธาตุทองระดับสิบได้อยู่แค่หยิบมือเท่านั้น! แม่นางอวิ๋นผู้นี้ช่างมีฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ!”
“ไม่ใช่แค่ฝีมือเยี่ยมยอดเท่านั้น เจ้ามองดูนางสิ เมืองหลวงได้มีโอกาสต้อนรับหญิงงามอย่างนางเชียวนะ!”
“แม่นางอวิ๋นจะต้องชนะแน่!”
เมื่ออวิ๋นปี้ลั่วเห็นผลกระทบที่นางสร้างขึ้น รอยยิ้มเหนียมอายก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง นางกล่าวกับพวกเขาว่า ”ขอบคุณ” แผนการมัดใจผู้คนถูกนางนำมาใช้ได้อย่างชำนาญ
คนต่อไปคือเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างนาง และกำลังรอที่จะได้เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้ตัวเองขายหน้าอยู่
แม้จะเห็นเช่นนั้น แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังเดินขึ้นบันไดด้วยท่าทางสบายๆ แล้วยื่นฝ่ามือขาวผ่องของตนออกไป ก่อนจะวางลงบนลูกแก้วอย่างไม่ลังเล
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะเสียงเบาอย่างไม่ใส่ใจ ต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะดูท่าทางพอไปวัดไปวาได้ แต่นางก็เป็นได้แค่เพียงธาตุน้ำธรรมดาเท่านั้น…
“ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไปเลยล่ะ” ใครคนหนึ่งเยาะเย้ยขึ้น ”เป็นไปได้หรือไม่ว่านางไม่รู้วิธีใส่พลังปราณลงในลูกแก้วเหมือนรอบที่แล้วอีก”
“เจ้าอย่าตำหนินางเช่นนั้นสิ อย่างไรนางก็ยังเป็นหนึ่งในคนขององค์ชายสามนะ”
“เจ้าจะกังวลเรื่องนั้นไปทำไมในเมื่ออีกไม่ช้านางก็จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนั้นอีกแล้ว หากนางไร้ความสามารถ เช่นนี้ก็สมควรถูกหย่าแล้ว!”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นเรื่อยๆ มันดังเสียดหูไปทั่วทุกซอกมุมของถนน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่สนใจเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัว แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นางกลับดูเหมือนกำลังรวบรวมพลังบางอย่างอยู่ นิ้วเรียวของนางแตะลงบนลูกแก้วอีกครั้ง จากนั้นนางก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา!
มีเสียงดังออกมาจากลูกแก้ว ก่อนที่หมอกกลุ่มหนึ่งจะก่อตัวขึ้นรอบบริเวณ!
สายลมอันไร้ที่มาพัดเข้ามาจากทั้งสี่ทิศ
พวกมันส่งเสียงหวีดหวิว และพัดเอาทุกอย่างที่ขวางหน้าปลิวไปทั่ว
ผู้ดูแลการแข่งขันที่อยู่ข้างลูกแก้วย่อมได้รับผลกระทบของมัน!
พวกเขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกไม่อยากเชื่อวาบขึ้นในใจของพวกเขา ไม่… มันเป็นไปไม่ได้ พระชายายังอายุน้อยยิ่งนัก มันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสามารถใช้พลังปราณหลายธาตุได้ในครั้งเดียว!
สายลมจากทิศเหนือร้องคำรามอยู่รอบบริเวณสถานที่ทดสอบ คนที่ยืนอยู่นอกสนามรู้สึกได้เพียงแก้มที่เริ่มเจ็บแปลบของตน พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพียงเพื่อจะชำเลืองมองดูการเปลี่ยนแปลงของลูกแก้วลูกนั้น
เดี๋ยวนะ!
นั่นมันอะไรกัน
สีทองหรือ?!
พวกเขาไม่เคยเห็นแสงสีทองเข้มดูอร่ามตาเช่นนี้มาก่อนเลย!
นี่มัน… มันคือระดับสิบหรือ
ไม่ มันมีอะไรผิดปกติอยู่!
มันน่ากลัวว่าระดับสิบเสียอีก!
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือแม้แสงสีทองนั้นจะจางหายไปแล้ว แต่กลุ่มหมอกที่ลอยอยู่ในลูกแก้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจางลง มิหนำซ้ำมันกลับรวมตัวเข้าหากันจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเสียอีก!
นั่น นั่นมันธาตุไม้นี่!
เป็นไปได้อย่างไร
ทุกคนต่างรู้ดีว่าธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดินนั้นเป็นธาตุที่แตกต่างกัน ถ้าพวกมันถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันเมื่อใด พวกมันก็จะหักล้างกันเองเมื่อนั้น ถ้าฝึกฝนพลังปราณไม่ดีมันก็จะส่งผลให้ผู้ฝึกถูกครอบงำจนกระทั่งเสียสติไปในที่สุด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทุกคนค่อยๆ ทะลวงพลังปราณไปทีละขั้นนั่นเอง!
แต่ ณ เวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับสามารถควบคุมสีทุกสีที่ปรากฏขึ้นในลูกแก้วนั้นได้ดั่งใจ มิหนำซ้ำแสงแต่ละสีที่สว่างขึ้นก็ยังสว่างเป็นที่สุดอีกด้วย สุดท้ายสีสันทั้งหมดก็พลันสว่างวาบขึ้นในลูกแก้ว แสงนั้นสว่างเจิดจ้าต่อสายตาของทุกคน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งของนางวางอยู่บนลูกแก้ว ขณะที่ผมสีดำยาวของนางกระเพื่อมอยู่ในสายลม พร้อมกับเผยความสง่างามอันยากจะอธิบายได้ออกมา
ในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาขุนนาง หรือสามัญชนทั่วไป ทุกคนต่างก็ตกตะลึงทั้งสิ้น!
เพราะพวกเขารู้แล้วว่าการทดสอบวัดพลังที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ล้วนแต่ไม่มีความหมาย!
ทั้งแผ่นดินนี้จะมีก็แต่เพียงองค์ชายสามผู้เดียวเท่านั้นที่เคยแสดงพลังปราณสามธาตุให้ทุกคนได้เห็น และไม่ว่าคนอื่นๆ จะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ยังอยู่ในระดับแรกเริ่มเท่านั้น!
เรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก!
บุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นขยะไร้ค่าและบ้าผู้ชายนั้นอันที่จริงกลับสามารถควบคุมพลังปราณได้หมดทุกธาตุ!
ทันทีที่มันมาถึงมือนาง พลังปราณทั้งหมดนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากของเล่นเท่านั้น!
หลังจากที่เห็นเหตุการณ์นี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็พลันหน้าซีด นางประสานมือเข้าหากันแน่น ดวงตาของนางสั่นระริกขณะที่มองเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินลงมาจากเวที นางอยากปรี่เข้าไปดูเสียเหลือเกินว่าลูกแก้วลูกนั้นมีข้อผิดพลาดอะไรหรือเปล่า!
แม้แต่ขันทีซุนเองก็ยังตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาอ้าปากหวอ และมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้แสนเย็นชาที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน
ทันทีที่เขาเห็นว่าผู้เป็นนายไม่ได้แสดงอาการแปลกใจออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาก็เข้าใจได้ในทันที!
เจ้านายของเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพระชายามาตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง!
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ยอมให้มีการคัดเลือกพระสนมเกิดขึ้นเช่นนี้แน่!
อารมณ์ของขันทีซุนเปลี่ยนจากความกังวลไปเป็นความตื่นเต้น เขามุ่งความสนใจกลับไปที่ภาพตรงหน้าอีกครั้ง!
เพราะในการทดสอบพลังด้วยลูกแก้วเมื่อครั้งก่อนไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ผู้ประเมินจึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็สามารถระงับอาการตกใจของตนลงได้ และประกาศชื่อของผู้เข้าแข่งขันคนถัดไปออกมาด้วยความงุนงง
แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทดสอบต่อไปก็ไร้ผล!
นอกเสียจากว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะสามารถทำให้ธาตุทั้งห้าปรากฏขึ้นในลูกแก้วได้เหมือนกัน หากเป็นเช่นนั้นนางก็อาจยังมีโอกาสเอาชนะได้บ้าง
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ธาตุทองระดับเก้าที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์พอใจนักหนานั้นไม่อาจเทียบอะไรกับลูกแก้วห้าสีได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะทำเช่นนี้เสมอ นางทำให้ทุกคนต้องมองนางใหม่ไปเสียทุกครั้ง!
ขยะไร้ค่าหรือ
นางเป็นอัจฉริยะในรอบสิบปี ไม่สิ ในรอบร้อยปีต่างหาก!
“ข้าขอประกาศให้พระชายาสามเป็นผู้ชนะในครั้งนี้!” ขันทีซุนประกาศ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ยืนขึ้นทันที ในสายตาของเขามีความพอใจปรากฏอยู่ แต่ความพึงพอใจนั้นกลับทำให้คนที่เห็นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาหมุนแหวนหยกโดยไม่ตั้งใจ และใช้น้ำเสียงอันสง่างามกล่าวขึ้นว่า ”เงาทมิฬ จำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าได้หรือไม่”
เงาทมิฬหลับตาลง ”กระหม่อมจดจำพวกมันได้เป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็อ่านมันออกมาดังๆ ให้พวกเขารู้ว่าเหตุใดข้าถึงได้อยากตัดลิ้นพวกเขานัก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด
จากนั้นเงาทมิฬก็ประกาศชื่อออกมาทีละชื่อ บรรดาคนที่เคยวิจารณ์เฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ก่อนหน้านี้ต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้น ชุดที่พวกเขาสวมอยู่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ!
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้!
พวกเขาคิดว่าองค์ชายสามคิดที่จะเปลี่ยนตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยออกอยู่นานแล้วเสียอีก
ทำไมเขาถึงปกป้องนางเช่นนี้
ข่าวลือที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงข่าวลวงหรือ
เมื่อความเป็นไปได้นั้นวาบขึ้นในหัว ใบหน้าของคนพวกนั้นก็ซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด ใบหน้าซีดเซียวเหล่านั้นดูหวาดกลัวยิ่งนัก
“พาตัวไป” มันเป็นคำพูดเพียงแค่สามคำ แต่ทุกคนกลับรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึงขณะที่มือของนางก็ค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น เมื่อนางสังเกตเห็นสายตาจากฝูงชนที่อยู่ตรงข้ามได้ ดวงตาของนางก็เริ่มแดงก่ำ แต่กระนั้นบนใบหน้าของนางก็ยังคงมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ ท่าทางเช่นนั้นดูราวกับว่านางกำลังบอกให้ทุกคนรู้ว่านางเสียใจเพียงใด…
ไม่มีผู้ชมคนใดกล้าวิจารณ์เฮ่อเหลียนเวยเวยอีก แต่ก็ยังมีคุณหนูคนอื่นๆ จากตระกูลขุนนางจำนวนหนึ่งที่สนิทสนมกับอวิ๋นปี้ลั่วลดเสียงลงกระซิบกับนางข้างหูว่า ”พี่อวิ๋นอย่าเศร้าไปเลยเจ้าค่ะ ต่อให้นางมีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่เพียงใด แต่มันก็เปล่าประโยชน์หากนางยังหน้าตาขี้เหร่เช่นนั้นอยู่ดี…”