รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 433 ผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอ ใครกันแน่ที่เป็นตัวตลก!

บทที่ 433 ผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอ ใครกันแน่ที่เป็นตัวตลก!

บทที่ 433 ผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอ ใครกันแน่ที่เป็นตัวตลก!

ฟ้ายังไม่ทันจะสางดี ตงฟางเวิ่นก็ออกจากเมืองชิงซานมาถึงภูเขาลี่เป็นที่เรียบร้อย

เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงรีบมาภูเขาลี่ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางเพื่อตรวจสอบ

“ข้า…คิดมากไปหรือไม่?”

ตงฟางเวิ่นรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาเดินไปทั่วภูเขาลี่หลายครั้ง แต่กลับไม่พบอะไร เป็นเพียงแค่ภูเขาธรรมดาทั่วไป

‘หรือว่าท่านเซียนจะหมายความแค่นั้นจริง ๆ ไม่มีความนัยลึกซึ้งอะไร เพียงแค่อยากให้ข้ามายังภูเขาลี่เพื่อชื่นชมทิวทัศน์ยามว่าง’

เขาอดคิดขึ้นมาในใจไม่ได้

เขาแผ่ประสาทสัมผัสจักรพรรดิออกไปปกคลุมทั่วทั้งภูเขาลี่ ทว่าก็ยังคงไม่พบสิ่งใดผิดปกติบนภูเขาลี่

นี่ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือไม่

‘ลองดูอีกสักครั้ง!’

เขาเดินไปรอบ ๆ ภูเขาลี่อีกครั้ง ประสาทสัมผัสจักรพรรดิก็แผ่ออกมาปกคลุมทั่วทั้งภูเขาลี่โดยไม่หลุดลอยไปสักจุดเดียว

ทว่าผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เขายังคงไม่พบสิ่งใด

‘ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากไปเองจริง ๆ!’

จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมาก มากเสียยิ่งกว่าเทียนตี้บางคนเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นประสาทสัมผัสจักรพรรดิของเขานั้นเรียกได้ว่าทรงพลังเทียบเท่าขั้นเทียนตี้

หากมีอะไรแปลกประหลาดบนภูเขาลี่ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่พบอะไรแม้แต่น้อย

หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็กลับ…”

เขายิ้มออกมา หลังจากคิดว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ

ในเมื่อตรวจทานด้วยความรอบคอบแล้ว

คิดมากก็คือคิดมาก

แต่ถ้าหากคำพูดของท่านเซียนมีความนัยแฝงอยู่จริง ๆ แล้วเขาพลาดส่วนนั้นไป คงกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เสียแรงที่ท่านเซียนปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี

แม้ว่าท่านเซียนจะไม่กล่าวโทษ เขาก็ไม่มีทางจะให้อภัยตัวเอง

‘ไม่ถูกต้อง!’

ทว่าเมื่อเขากำลังจะจากไป ก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

เขายังไม่ได้ถอนประสาทสัมผัสจักรพรรดิกลับมา จึงรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า!

‘ในคำพูดของท่านเซียนมีความนัยอื่นอยู่จริง’

เขาแย้มยิ้มสดใสด้วยความสุขอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้คิดมากเกินไป ในคำพูดของท่านเซียนมีความนัยลึกซึ้งอยู่จริง

เพียงเคลื่อนไหวหนึ่งครั้ง เขาก็ตรงมาถึงด้านหน้าความว่างเปล่าที่ผิดปกติ

“หืม!?”

ด้านในความว่างเปล่า ปรากฏร่างของอสุรกายกำลังแหวกว่ายมาอย่างแช่มช้า

ร่างของมันคล้ายกับถูกเย็บติดประกอบขึ้นมา แต่ละส่วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หัวเป็นกิเลน ลำตัวเป็นมังกร แต่ปีกเป็นของเฟิ่งหวง

ใช่แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตที่มาจากอาณาจักรที่อยู่เบื้องหลังทะเลต้องห้าม ที่มันมาในครานี้ก็เพื่อสังหารหลิงอิน

ความจริง มันออกจากทะเลต้องห้ามมาสักพักหนึ่ง ด้วยความแข็งแกร่งของมัน ควรจะถึงที่แห่งนี้ตั้งนานแล้ว

ทว่าหลังมันออกจากทะเลต้องห้าม มันก็แวะที่อื่นก่อนจะมาที่นี่ในภายหลัง

เมื่อเห็นอสุรกายแล้ว ตงฟานเวิ่นก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาทันที

ไม่น่าแปลกใจที่ท่านเซียนจะชี้แนะวิถีหมากล้อม ทั้งยังให้เขากินเนื้อตุ๋นและดื่มสุรา ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งจนเขาจัดการกับอสุรกายเบื้องหน้าเขาได้!

ไม่มีปัญหา!

เขาต้องทำงานนี้ให้สำเร็จได้แน่!

เขาคิดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ

ระดับการฝึกฝนของเขาบรรลุขั้นตี้จวินแล้ว ร่างกายก็ไปถึงขั้นเทียนตี้แล้ว อาจเหนือยิ่งกว่าระดับเทียนตี้ทั่วไปเสียด้วยซ้ำ

แม้ว่าอสุรกายเบื้องหน้าเขาจะดูน่าหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งไปกว่าเขาหรอกกระมัง?

ตัวเขาในตอนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับเทียนตี้จริง ๆ ก็ยังสามารถต่อกรได้!

เขาย่อมเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“อสุรกายอย่างเจ้ามาจากที่แห่งใดกัน เหตุใดจึงต้องการมาสร้างวุ่นวายยังที่แห่งนี้?”

เขาไพล่มือสองข้างไว้ด้านหลัง ท่าทางราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่าจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “บอกมา เจ้าเป็นผู้ใด และต้องการจะทำสิ่งใด!”

อสุรกายท่าทางดุร้ายเบื้องหน้าของเขาดูแล้วไม่ใช่สิ่งดีงามแต่ตั้งแวบแรกที่เห็น เขาจึงไม่คิดจะปล่อยอสุรกายตนนี้ไปโดยง่าย

ทว่าเขาเองก็ยังไม่ได้ลงมือทันที ต้องการจะทราบจุดประสงค์ของอสุรกายตนนี้เสียก่อน

“เจ้าพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

แววตาของอสุรกายหัวกิเลนมองมาอย่างแปลกประหลาด

มันจำไม่ได้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้วที่มีคนกล้าพูดกับมันเช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเบื้องหน้าของมันเป็นเพียงตี้จวินตัวน้อย…

มันไม่จำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิก็สามารถรับรู้ขอบเขตการฝึกฝนของตงฟางเวิ่น

มันเป็นถึงเทียนตี้!

ถูกต้อง มันบรรลุถึงขั้นเทียนตี้แล้ว ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่าเทียนตี้ทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างมาก เพียงแค่มันอยากก็สามารถรับรู้ถึงขอบเขตพลังของฝ่ายตรงข้าม

ต่อหน้ามัน ตี้จวินไม่อาจนับเป็นสิ่งใดได้ มันเพียงจามออกมาครั้งหนึ่งก็สามารถสังหารตี้จวินจนตายได้

“ช่างวางท่าอวดดี หยิ่งผยองยิ่งนัก!”

ตงฟางเวิ่นขมวดคิ้ว มองดูอสุรกายหัวกิเลนก่อนกล่าวออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง?”

หัวเราะ!

มันหัวเราะออกมาจริง ๆ!

อสุรกายหัวกิเลนหัวเราะออกมา ในใจคิดว่าคนผู้นี้เอาความมั่นใจและหาญกล้ามาจากไหน

“ข้าไม่รู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง แต่ข้ารู้เพียงว่าเจ้ากำลังจะตาย”

มันมองตงฟางเวิ่นพร้อมกล่าวออกมาด้วยคำพูดเปี่ยมจิตสังหาร

ตี้จวินตัวน้อยกล้าจะขวางทางแล้วกล่าวกับมันเช่นนี้ นับว่าเป็นความผิดที่ไม่อาจอภัยให้ได้ ต้องตายสถานเดียว!

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความหยิ่งผยอง?”

ตงฟางเวิ่นเองก็หัวเราะ “วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งเอง!”

เขาไม่เก็บงำอีกต่อไป กลิ่นอายพลังของตี้จวินแผ่กระจายออกมาท่วมถ้น โถมกดดันอสุรกายหัวกิเลน

“ตอนนี้รู้หรือยังว่าไม่ควรจะหยิ่งผยอง?”

เขากล่าวออกมาเสียงเรียบ

ในครั้งแรกที่เขาเห็นอสุรกายหัวกิเลน เขาไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิเพื่อตรวจดูระดับการฝึกฝนของอสุรกายหัวกิเลน

ทว่าเขาเองก็คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอ จึงใช้งานประสาทสัมผัสจักรพรรดิก่อนสัมผัสได้ถึงขอบเขตขั้นของอสุรกายหัวกิเลน

อสุรกายหัวกิเลนค่อนข้างแปลกประหลาด เขาสัมผัสถึงขอบเขตอย่างชัดเจนไม่ได้ รับรู้ได้เพียงขอบเขตขั้นคร่าว ๆ กะแล้วน่าอยู่ประมาณขั้นตี้หวง

กล่าวตามเหตุผลแล้วสิ่งนี้ก็ไม่สมควรเกิดขึ้น

ประสาทสัมผัสจักรพรรดิของเขาอยู่ในระดับเทียนตี้ เหตุใดจึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงขั้นของตี้จวินผู้หนึ่งได้อย่างแม่นยำ?

ทว่าคิดดูอีกทีแล้ว เป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว

หากอสุรกายหัวกิเลนนี้เป็นเพียงอสุรกายระดับตี้หวงธรรมดาทั่วไป ท่านเซียนก็ไม่จำเป็นต้องให้เขากินเนื้อตุ๋นดื่มสุราเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาล่วงหน้า

อสุรกายหัวกิเลนตนนี้น่าจะรับมือได้ยาก

คิดดูแล้ว อสุรกายหัวกิเลนตนนี้อาจมีสมบัติลับสักอย่างอยู่กับตัว เป็นเหตุให้เขาไม่สามารถรับรู้ขอบเขตขั้นที่แท้ของมันได้อย่างแน่นอน

ทว่าเขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

เขาสามารถต่อกรกระทั่งเทียนตี้ อสุรกายหัวกิเลนอยู่ในขั้นประมาณตี้หวง บวกลบมากน้อยก็ไม่น่าจะใกล้เคียงเทียนตี้ใช่หรือไม่?

แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะใกล้เคียงเทียนตี้ ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขา ย่อมสามารถต่อกรได้อย่างไม่มีปัญหา

แน่นอนว่าในความคิดของเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตี้หวงที่ใกล้เคียงแค่ไหนก็ไม่มีทางเทียบได้กับเทียนตี้

อสุรกายหัวกิเลนหัวเราะออกมา

มันยับยั้งลมปราณส่วนหนึ่งเอาไว้ ไม่ได้เปิดเผยเขตขั้นออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้ตี้จวินตัวน้อยเบื้องหน้าเข้าใจผิด ทั้งยังใช้แรงกดดันของตี้จวินเพื่อจัดการกับมัน…

นี่มันเป็นเรื่องน่าตลกอย่างถึงที่สุดเสียจริง!

ตัวของมันมาจากภายนอกอาณาจักร ไม่ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน หากไม่ยับยั้งขอบเขตลมปราณเอาไว้ส่วนหนึ่ง มันจะต้องถูกพลังฟ้าดินของอาณาจักรแห่งนี้โจมตี

ต่อการโจมตีจากฟ้าดินของโลกใบนี้ไม่ทำให้มันกลัวเกรงหรือบาดเจ็บ แต่ก็สร้างความยุ่งยากให้มันไม่มากก็น้อย

ดังนั้นมันจึงยับยั้งลมปราณส่วนหนึ่งเอาไว้

ไม่คาดคิดเลย ว่ามันจะโดนดูถูกถึงขนาดนี้ กระทั่งตี้จวินตัวน้อยผู้หนึ่งยังกล้ามาอวดโอ้พลังต่อหน้ามัน ทั้งยังใช้แรงกดดันของตี้จวินมาปราบปรามมัน…

“เจ้าไม่คิดว่าตนเองเป็นเพียงตัวตลกผู้หนึ่งหรอกหรือ?”

อสุรกายหัวกิเลนเหยียดยิ้มเย้ยก่อนจะแผ่ลมปราณของตนออกมาอย่างท่วมท้น ปกคลุมทั่วท้องฟ้ารอบบริเวณทันที!

ลมปราณที่แผ่ออกมาน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่มันปรากฏออกมาสีหน้าของตงฟางเวิ่นก็แปรเปลี่ยนโดยพลัน

สีหน้าของชายชรานั้นซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท