เมื่อกลับถึงเหอฮวาหลี่แล้ว สืออีเหนียงก็รีบแจ้งเรื่องนี้ให้กับไท่ฮูหยินทันที
ไท่ฮูหยินพนมมือทั้งสองขึ้นมา พูดคำพูดประโยคเดียวกันกับฮองเฮาว่า “หวังว่าครั้งนี้ สวรรค์จะประทานลูกกิเลนมาให้จริงๆ”
ป้าตู้เองก็ได้ยิ้มตาม
จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ชายวิ่งเข้ามา “ไท่ฮูหยิน ฮูหยิน คุณชายน้อยสองกลับมาแล้วขอรับ!”
บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ในเรือนบางคนก็ก้มหน้าลงต่ำทำเหมือนไม่ได้ยิน ส่วนบางคนก็หันไปมองไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง รอยยิ้มบนใบหน้าของไท่ฮูหยินก็ค่อยๆ จางหายไป บรรยากาศที่มีความสุขเมื่อครู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นแทน
บ่าวรับใช้ชายทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
สืออีเหนียงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ยังไม่รีบไปเชิญเข้ามาอีก! มัวรออะไรอยู่”
บ่าวรับใช้ชายจึงรีบวิ่งออกไปด้วยความรู้สึกโล่งใจอีกครั้ง
สืออีเหนียงหันไปสั่งกับหู่พั่วว่า “ไปแจ้งกับเหลียนเจียวของเรือนคุณชายน้อยสองด้วย ให้นางรีบไปเตรียมชาร้อนและน้ำร้อน คุณชายน้อยสองกลับเรือนไป จะได้ปรนนิบัติรับใช้ทันที”
บรรยากาศในเรือนจึงผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย คนที่จะต้องไปแจ้งเรื่องที่เรือนของสวีซื่ออวี้ก็แยกย้ายไปแจ้ง ส่วนคนที่จะต้องเตรียมน้ำชาต้อนรับก็แยกย้ายไปตระเตรียม รอยยิ้มกลับคืนสู่ใบหน้าของทุกคนอีกครั้ง
สวีซื่ออวี้รีบสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“ท่านย่า ท่านแม่!” เขารีบทำความเคารพไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงด้วยความเร่งรีบ “ตอนนี้อี๋เหนียงเป็นอย่างไรบ้างแล้วขอรับ”
เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าแพรสีน้ำเงินสดแบบเรียบง่าย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง สีหน้าซีดเซียวไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
ไท่ฮูหยินมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ พูดขึ้นว่า “เจ้าไปเจอพ่อของเจ้าแล้วหรือยัง”
ใบหน้าของสวีซื่ออวี้แดงก่ำขึ้นมาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความเก้อเขิน ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ไท่ฮูหยินก็ได้พูดขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าไม่ได้กลับบ้านมาช่วงหนึ่งแล้วกระมัง ในเมื่อกลับมาแล้ว ตามหลักควรจะต้องไปคารวะพ่อของเจ้าก่อน ดูว่าพ่อของเจ้ามีอะไรจะพูดกับเจ้าหรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่พูด แต่ลึกๆ ในใจก็ยังคงเป็นห่วงเจ้าอยู่เสมอ เจ้าควรไปให้เขาดูเสียหน่อยว่าเจ้าอยู่ที่เล่ออานสบายดีหรือไม่ ยังมีฉินเกอและเจี่ยนเกอที่เติบโตมาพร้อมกับเจ้า สายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยๆ ก็ควรจะไปทักทายเสียหน่อยถึงจะถูก ไหนจะเจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอและเจี้ยเกออีก…” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็หยุดชะงักไป ก่อนจะจ้องมองไปยังสวีซื่ออวี้ “ตื่นตระหนกและลนลานเช่นนี้…ใช้ได้เสียที่ไหนกัน!”
ปลายจมูกของสวีซื่ออวี้มีเม็ดเหงื่อซึมออกมา ไท่ฮูหยินเพิ่งจะพูดจบ เขาก็รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมทันทีว่า “ล้วนเป็นความบุ่มบ่ามของหลานทั้งสิ้น หลานจะรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วไปหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็จะไปทักทายเหล่าพี่ใหญ่ น้องชายและน้องหญิงขอรับ”
“อืม” ไท่ฮูหยินตอบกลับด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “รีบไปเถิด”
สวีซื่ออวี้จึงโค้งตัวลาแล้วถอยออกไป
สีหน้าของไท่ฮูหยินหมองหม่นลงไปเล็กน้อย เรียกสืออีเหนียงมาหา “ข้าว่าท่าทางของเขาคงจะรอไม่ได้แม้แต่เค่อเดียวกระมัง ประเดี๋ยวเจ้าก็หาคนติดตามเขาไปด้วย ถึงแม้ว่าฉินอี๋เหนียงจะเลอะเลือน แต่พอได้เจอหน้าบุตรชาย ใครจะไปรู้ว่านางจะเลอะเลือนหนักกว่าเดิมหรือจะได้สติขึ้นมาเล่า ถึงเวลานั้นหากนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดหรือทำอะไรที่ไม่ควรทำ เปิดเผยทุกอย่างออกมาจนหมด จะกลายเป็นว่าเราที่คิดว่าเขาไม่รู้เรื่อง แต่แท้ที่จริงเขากลับรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”
เป็นเพราะสงสัยว่าสวีซื่ออวี้ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่กระมัง!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปต่างๆ นานา การที่ให้ฉินอี๋เหนียงและสวีซื่ออวี้ได้มาเจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อสองแม่ลูกหรือเพราะต้องการจะพิสูจน์ว่าสวีซื่ออวี้ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพิธีสาปแช่ง?
สืออีเหนียงรีบสะบัดความคิดนี้ออกจากหัว ฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ จากนั้นก็ครุ่นคิดว่าจะให้ใครติดตามสวีซื่ออวี้ไปที่เรือนสวนในเขาลั่วเย่ว์ดี
การเจอหน้าของฉินอี๋เหนียงและสวีซื่ออวี้ หากว่าฉินอี๋เหนียงพูดจาเลอะเลือนและไม่รู้เรื่องก็คงจะดี แต่หากนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดขึ้นมา เกรงว่าคนที่ถูกส่งไปแอบฟังก็คงจะมีจุดจบเช่นเดียวกันกับฉาเซียงกระมัง…
สืออีเหนียงขมวดคิ้วแน่น พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร ก็เลยหันไปส่งสายตาให้กับป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าว่าไม่ต้องไปเรียกใช้คนอื่นดีกว่า ใช้เหลียนเจียวที่ปรนนิบัติรับใช้ในเรือนของอวี้เกอแทนก็แล้วกัน! นางเป็นคนในเรือนของอวี้เกอ เหวินจู๋และคนอื่นๆ ที่ติดตามอวี้เกอเดินทางมาจากเล่ออานต่างก็คงจะเหนื่อยล้ากันหมดแล้ว ให้พวกนางที่อยู่ในจวนตลอดทั้งปีไปช่วยเหวินจู๋เปลี่ยนมือดีกว่า”
เพราะเหลียนเจียวและคนอื่นๆ เคยปรนนิบัติรับใช้อวี้เกอ จึงค่อนข้างสนิทสนมกับฉินอี๋เหนียงเสมอมา
สุดท้ายก็จะต้องมีคนไปอยู่ดี นางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดใช่หรือไม่…
สืออีเหนียงข่มความสงสัยเอาไว้ในใจ ขานรับ “เจ้าค่ะ”
หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับป้าตู้ “ดีไปหมดเสียทุกอย่าง เสียอยู่อย่างเดียว ก็คือใจอ่อนเกินไป”
ป้าตู้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใต้หล้านี้มีความสมบูรณ์แบบเสียที่ไหนเล่าเจ้าคะ นับประสาอะไรกับผู้คนที่มีหลากหลายรูปแบบ สิ่งที่ท่านเห็นว่าไม่ดี ไม่แน่บางทีท่านโหวเห็นแล้วอาจใจอ่อนก็เป็นได้!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ
*****
ลั่วเย่ว์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนอกเมืองเยี่ยนจิง ห่างจากเมืองเยี่ยนจิงราวสามสิบกว่าลี้ เพราะคุณภาพของดินไม่ดี ถึงแม้จะมีปริมาณลมและฝนที่พอดี แต่ในนากลับไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดีได้ คนที่พอมีแรงหน่อยก็หนีเข้าไปทำงานในเมืองเยี่ยนจิงจนหมด จึงมีที่ดินว่างขนาดใหญ่และดูเหมือนที่ดินที่รกร้าง ที่ดินที่ลั่วเย่ว์คือหนึ่งในทรัพย์สินสมบัติที่เคยเป็นสินเดิมของท่านย่าของเขา ถึงแม้ว่าจะมีที่ดินกว้างใหญ่นับร้อยหมู่ แต่เรือนสวนกลับกว้างเพียงสี่ถึงห้าหมู่เท่านั้น
หลังจากที่สวีซื่ออวี้รอบ่าวรับใช้มาถึง ก็เวลาพลบค่ำเข้าไปแล้ว มีอีกาจำนวนหนึ่งกำลังกระพือปีกบินผ่านไปพอดี
เสี่ยวลู่จื่อรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว รีบเดินเข้าไปเคาะประตูใหญ่ทันที
ทางเรือนสวนได้ข่าวตั้งแต่แรกแล้ว จึงมีป้ารับใช้ออกมารับทันที
“คุณชายน้อยสอง ในที่สุดท่านก็มา” ป้ารับใช้ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดขอบตา “พวกบ่าวต่างก็รอคอยท่านแทนอี๋เหนียงอยู่ทุกคืนวัน!”
สวีซื่ออวี้ยืนอยู่บนขั้นบันไดของประตูใหญ่ สองมือไพล่หลัง จ้องมองไปยังป้ารับใช้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างและไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เขาเม้มปากเป็นเส้นตรง สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “เหล่าบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อี๋เหนียงเล่า”
ป้ารับใช้ชะงักไปเล็กน้อย “มีเพียงสองคนที่ไม่ได้ติดโรค ถูกรับกลับจวนไปตั้งนานแล้ว ส่วนคนอื่นๆ โชคไม่ดี ต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้วเจ้าค่ะ…”
ไม่รอให้นางได้ทันพูดจนจบประโยค เขาก็ได้พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เช่นนี้ก็แสดงว่านอกจากสองคนนั้นที่ไม่ได้ติดโรคแล้ว คนอื่นๆ ที่ปรนนิบัติรับใช้อี๋เหนียงต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้วใช่หรือไม่!”
ป้ารับใช้คนนั้นเป็นคนที่ฉลาดและหัวไวคนหนึ่ง นางทบทวนคำพูดของสวีซื่ออวี้หนึ่งรอบก่อนที่จะตอบกลับไปว่า “เจ้าค่ะ”
สีหน้าของสวีซื่ออวี้เรียบเฉย จู่ๆ เขาก็สาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน
ป้ารับใช้รีบเดินไปด้านหน้าของสวีซื่ออวี้เพื่อนำทางเขา
สวีซื่ออวี้เดินตามหลังป้ารับใช้อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ขณะที่กำลังเดินถึงทางโค้ง จู่ๆ เขาก็ถามป้ารับใช้ว่า “ชุ่ยเอ๋อร์เสียชีวิตตอนไหน”
ฝีเท้าของสวีซื่ออวี้ค่อนข้างเร็ว ป้ารับใช้คนนั้นไม่ทันได้ระวัง สวีซื่ออวี้ก็ตามหลังนางมาทัน นางทั้งเดินและวิ่งสลับกันตลอดทางเดิน เวลาที่สวีซื่ออวี้ถามอะไรนาง นางก็จะรีบเร่งฝีเท้าไปด้านหน้า สมาธิไปจดจ่ออยู่กับขาทั้งหมด เมื่อได้ยินคำถามก็รีบตอบกลับไปว่า “ชุ่ยเอ๋อร์เสียก่อนที่จะย้ายมาที่นี่สองวันเจ้าค่ะ”
“นางตายอย่างไร” ฝีเท้าของสวีซื่ออวี้เริ่มเร็วขึ้น
ป้ารับใช้คนนั้นทำได้เพียงรีบเร่งฝีเท้าตามไปเท่านั้น นางค่อยๆ เริ่มหอบขึ้นมา “ผูกคอฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ!”
จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็ชะงักฝีเท้าลง “ถึงแม้ว่าโรคไข้จับสั่นจะรักษายาก แต่จวนของเรามีทั้งทรัพยากรทางการเงิน ทางกายภาพและกำลังคน ใช่ว่าจะรักษาไม่หายเสียหน่อย เหตุใดนางถึงคิดสั้นไปผูกคอฆ่าตัวตายด้วยเล่า”
ป้ารับใช้แอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
ก่อนหน้านี้ป้าตู้ได้กำชับพวกนางไว้หมดแล้วว่าจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ว่าอย่างไร
“ใบหน้าของนางมีตุ่มพุพอง ก็เลยทำใจไม่ได้ นางจึงผูกคอฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับสาวเท้าเดินตรงไปด้านหน้า
ป้ารับใช้รีบเดินตามหลังเขาเข้ามาทันที จากนั้นก็ได้นำทางสวีซื่ออวี้ไปยังเรือนด้านข้างที่ฉินอี๋เหนียงพักอยู่ พูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยสอง ท่านระวังจะติดโรคไปด้วย ประเดี๋ยวบ่าวจะเข้าไปเปิดหน้าต่าง ท่านยืนคุยกับฉินอี๋เหนียงจากนอกหน้าต่างดีกว่าเจ้าค่ะ!” พูดจบป้ารับใช้ก็เปิดประตูเข้าไปในเรือน
กลิ่นยาเข้มข้นปะทะเข้าหาเขาทันที
สวีซื่ออวี้ยืนอยู่ตรงหน้าประตู กวาดตามองไปรอบๆ เรือน
อากาศร้อนเป็นอย่างมาก แต่ฉลุบานหน้าต่างถูกปิดแน่นและติดทับด้วยกระดาษ จึงค่อนข้างมืด ยังดีที่หลังคาเรือนค่อนข้างสูง อากาศในเรือนจึงพอเย็นอยู่บ้าง เครื่องเรือนสีดำเงาค่อนข้างเก่าและโทรม แต่กลับถูกเก็บกวาดค่อนข้างสะอาดและเป็นระเบียบ เพียงแต่บนโต๊ะบูชานั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรตั้งไว้เลย ดูแล้วค่อนข้างเงียบเหงาและวังเวง
“อี๋เหนียงค่อนข้างเลอะเลือนเจ้าค่ะ” ป้ารับใช้มองตามสายตาของเขา จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับอธิบายต่อไปว่า “ดังนั้นจึงต้องเก็บข้าวของทั้งหมด” ขณะที่พูดอยู่นั้น นางก็ได้ขยับไปด้านข้างพลางพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายน้อยสอง สองวันก่อนป้าตู้เพิ่งจะได้รับคำสั่งจากไท่ฮูหยินให้มาดูอาการป่วยของฉินอี๋เหนียง นางยืนดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น ท่าน…” ความหมายของนางก็คือให้เขายืนดูอยู่ห่างๆ แล้วรีบกลับไปดีกว่า
แต่สวีซื่ออวี้ฟังไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่านางกำลังพูดอะไรบ้าง
เตียงสีดำเงาถูกวางเป็นแนวนอนติดกับผนังห้อง ปกคลุมด้วยม่านเตียงผ้าฝ้ายโปร่งบางสีเขียว มองเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก เห็นเพียงแขนที่สวมด้วยกำไลหยกเขียวทิ้งตัวอยู่ข้างเตียง
เขาจำกำไลข้อมือนั้นได้
นั่นคือเครื่องประดับที่ท่านพ่อมอบให้ท่านแม่ และเป็นชิ้นที่นางโปรดปรานที่สุด สีเขียวประกายแวววาว ราวกับผิวน้ำก็ไม่ปาน อี๋เหนียงมักจะคอยชมตัวเองทุกครั้งที่ส่องกระจกเสมอว่า “…ข้าอ้วนถ้วนสมบูรณ์ สวมกำไลมือวงนี้แล้วงดงามที่สุด”
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของสวีซื่ออวี้ก็ดูเลือนรางไปจนหมด
กำไลข้อมือยังคงเป็นกำไลวงเดิม สีเขียวมรกตโปร่งใส แต่แขนนั้นกลับผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังที่หุ้มกระดูกอยู่…มือนั้นทิ้งตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่ารับน้ำหนักของกำไลไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ
สวีซื่ออวี้เรียกพึมพำ “อี๋เหนียง” จากนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
เพียงชั่วอึดใจ เขาก็หยุดลงที่ข้างเตียงด้วยความตกตะลึง
สวีซื่ออวี้จำคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั่นไม่ได้แล้ว
ผิวที่เหลืองและซีดเผือด เบ้าตาที่ลึกโบ๋จนเห็นกระดูก…นางกำลังนอนอย่างสงบอยู่ตรงนั้น ช่วงอกไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
“อี๋เหนียง!” เขาคุกเข่าลงหน้าเตียงด้วยความรีบร้อน มือข้างหนึ่งของเขากุมมือที่ผอมแห้งนั้นไว้แน่น และก็ได้ใช้มืออีกข้างของเขาอังที่จมูกของฉินอี๋เหนียง
จู่ๆ ฉินอี๋เหนียงก็ลุกขึ้นมานั่ง
สวีซื่ออวี้จึงตกใจเป็นอย่างมาก
อาการของฉินอี๋เหนียงเกินความคาดหมายของเขาไปมาก นางรีบสะบัดมือที่ถูกเขากุมไว้ทันที
“ใคร…ใครน่ะ” น้ำเสียงของนางแหลมดังและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เจ้าเป็นใคร”
ฉินอี๋เหนียงถามขึ้นพลางขยับถอยหลังเข้ามุมเตียง
“ข้าคือมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายน้อยสองแห่งจวนหย่งผิงโหว เจ้ากล้ามาทำร้ายข้า หากคุณชายน้อยสองกลับมาแล้ว จะต้องไปคิดบัญชีกับเจ้าอย่างแน่นอน”
สวีซื่ออวี้จ้องมองฉินอี๋เหนียงด้วยความตกใจ…แววตาของฉินอี๋เหนียงล่องลอย ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย
นางตาบอดหรือ!
คำพูดจุกอยู่ที่คอ สวีซื่ออวี้ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้
ฉินอี๋เหนียงไม่ได้มีท่าทีเย็นชาและประชดประชันเหมือนเช่นที่ผ่านมา นางพยายามเงี่ยหูฟัง
ในเรือนเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผืนหญ้าที่อบอวลอยู่ในอากาศ
“คุณชายน้อยสอง!” ใบหน้าของนางปรากฏความปิติดีใจขึ้นมา “คุณชายน้อยสอง เจ้ากลับมาแล้ว กลับมาเยี่ยมข้าแล้ว” มือทั้งสองของนางไขว่คว้าอยู่กลางอากาศ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องกลับมาหาข้าอย่างแน่นอน”
สวีซื่ออวี้กุมมือที่ลนลานและไร้ซึ่งจุดหมายคู่นั้นไว้แน่น
“อี๋เหนียง” น้ำเสียงของเขาเคล้าเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ข้ากลับมาแล้ว กลับมาเยี่ยมท่านแล้วขอรับ!”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง