ขันทีซุนตระหนักได้ว่าเขาคิดผิดไป เขาไม่มีอาการของโรคคลั่งความสะอาดก็ต่อเมื่ออยู่กับเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น
แต่เมื่อมาอยู่กับพวกเขาแล้วก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน!
“เก็บกวาดซะ อย่าปล่อยให้มีเลือดเปรอะไปทั่วล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่นอกวัง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาเช็ดนิ้วตัวเองพลางมองไปยังกลุ่มคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ”อย่าให้ข้าได้ยินคำว่า ’นำหายนะมาให้’ อีกเป็นครั้งที่สอง”
“พะ พ่ะย่ะค่ะ…”
ขาของขันทีที่รับผิดชอบเรื่องนี้ถึงกับอ่อนแรงด้วยความหวาดกลัว
สายตาของพวกเขาเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่องค์ชายสาม สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพระชายามาถึงที่นี่แล้ว
พวกเขารู้หน้าที่เป็นอย่างดี และรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกด้วยความหงุดหงิด นางหน้าตาน่าเกลียดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ทำไมพวกเขาถึงต้องทำหน้าอย่างกับเห็นผีทุกครั้งที่เห็นนางด้วย
เห็นได้ชัดว่านางทำให้ใบหน้าของตนกลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว…
“ขันทีพวกนั้นเป็นอะไรกันไปหมด” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามองค์ชายที่ยืนอยู่ข้างนาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้ามากอด แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ข้าเดาว่าพวกเขาคงรีบกลับบ้านไปกินข้าวกระมัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ขอล่ะ ดูยังไงก็โกหกกันชัดๆ!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มแล้วจูบหน้าผากเฮ่อเหลียนเวยเวยขณะที่นางกำลังหรี่ตามองเขา เขาหัวเราะแล้วกระซิบบอกว่า ”เดี๋ยวข้าจะอุ้มเจ้าไปข้างใน อาหารวันนี้น่ากินทีเดียว”
“อือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้อยู่เสมอว่าจะหาความสุขจากชีวิตนี้ได้อย่างไร เมื่อคืนนี้นางฝืนอยู่เสียดึก ดังนั้นในเวลานี้นางจึงยังรู้สึกเพลียอยู่ และอีกอย่างหนึ่งในวังหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรให้นางทำเอาเสียเลย
ในนิยายทุกเรื่องที่นางเคยอ่านมานั้น วังหลวงเป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากคำว่าสงบสุขยิ่งนัก มันควรจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สารพัดการทะเลาะวิวาท และการแข่งขันกันเพื่อเรียกร้องความสนใจต่างหาก
นางยังเคยคิดว่าบางครั้ง นางก็ควรที่จะแสดงเสน่ห์ความเป็นประธานจอมเผด็จการของตนออกมาเพื่อสร้างความประทับใจให้กับใครบางคน
แต่แล้วนางก็ต้องประหลาดใจ ที่วังหลวงกลับสงบสุขไม่ต่างอะไรไปจากที่ที่นางเคยอยู่
เพราะอย่างนั้น ทุกวันนี้นางถึงได้ไม่มีอะไรทำ
สิ่งเดียวที่นางทำคือการหาความสุขให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับปืนและอาวุธต่างๆ แกล้งขันทีซุน หรือไม่ก็ดูเจ้าเจ็ดเต้นระบำเปลือยบั้นท้าย ไม่มีชีวิตใดจะสุขสบายและเงียบสงบยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่แน่นอนว่า… ย่อมมีคนจำนวนหนึ่งซึ่งโง่พอที่จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายในชีวิตของนางอยู่เสมอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองกระดาษในมือ ริมฝีปากบางของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย และเอ่ยว่า ”สองคนนี้กล้าพอที่ลอบเข้ามาในกองกำลังลับเชียวหรือ เช่นนั้นก็ให้พวกมันได้ลิ้มรสชาติของเลือดซะ..”
“ขอรับ” ชายชุดดำตอบพร้อมกับหลุบตาลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยโบกมือเป็นสัญญาณบอกให้เขาออกไป ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพิ่งล้างมือเสร็จตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นเรื่องจริงที่วันหนึ่งองค์ชายล้างมือเป็นสิบครั้ง
แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณนิสัยนั้นของเขา นางถึงได้สามารถปลีกตัวไปจัดการเรื่องที่อยู่ในมือได้
ถ้าไม่อย่างนั้นกิจวัตรประจำวันของนางคงได้วนเวียนอยู่กับแค่การกินและนอนเป็นแน่
นางรู้สึกสงสัยในจุดประสงค์ขององค์ชายอยู่ไม่น้อย เขาจงใจขุนนางให้อ้วนเหมือนลูกหมู แล้ววันหนึ่งจะได้จับนางไปเชือดทำเป็นน้ำแกงหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินความคิดของนาง เขาจึงยกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย ”ต่อให้ข้าจับเจ้าไปทำอาหาร แต่เจ้าก็คงดูไม่น่าอร่อยเท่าในเวลานี้หรอก เลิกคิดแล้วกินให้เยอะๆ”
“….” ทำไมนางถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังถูกโจมตีขึ้นมาอีกแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับอ้อมกอดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรนางก็เริ่มเคยชินกับมันแล้ว เขามักจะอุ้มนางไปไหนต่อไหนด้วยตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมาด้วยท่าทางอันหล่อเหลา และนางเองก็เพลิดเพลินไปกับมันเช่นกัน
แต่พอเป็นเรื่องป้อนข้าวป้อนน้ำ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับปฏิบัติกับนางราวกับว่านางเป็นลูกสาวของเขา
เจ้ากินอันนี้ไม่ได้ อย่ากินอันนั้นมากเกินไปล่ะ กินผลไม้ให้เยอะๆ
ดังนั้นส่วนใหญ่เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงรู้สึกง่วงขึ้นมาระหว่างกินข้าว นางพึมพำพร้อมกับอ้าปากหาว ”ข้ายังไม่อิ่ม…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกอดเฮ่อเหลียนเวยเวยแน่นพลางตอบเสียงระรื่นว่า ”ไปนอนเถอะ ข้าจะสั่งให้คนทำขนมไส้ถั่วแดงเอาไว้ให้เจ้ากินทีหลัง”
เฮ่อเหลียนพยักหน้าแล้วหลับตาลง ”ขนมอร่อย ข้าชอบกิน…”
ใช่! ข้าก็ชอบกินเหมือนกัน! องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างเตียงของทั้งสองพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยัดตัวขึ้นนั่งตัวตรง แล้วถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว เขาเหลือบตามองเจ้าเจ็ดจากตำแหน่งที่สูงกว่า และถามว่า ”มีอะไร”
“พี่สาม ข้าก็อยากกินขนมไส้ถั่วแดงเหมือนกันขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยขอร้องด้วยท่าทางเหมือนเสือที่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปลดกระดุมเสื้อของตนอย่างไม่ใส่ใจ แล้วกล่าวช้าๆ ว่า ”ถ้าเจ้ายังไม่บอกข้าว่าเจ้ามีเรื่องอะไร ข้าก็จะไม่แบ่งขนมพวกนั้นให้เจ้ากิน”
“เสี่ยวเย่ที่ข้าช่วยไว้เมื่อไม่นานมานี้หายไปแล้วขอรับ” เสี่ยวเย่ที่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพูดถึงคือสัตว์อสูรทรงพลังที่สามารถทำให้สำนักไท่ไป๋ราบเป็นหน้ากลองได้ด้วยการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มเขาขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ ”มันหายดีแล้ว มันย่อมต้องกลับบ้านของมันเป็นธรรมดา”
“แต่ข้ายังไม่ทันได้ป้อนเนื้อมังกรให้มันกินเลยนะขอรับ!” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยบ่นเสียงดัง และปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ ”ข้ายังอยากขี่หลังมันลงทะเลลึกไปล่ามังกรนี่นา!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขา ”เอาไว้ฟันสองซี่นั้นของเจ้าขึ้นเมื่อไหร่แล้วค่อยคิดที่จะไปล่ามังกรก็แล้วกัน”
ฟันน้ำนมขององค์ชายเจ็ดตัวน้อยเพิ่งหลุดไปเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นเวลาที่เขายิ้ม ทุกคนจึงสามารถมองเห็นฟันที่หลอไปของเขาได้อย่างชัดเจน และนั่นเป็นภาพที่น่าขันยิ่งนัก
แม้กระทั่งบรรดาข้ารับใช้ก็ยังขบขันเมื่อพวกเขาเห็นภาพนั้น
แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงมัน! ไม่มีใครกล้าพูดถึงมันแม้แต่คนเดียว!
พวกเขากลัวว่าถ้าตัวเองทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา แล้วเจ้าลูกเสือตัวน้อยตัวนี้จะกระโจนเข้ามากัดพวกเขานั่นเอง
แม้ตอนที่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยอยู่กับองค์ชายและพระชายานั้นจะน่ารักเพียงใด แต่ความจริงนั้นเขาก็ยังเป็นเด็กหน้าตายอยู่วันยังค่ำ เขาเอาใจยากกว่าฮ่องเต้เสียอีก!
แน่นอนว่าถ้าองค์ชายเจ็ดรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็สามารถรับมือด้วยอาหารอร่อยๆ ได้
แต่การพูดถึงฟันที่หายไปของเขาออกมาโดยไม่อ้อมค้อมเช่นนี้… พวกเขาสงสัยยิ่งนักว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร
ขันทีซุนหันไปส่งสายตาเห็นอกเห็นใจให้กับเจ้านายตัวน้อยของตน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับปลอบใจว่า ”องค์ชายเจ็ด พวกเราไปที่ห้องเครื่องกันดีไหมพ่ะย่ะค่ะ จะได้ดูด้วยว่าพ่อครัวนำปลาที่ท่านจับมาเมื่อเช้านี้ไปเตรียมอาหารแล้วหรือยัง ท่านอยากเสวยปลามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยท่าทางเสียใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบเรียบๆ ว่า ”ก็ได้ เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน” อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเอาชนะพี่สามได้อยู่แล้วนี่!
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายเจ็ด” ขันทีซุนยื่นมือให้เขาระหว่างที่ว่าเช่นนั้น
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยื่นมือออกไปจับมือเขา เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและติดจะถือตัวว่า ”ขันทีซุน จากความเห็นของเจ้า เจ้าคิดว่าการที่ฟันของข้าหายไปเช่นนั้นมันมีผลต่อความหล่อของข้าหรือเปล่า ว่าอย่างไร”
ขันทีซุนลดสายตาลงมองเด็กชายที่พูดเสียงอู้อี้ผ่านฟันซี่หน้าที่หายไปของตน เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งเพื่อที่จะกลั้นยิ้ม ก่อนจะตอบว่า ”ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“รสนิยมเจ้าดีทีเดียว” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพูดเมื่อเขาได้ยินคำตอบที่ตัวเองอยากจะได้ยิน เขากลับมามีท่าทางยโสโอหังดังเดิม ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนก็ไม่มีใครกล้าเสียมารยาทต่อเขาอีก
อีกด้านหนึ่งนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย
ภาพในความฝันของนางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นางสัมผัสถึงความโกรธแค้นที่รุนแรงขึ้นทุกวันได้เป็นอย่างดี
คนคนนั้นอยากกลับมา
แต่ต่อให้คนคนนั้นกลับมา ก็ใช่ว่านางจะยอมสละร่างนี้ให้กับนาง
หากเป็นก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่ลังเลที่จะคืนร่างนี้ให้กับนาง แต่ตอนนี้ นางมีคนที่สามารถแบ่งปันความทรงจำและความปรารถนาร่วมกันได้แล้ว
นางไม่แน่ใจว่านางจะได้พบกับคนเช่นเขาอีกเป็นครั้งที่สองหรือไม่
ชายหนุ่มที่ภายนอกดูเย็นชาไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่กลับรักนางอย่างสุดหัวใจ…
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง