“หรือว่าฉันเป็นมาโซคิสม์?”
“ที่แท้นิยายสืบสวนสอบสวนก็เขียนแบบนี้ได้เหรอเนี่ย!”
เฉาเต๋อจื้ออ่านไปพลางคาดเดาตัวฆาตกรไปพลาง สงสัยคนแล้วคนเล่า ตัดคนออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยคนแล้วคนเล่า จนเขาแทบจะคาดเดาแรงจูงใจและวิธีลงมือของทุกคนที่เขารู้สึกสงสัย…
ปรากฏว่าดันถูกฉู่ขวงตลบหลังเอาซะได้!
เพราะฉะนั้นเมื่อปัวโรต์เอ่ยชื่อของฆาตกรออกมา เขาถึงกับขนลุกซู่ เม็ดเหงื่อเย็นผุด ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
ขณะเดียวกัน เขาก็สบถออกมา รู้สึกว่านี่เป็นการหลอกลวงผู้อ่าน
และนี่ก็เป็นความจริง
ฉู่ขวงหลอกลวงผู้อ่าน!
ในแง่หนึ่ง คำว่า ‘หลอกลวง’ นั้นไม่เกินจริง
แต่ทำไมเฉาเต๋อจื้อถึงได้รู้สึกอับอายเช่นนี้ล่ะ
ก็เพราะนี่ไม่ใช่การหลอกลวงเพื่อความขำขันในวันเอพริลฟูลส์เดย์ หากแต่เป็นการเกทับทางสติปัญญาน่ะสิ!
จากการอธิบายและวิเคราะห์ในคำรับสารภาพ รวมไปถึงข้อเท็จจริงในคดี จะเห็นได้ว่า…
นอกจากความลับบางอย่างซึ่งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง เนื่องจากวิธีการบรรยายเรื่องแล้ว ฉู่ขวงไม่ได้จงใจปิดบังเบาะแสใดในหนังสือเลย
มิหนำซ้ำบางจุดในหนังสือยังระบุคำใบ้ไว้อย่างชัดเจน!
นี่เป็นสิ่งที่จะตระหนักได้ก็ต่อเมื่อเชื่อมโยงคำรับสารภาพเข้ากับภาพย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว หนังสือเล่มนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรมระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน
จุดที่ทำให้เฉาเต๋อจื้อรู้สึกหดหู่อยู่ตรงนี้…
เห็นได้ชัดว่าอันที่จริงฉู่ขวงได้เปิดเผยตัวฆาตกรไปนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ช่วงเริ่มเรื่องแล้ว…
ทว่าฉู่ขวงใช้ประโยชน์จากสมมติฐานของผู้อ่าน มาสร้างจุดบอดในการสืบสวนสอบสวน ดังนั้นยามที่ตอนจบถูกเปิดเผย เฉาเต๋อจื้อจึงรู้สึกเหลือเชื่อเช่นนี้!
เฉาเต๋อจื้อรู้สึกว่าตนได้เหยียบลงไปในหลุมพรางของฉู่ขวงอย่างสง่าผ่าเผย
คนเขาเปิดเผยหลักฐานมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ตนในฐานะผู้อ่านไม่ทันได้สังเกตเห็นก็เท่านั้นเอง
ต้องเข้าใจว่า นิยายสืบสวนสอบสวนบางเรื่องชอบซ่อนหลักฐานสำคัญไว้ช่วงท้ายเรื่อง หรือไม่ก็ซ่อนไว้ในสมองของนักสืบ ในสถานการณ์แบบนั้น ผู้อ่านย่อมเดาแรงจูงใจของคนร้ายไม่ได้หรอก
เพราะผู้เขียนไม่ได้ระบุหลักฐานสำคัญไว้
แต่คุณย่าเป็นนักเขียนนิยายไขปริศนารูปแบบดั้งเดิม นิยายของเธอไม่มีทางซ่อนหลักฐานไว้ในตอนสุดท้าย!
เธอจะให้โอกาสผู้อ่านไขคดี ให้ผู้อ่านท้าทายความเร็วในการไขคดีของนักสืบ ดูว่าผู้อ่านจะเห็นรายละเอียดซึ่งซ่อนอยู่ในเนื้อหาหรือไม่
“โชคดีที่ฉันอ่านนิยายสืบสวนสอบสวนมามาก…”
เฉาเต๋อจื้อพึมพำ ก่อนที่จู่ๆ จะตบหน้าตักของตนดังฉาด
“ไม่สิ อ่านนิยายสืบสวนสอบสวนมามากก็ไม่มีประโยชน์ เพราะวิธีการเขียนของเรื่องนี้แหวกแนวไม่เหมือนใคร ในวงการนิยายสืบสวนสอบสวน ไม่เคยมีใครเขียนงานแบบนี้มาก่อน!”
ดังนั้นตนจึงทึกทักไปตามสัญชาตญาณว่า ‘ผม’ ไม่ใช่ฆาตกร!
เพราะผู้อ่านอย่างเฉาเต๋อจื้อมีอารมณ์ร่วมกับ ‘ผม’!
ผมคือใครน่ะหรือ
ก็เชปเพิร์ดน่ะสิ!
ถ้าหากเฉาเต๋อจื้อเคยดูซีรีส์เรื่องราชายุทธจักร[1]ละก็ ในตอนนี้เขาจะต้องเข้าใจชายซึ่งมีชื่อว่าจีอู๋หมิงแล้ว
‘เป็นข้า…ที่ฆ่าข้าเอง?’
กระนั้นใครบัญญัติกฎเล่า ว่า ‘ผม’ จะเป็นฆาตกรไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีกฎเหล่านี้!
เพียงแต่จิตใต้สำนึกของตน ได้กำจัด ‘ผม’ ออกไปจากรายชื่อฆาตกรตั้งแต่แรกแล้ว
สิ่งที่ฉู่ขวงทำนั้นเรียบง่ายเหลือเกิน
แหกกฎ และกำหนดนิยามของสิ่งที่เรียกว่า ‘อะไรก็เกิดขึ้นได้’ ในนิยายสืบสวนสอบสวนขึ้นใหม่!
“นี่เป็นผลงานที่ล้มล้างขนบการเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนรูปแบบเก่าโดยสิ้นเชิง!”
เฉาเต๋อจื้อมั่นใจว่า หลังจากที่นิยายเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป จะต้องมีนักเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนอีกนับไม่ถ้วนที่ทำตามรูปแบบนี้
การประเมินของเฉาเต๋อจื้อไม่ผิดพลาด
บนโลก หลังจากที่เรื่องฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์ของคุณย่าเผยแพร่ออกไป หลายคนก็เริ่มเลียนแบบวิธีการสร้างสรรค์ผลงานรูปแบบนี้
เทคนิคการเขียนรูปแบบนี้ ยังมีชื่อเรียกเฉพาะอีกว่า
‘ผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้’
ความหมายเหมือนกับชื่อ
นั่นก็คือการบรรยายเรื่องซึ่งใส่กลอุบายเข้าไป กล่าวคือ ผู้เขียนจงใจใช้โครงสร้างของเรื่อง หรือเทคนิคในการเขียนเพื่อทำให้ผู้อ่านไขว้เขวหรือปกปิดข้อเท็จจริงบางประการ จนกระทั่งในตอนท้ายเรื่องจึงเปิดเผยความจริง และทำให้ผู้อ่านตกตะลึงอย่างไม่อาจพรรณนาได้
คุณย่า ก็คือผู้บุกเบิกเทคนิคการเขียนผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้นี้เอง!
ไม่เช่นนั้น คงไม่เกริ่นไปก่อนหน้านี้หรอกว่าคุณย่าเป็นผู้บุกเบิกโลกของนิยายสืบสวนสอบสวน
ผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบการเขียนที่เธอเป็นคนบุกเบิกก็เท่านั้นเอง เทคนิคการเขียนรูปแบบอื่นๆ ที่เธอบุกเบิกนั้นน่ากลัวกว่านี้เสียอีก
อันที่จริง สำหรับเทคนิคการเขียนผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้นี้ ภายหลังยังมีผลงานเรื่อง Dondon Bridge Is Falling Down[2] ซึ่งได้รับคำชื่นชมเช่นเดียวกัน
“โอกาสมาถึงแล้ว!”
หลังจากที่รู้สึกตกตะลึงสุดขีด เฉาเต๋อจื้อก็สัมผัสได้ว่าตัวของเขาเริ่มเบาหวิว “นิยายเรื่องนี้ดังแน่!”
นิยายสืบสวนสอบสวนคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่ได้เรื่อง?
นั่นมันเมื่อก่อน!
ตอนนี้พวกเรามีฉู่ขวงแล้ว!
ในตอนนี้ เฉาเต๋อจื้อก็หวนนึกถึงสีหน้าหดหู่และไม่เต็มใจของเหล่าสยงยามที่นำนิยายมาส่งให้เขา
เฉาเต๋อจื้อเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายมากขึ้นแล้ว เขาแทบอดไม่ไหว อยากหัวเราะออกมาดังๆ!
ฮ่าๆ
ฉู่ขวงเป็นสมบัติล้ำค่าตัวจริงเสียงจริง!
ถ้าหากตอนนี้ให้เฉาเต๋อจื้อส่งฉู่ขวงกลับไปยังแผนกแฟนตาซี เกรงว่าสีหน้าของเฉาเต๋อจื้อคงไม่ได้ดีไปกว่าเหล่าสยงเลย
ก็ไม่แปลกหรอก
ขาใหญ่ขนาดนี้ ใครไม่อยากเกาะบ้างล่ะ
เป็นแผนกเราที่ส้มหล่น ขาใหญ่ท่านนี้ มาอยู่ที่แผนกวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนของเราแล้วจริงๆ!
กล่าวได้เพียงว่า…
ขาใหญ่อย่างฉู่ขวง ไปอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นขาใหญ่!
……
ไม่ต้องสงสัยเลย เรื่องฆาตกรรมโรเจอร์แอ็กครอยด์ต้องได้ตีพิมพ์อย่างแน่นอน และจำเป็นต้องได้รับการโปรโมต ดังนั้นเฉาเต๋อจื้อจึงเปิดการประชุม
“มาอ่านนิยายเรื่องนี้เร็ว!”
บรรณาธิการในแผนกนิยายสืบสวนสอบสวนต่างมองหน้ากัน สุดท้ายแล้วจึงมองไปทางเฉาเต๋อจื้อ “พี่ใหญ่ มีเรื่องน่าดีใจอะไรเหรอ”
เหล่าบรรรณาธิการไม่เคยเห็นเฉาเต๋อจื้อลิงโลดถึงขนาดนี้มาก่อน
ปกติแล้วเฉาเต๋อจื้อจะมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก เพราะทุกครั้งที่บริษัทเปิดประชุม ในฐานะหัวหน้าบรรณาธิการของแผนกนิยายสืบสวนสอบสวน เฉาเต๋อจื้อมักจะโดนด่าทออยู่ร่ำไป บ่อยครั้งเข้า จะให้เขาไปมีความสุขได้อย่างไรล่ะ
“อ่านจบเดี๋ยวพวกคุณก็รู้เอง!”
เฉาเต๋อจื้อกล่าวอย่างมีความสุข “ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงก่อนเลิกงาน น่าจะพอให้อ่านจบ”
“งั้นก็ดีเลย”
ทุกคนต่างดีใจ หัวหน้าออกคำสั่งเอง งานในมือวางไว้ก่อน แล้วดอดมาอ่านนิยาย ไม่ดีหรอกหรือ?
อื้ม
ก็ดีจริงๆ นั่นแหละ…
บางคนเอนกายกับเก้าอี้ บางคนนั้นไขว่ห้าง ยกชาขึ้นจิบเป็นครั้งคราว อ่านนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อย่างสำราญใจ นี่คืองานในอุดมคติของบรรณาธิการทุกคน!
เฉาเต๋อจื้อไม่ได้ตำหนิ
ถึงอย่างในแผนกก็ไม่ได้มีงานใหญ่อะไร ในเมื่อตัดสินใจจะทุ่มทุนกับเรื่องฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์แล้ว ย่อมต้องให้ลูกน้องในแผนกเข้าใจด้วย
เขาเองก็ถือโอกาสนี้ ใช้เวลาอ่านฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์อีกสักรอบ
เพราะเมื่อรู้ตอนจบแล้ว และสอดส่องค้นหาอย่างมีสติ ครั้งนี้เฉาเต๋อจื้อจึงพบรายละเอียดหลายจุดซึ่งเขามองข้ามไปในครั้งแรก
ตัวอย่างเช่นเมื่อเขาอ่านถึงตอนที่สาม
“ที่แท้ตอนเจอกันครั้งแรก ก็พอจะคาดการณ์ตอนจบได้แล้ว ปัวโรต์ปรากฏตัวครั้งแรกก็ทำฟักทองหลุดมือโดยไม่ได้ตั้งใจ ปรากฏว่าดันไปโดนเชปเพิร์ดเข้าอย่างแม่นยำ”
เฉาเต๋อจื้อหลุดหัวเราะ
นั่นทำให้เขานึกเชื่อมโยงถึงการอุปมาในภาพยนตร์บางเรื่อง เพียงแต่ในครั้งนี้ผู้ที่อ่านครั้งแรกไม่มีทางเกิดความคิดเชื่อมโยงได้ง่ายถึงขนาดนั้น
หลังจากนั้นก็เห็นคำอธิบายของปัวโรต์ในหนังสือ เฉาเต๋อจื้อก็รู้สึกว่าตนชื่นชอบตัวละครนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนั้น
เมื่อลองพินิจพิจารณาเชปเพิร์ดคนนี้อีกครั้ง เฉาเต๋อจื้อก็รู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา
ปัวโรต์กล่าวในหนังสือว่า [ทุกคนมีปีศาจชั่วร้ายแฝงอยู่ในใจ หากไม่ถูกกระตุ้นโดยสภาพแวดล้อมเฉพาะ พวกเขาก็อาจจะมีชีวิตที่ดี แต่หากพวกเขาพบกับสิ่งเร้าบางอย่าง ปีศาจที่ชั่วร้ายก็จะเอาชนะเจตจำนงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทุกสิ่งก็ยากเกินกว่าจะไถ่ถอนแล้ว]
หมอเชปเพิร์ดก็คือประเภทหลัง
เขาไม่ได้เป็นคนเลวโดยกมลสันดานหรอก
ลองนึกภาพดู สมมติว่าเขาบอกสาเหตุการตายของเฟอร์ตามจริง ต่อให้ไม่เรียกร้องเงินสีเทาซึ่งแลกมาด้วยชีวิตคนก้อนนั้น ในฐานะแพทย์ธรรมดาคนหนึ่ง เขาก็ยังคงใช้ชีวิตที่ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้แร้นแค้นต่อไปได้ แต่ถึงกระนั้น ความยึดมั่นและความละโมบในทรัพย์ศฤงคารได้ทำลายทุกสิ่ง เขาโกหกครั้งหนึ่ง และจำเป็นต้องปกปิดจนถึงที่สุด และที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ เขาเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางของการรีดไถเงิน นับวันยิ่งบ้าคลั่ง และไม่อาจควบคุมตนเองได้
เขาหลงอยู่ในโลกแห่งความปรารถนา อยากได้อยากมี กลัวสูญเสีย และสุดท้ายทุกสิ่งก็ยากที่จะกู้คืน
แต่เขามีความสำนึกผิดหรือไม่?
บางทีต้นฉบับนี้อาจเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด ว่าเขายังคงรักในศักดิ์ศรีของตน ดังนั้นเมื่อความจริงปรากฏ เขาจึงสังหารโรเจอร์โดยไม่ลังเล
เป็นวิธีที่สุ่มเสี่ยงและเด็ดขาด
คำสารภาพของเขา เป็นทั้งข้ออ้างที่เปล่าประโยชน์หลังจากกระทำการฆาตกรรม และยังเป็นคำสารภาพอีกนัยหนึ่งเพื่อหาทางปลอบประโลมและบรรเทาความผิด ด้วยการเสาะหาความผิดจากผู้อื่น มิฉะนั้นเขาจะไม่เลือกฆ่าตัวตายเพื่อจบชีวิตของเขาเองหรอก
เขาไม่อยากให้พี่สาวรู้ความจริง
ถึงแม้ด้วยไหวพริบสติปัญญาของพี่สาว เธอคงเดาเหตุผลที่เขาฆ่าตัวตายได้ไม่ยาก
ประโยคหนึ่งในตอนท้ายเรื่องน่าสนใจมาก [ถ้าปัวโรต์ไม่มาเกษียณและปลูกฟักทองที่นี่ก็คงดี]
นี่เป็นความอาลัยอาวรณ์ของเชปเพิร์ด
และเมื่อเฉาเต๋อจื้ออ่านรอบที่สองจบ ท้องฟ้าก็มืดลงพอดี บรรณาธิการในแผนกก็อ่านถึงตอนจบแล้วเช่นกัน
“อ๊อก”
บรรณาธิการด้านขวามือของเฉาเต๋อจื้อดื่มชาไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ถึงกับสำลักน้ำชาออกมา แต่กลับไม่ได้ใส่ใจจะเช็ด เพียงแต่พูดออกมา
“ฆาตกรคือเชปเพิร์ด!”
ขวับๆๆ!
ราวกับฟ้าคำรามลั่น!
บรรณาธิการคนอื่นซึ่งยังอ่านไม่จบหันมาจ้องผู้พูดด้วยสายตาอาฆาต จิตใจแทบแหลกสลายลงในชั่วพริบตา
“ฉันจะฆ่าแก!!”
“ทำไมต้องสปอยล์ด้วยฟระ!!”
“ฉันยังอ่านไม่จบนะเฟ้ย!!”
“ถึงจะพอจะรู้ตัวฆาตกรแล้ว…แต่ฉันล่ะเกลียดแกจริงๆ!”
“เป็นเชปเพิร์ดเองเหรอเนี่ย…แล้วแกจะตะโกนทำไมฟระ! ตายซะ!”
“…”
บรรณาธิการหลายคนเดือดดาลขึ้นมา
แต่หลังจากระบายไฟโทสะแล้ว สีหน้าของทุกคนก็ค่อยๆ กลายเป็นประหลาดใจและตกตะลึง
และในความตกตะลึง
จู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นมาอีก “ที่แท้ฆาตกรก็คือเชปเพิร์ด!!”
ทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ “ก็ใช่น่ะสิ เมื่อกี้ก็พูดกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“หา?”
คนคนนั้นเกาศีรษะ “ขอโทษที ฉันไม่ได้ยินเลย อ่านแล้วอินไปหน่อย”
ต้องอินถึงขนาดไหนกันนะ…
ทุกคนแอบแดกดันอยู่ในใจ พลางกลอกตา
ไม่ได้ยินแล้วยังจะพูดออกมาอีก พวกชอบสปอยล์โผล่มาอีกคนแล้ว!
แน่นอน
หลังจากนั้นบรรณาธิการทั้งหลายก็หนีไม่พ้น เป็นอันต้องถกเถียงกันถึงเรื่องที่ค้างคาใจ
“ใครเขียนนิยายเรื่องนี้เนี่ย บ้าไปแล้ว!”
“พี่ใหญ่ คงไม่ได้ดึงตัวอาจารย์คาเธอร์มาได้หรอกใช่ไหม”
“คดีไม่นับว่าพีค แต่ตอนจบโคตรจะเทพ!”
“ทำให้ความเข้าใจที่ฉันมีต่อนิยายสืบสวนสอบสวนเปลี่ยนไปเลย…”
“ถ้าไม่ได้มีใครบางคนสปอยล์ ฉันก็คงตะลึงจนพูดไม่ออกไปแล้ว”
“นิยายเรื่องนี้ดังระเบิดแน่!”
“อ๋า ก่อนหน้านี้ฉันก็เดาว่าเป็นเชปเพิร์ดนะ แต่ตอนหลังก็ล้มเลิกไป นึกไม่ถึงว่า…”
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าจะเดาได้ตอนสี่บทสุดท้าย แต่ก็ไม่มั่นใจ…ที่จริงฆาตกรก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่เราเดาไม่ออกเลย แค่เหลือเชื่อเกินไปหน่อย นิยายสืบสวนสอบสวนแบบนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!”
“สรุปว่าใครเขียนคะ”
“…”
สายตาทุกคู่มองไปทางเฉาเต๋อจื้อ “ฉู่ขวง”
ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ คือฉู่ขวง
ชื่อของฉู่ขวงในวงการนวนิยายสืบสวนสอบสวน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วจากกองบรรณาธิการเล็กๆ แห่งนี้!
………………………………………………..
[1] ราชายุทธจักร ซีรีส์ซึ่งสร้างมาจากนิยายกำลังภายในของโกวเล้ง
[2] Dondon Bridge Is Falling Down (Dondon-Bashi, Ochita) โดยอูชิดะ นาโอยูกิ นักเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนชาวญี่ปุ่น ภายใต้นามปากกาอายาสึจิ ยูกิโตะ
สนุกมากค้าาไรรรออ่านตอนใหม่นะคะมาอัพไวๆน้าาา