เป็นเช่นนี้จริงด้วย
ก่อนหน้านี้นางไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ฮ่องเต้ คืนนี้จึงอาศัยการมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับจินเหยา ในที่สุดก็ตรวจดูชีพจรได้
ชีพจรของฮ่องเต้ไม่ใช่ชีพจรของคนที่ป่วยจนใกล้ตาย หากแต่เป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงตามปกติ
“หรืออาจบอกว่า โรคเก่าที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ หลังจากผ่านการรักษาในระยะนี้จึงหายดีแล้ว” ฉู่ซิวหยงพูดต่อ
เฉินตันจูมองเขา เวลานี้นางเพิ่งเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความหมายของประโยคที่ว่าฮ่องเต้ไม่เป็นอันใดที่ฉู่อวี๋หยงบอกนางในตอนนั้น
ฮ่องเต้ไม่เป็นอันใดจริง
แต่เวลานี้…
ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “ข้าไม่ต้องการให้ฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา จึงให้คนใช้ยาและวิธีการบางอย่างทำให้ฝ่าบาททรงอยู่ในสภาพใกล้ตาย”
เฉินตันจูจับประตูห้องขัง “องค์ชายทรงทำอันใด เหยียดหยามฝ่าบาทหรือ”
ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “ข้าไม่ได้ทำอันใด ไม่ได้เหยียดหยามหรือทำร้ายเสด็จพ่อ โรคเก่าของพระองค์ทรงรักษาหายดีแล้ว ข้าเพียงอยากให้พระองค์ทรงเห็น องค์รัชทายาทที่เขาโปรดปรานคิดจะทำอันใดต่อเขา”
เฉินตันจูมองเขา นางพอเข้าใจแล้ว “หูไต้ฟูเกิดเรื่องเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ”
ฉู่ซิวหยงพยักหน้า “อันที่จริงหูไต้ฟูรักษาฝ่าบาทจนหายดีแล้ว เขาบอกว่ากลับไปเก็บสมุนไพรเป็นเรื่องโกหก”
เฉินตันจูเข้าใจแล้ว องค์รัชทายาทไม่อยากให้ฮ่องเต้หายดี เวลานี้โยนเหยื่อล่ออย่างหูไต้ฟูออกมา ทำให้องค์รัชทายาทคิดว่าเพียงแค่กำจัดหูไต้ฟูทิ้ง ฮ่องเต้ย่อมต้องไม่รอด
ถึงแม้จะรู้มาตั้งนานแล้วว่าองค์รัชทายาทเป็นคนที่เลือดเย็นและโหดเหี้ยม แต่เขาลงมือได้จริงหรือ อีกฝ่ายเป็นเสด็จพ่อที่รักเขาที่สุดเชียวนะ
“ระยะนี้ ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่ทรงฟื้นขึ้นมา แต่พระองค์สามารถได้ยิน พระองค์ทรงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบด้านอย่างดี”
“องค์รัชทายาททำอันใด เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ภายในใจของฮ่องเต้กระจ่างชัดราวกับกระจก”
“นอกจากนี้ หูไต้ฟูยังไม่ตาย แม้แต่ม้าตัวนั้นก็ไม่เสียหายแม้แต่น้อย”
เฉินตันจูฟังฉู่ซิวหยงพูด มองใบหน้าเขาด้วยความผงะ รอบด้านไม่ได้จุดไฟ มีเพียงตะเกียงในมือของฉู่ซิวหยง แสงไฟสะท้อนลงพื้น เฉินตันจูเงยหน้า เห็นเพียงริมฝีปากบางรวมทั้งดวงตาเร้นลับของเขา
ใบหน้าของเขาที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดดูไม่ใกล้ไม่ไกล ทั้งชัดเจนทั้งคลุมเครือ
“องค์ชาย การแก้แค้นของท่านก็คือทำให้ฝ่าบาททรงเห็น องค์รัชทายาทที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานร้ายกาจเพียงใด” นางพูดเสียงเบา
ฉู่ซิวหยงก้มหน้ามองหญิงสาวตรงหน้า แสงไฟสว่างสาดส่องลงบนใบหน้าของนางจนขาวดุจกระดาษ
“ใช่” เขาพูด “ข้าอยากให้เขาผิดหวัง โทษตัวเอง ละอายใจ ให้เขารู้ว่าการเหยียบย่ำบุตรคนอื่นตามใจเพื่อปกป้องบุตรคนนี้ แต่เวลานี้บุตรคนนี้กำลังเหยียบย่ำเขาอย่างไร”
เฉินตันจูรู้ หลังจากที่ฉู่ซิวหยงถูกฮองเฮาและองค์รัชทายาทลอบทำร้าย เขาก็โกรธแค้นมาตลอด คนที่เขาแค้นที่สุดไม่ใช่ฮองเฮาและองค์รัชทายาท หากแต่เป็นฮ่องเต้ นางไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิความแค้นของเขา แต่…
“องค์ชาย” นางจับประตูห้องขังแน่น “ท่านเคยทรงคิดหรือไม่ การกระทำของท่านทรงเหยียดหยามคนบริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด ฮ่องเต้และองค์รัชทายาททรงทำผิดต่อท่าน ไม่ใช่แม่ทัพหน้ากากเหล็กทำผิดต่อท่าน ไม่ใช่องค์ชายหกทำผิดต่อท่าน ไม่ใช่องค์หญิงจินเหยาทำผิดต่อท่าน ยิ่งไม่ใช่ผู้คนทั่วแผ่นดินทำผิดต่อท่าน เวลานี้แผ่นดินกำลังจะเกิดความโกลาหล กำลังจะเกิดสงคราม…”
ฉู่ซิวหยงมองมือที่จับประตูห้องขังของหญิงสาว เวลานี้ไม่ใช่เพียงใบหน้าของนางที่ขาวซีด นิ้วของนางก็เช่นกัน…บนมือยังมีบาดแผลจากการถลอก เผยให้เห็นเนื้อสีแดง
ก่อนหน้านี้นางประลองกับจินเหยาอย่างดุดัน อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้จินเหยาได้รับบาดเจ็บ นางจึงต้องแบกรับการกระแทกอย่างมาก
“ข้าให้หมอหลวงมาดูให้เจ้า” เขาพูด พลันยื่นมือกุมมือของเฉินตันจูเบาๆ “แผลที่ไม่เห็นเลือดมักเจ็บมาก”
เฉินตันจูจับมือของเขากลับ “องค์ชาย! ท่านทรงได้ยินสิ่งที่หม่อมฉันพูดหรือไม่ ท่านรีบหยุดเสียเถิด!”
นับแต่ครั้งนั้น เขาคิดจะกุมมือของนางอีกครั้งเสมอมา คิดว่าไม่มีโอกาสอีกแล้วเสียอีก แต่เมื่อมีโอกาส เขายังคงต้องผลักมือของนางออก
ฉู่ซิวหยงก้าวถอยหลังไป หญิงสาวมีแรงมาก ตอนประลองชนมุมทั้งดุทั้งแรงเหมือนวัวตัวน้อย แต่อย่างไรก็เป็นสตรี อีกทั้งมีประตูห้องขังกั้นเอาไว้ เขาจึงชักมือออกจากเฉินตันจูได้อย่างง่ายดาย
“อย่ากังวล จินเหยาจะไม่เป็นอันใด เรื่องทางนี้จะจัดการเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ยังนำจินเหยากลับมาได้ทัน นอกจากนี้ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอวี๋หยง เมื่อเสด็จพ่อทรงฟื้นขึ้นมา ย่อมจะทรงคืนความบริสุทธิ์ให้เขา” เขาพูดพลางมองหญิงสาว “พักผ่อนให้ดี”
พูดจบก็หันหลังจากไป
ตามการจากไปของเขา ความมืดเข้าปกคลุมห้องขังอีกครั้ง
“ฉู่ซิวหยง…” เฉินตันจูจับประตูพลันตะโกน “ท่านอย่าคิดว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุม เรื่องที่ท่านไม่รู้ เรื่องที่ท่านไม่อาจควบคุมได้มีมากนัก!”
อาทิท่านอ๋องซีเหลียง อาทิท่านอ๋องฉีที่หนีไป อาทิโจวเสวียน!
การแก้แค้นของเขาคือการทำให้ฮ่องเต้ประชวรไม่จริง เพื่อให้ฮ่องเต้เห็นความเลือดเย็นขององค์รัชทายาท แต่เขารู้หรือไม่ว่าการแก้แค้นของโจวเสวียนคือการทำให้ฮ่องเต้ตาย!
แต่ไม่มีประโยชน์ ฉู่ซิวหยงไม่ได้หยุดลง ไม่นานนักแสงสว่างและคนก็หายลับไป
คราวนี้ เฉินตันจูตะโกนเรียกให้คนเปิดประตูอีกครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดปรากฏตัว นางไม่อาจเดินออกจากห้องขังได้อีก อีกทั้งไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมนางอีก นางไม่อาจแม้แต่จะไปส่งองค์หญิงจินเหยาได้
การจากเมืองหลวงไปขององค์หญิงจินเหยาไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่อย่างไร หรืออาจบอกได้ว่าเงียบเหงาอย่างมาก
องค์รัชทายาทย่อมเสนอว่าต้องมีการส่งอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง สินสอดที่อลังการ ผู้คนทั้งเมืองน้อมส่งหรือขบวนริ้วแดงสิบลี้ แต่องค์หญิงจินเหยายิ้มเย็นพลางถาม “มันเป็นเรื่องมงคลหรือ อย่าว่าแต่ต้าเซี่ย จักรพรรดิทรราชแห่งราชวงศ์ก่อนก็ยังไม่เคยส่งองค์หญิงออกเรือนไปยังซีเหลียง”
นางกำลังตำหนิว่าเขาไม่อาจเทียบได้แม้แต่จักรพรรดิทรราชอย่างนั้นหรือ องค์รัชทายาทโกรธจนหน้าดำ เขาสะบัดแขนเสื้อไม่สนใจนางอีก
ราชสำนักทำได้เพียงจัดเตรียมพิธีอภิเษกอันยิ่งใหญ่เมื่อเดินทางถึงซีจิง เวลานั้นองค์รัชทายาทแห่งซีเหลียงย่อมเสด็จมารับด้วยตัวเอง
เมื่อขบวนรถม้าที่เรียบง่ายขององค์หญิงเคลื่อนผ่านเมืองหลวง ผู้คนยังไม่รู้ว่าองค์หญิงจะเสด็จไปที่ใด…ถึงแม้ทุกคนต่างบอกว่าองค์หญิงจะออกเรือนไปซีเหลียง แต่เมื่อเห็นแล้วก็ยังคงรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
ไม่เหมือนจริงเอาเสียเลย
หลิวเวยและหลี่เหลียนวิ่งตามราชรถของนาง อีกทั้งยังนั่งรถตามไปส่งเมื่อออกจากเมือง องค์หญิงจินเหยาทำได้เพียงให้คนไปห้ามพวกนาง พร้อมทั้งมอบของขวัญให้พวกนางคนละชิ้น บอกว่าไม่อยากจากลาอย่างเศร้าโศก หลิวเวยและหลี่เหลียนจึงทำได้เพียงหยุดลง มองดูราชรถขององค์หญิงจินเหยาออกจากเมือง ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา
องค์หญิงจินเหยารับสั่งให้เร่งการเดินทาง อย่าได้หยุดพักผ่อน ราวกับหากนางจากไปเร็วก็จะไม่ได้ยินข่าวร้ายของเสด็จพ่อที่ส่งมาจากเมืองหลวง
แต่อย่างไรก็ต้องพักผ่อน
ผู้คนที่เหนื่อยล้าหยุดพักในอี้จ้านแห่งหนึ่งในยามกลางคืนหลังจากเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน อี้จ้านเรียบง่าย องค์หญิงจินเหยาก็ไม่ได้มีเงื่อนไขมากมาย หลังจากกินข้าวอย่างง่ายดายเสร็จก็อาบน้ำพักผ่อน
นางไม่ได้นำขันทีและนางในของตนเองมาด้วย ขันทีและนางในที่ติดตามมาล้วนเป็นคนขององค์รัชทายาท องค์หญิงจินเหยาคิดจะปล่อยพวกเขาไว้ในซีจิงไม่นำไปด้วย เวลานี้นางไม่ต้องการคนเหล่านี้มาปรนนิบัติ นางนั่งอยู่ในห้องคนเดียว แกะผมต่อหน้ากระจกด้วยตนเอง จากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูถูกผลักออกเบาๆ
นางยิ้มเย็นเมื่อเห็นขันทีร่างสูงผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากกระจก ถึงแม้จะบอกว่าขันทีเหล่านี้มาปรนนิบัตินาง แต่อันที่จริงพวกเขามาจับตาดูนางแทนองค์รัชทายาท
“ข้าบอกแล้ว” นางพูดเสียงเย็นชา “ไม่ต้องปรนนิบัติ”
ขันทีผู้นั้นปิดประตูลง พูดเสียงเบา “ไม่ใช่ปรนนิบัติ ข้ามาเพื่อคุยกับองค์หญิง”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ องค์หญิงจินเหยาหันหลังกลับมาด้วยความตกใจ นางมองขันทีผู้นี้อย่างเหลือเชื่อ
ขันทีก็หันหน้ามา คิ้วยาว จมูกโด่ง ใบหน้าขาว อีกฝ่ายยิ้มให้นางอย่างสดใส
“เสด็จ…”
องค์หญิงจินเหยาเกือบตะโกนออกมา แต่นางก็ปิดปากเอาไว้ทัน ก่อนจะกระโจนเข้าอ้อมกอดของฉู่อวี๋หยงอย่างโซซัดโซเซ
อ้อมกอดนี้อบอุ่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้นางละลายเหมือนกับหิมะในฤดูหนาว