เฮ่อเหลียนเวยเวยมองรอยยิ้มในดวงตาดอกท้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นนางก็แกะเมล็ดแตงโมแล้วยื่นไปใกล้ปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
กลีบปากบางของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย ลิ้นของเขาตวัดผ่านปลายนิ้วของนางโดยไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ เขายิ้มพลางเอ่ยว่า ”รสชาติดีทีเดียว แกะให้ข้าอีกสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดที่จะหลบเลี่ยง แต่แขนที่โอบอยู่รอบเอวของนางกลับรัดแน่นขึ้น ”แกะให้ข้ากินอีกสักสองสามเมล็ดสิ อาหารยังไม่มาเลย”
เมื่อไม่มีทางเลือก เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงทำได้เพียงแค่แกะเมล็ดแตงโมป้อนองค์ชายเท่านั้น
แต่ก่อนที่นางจะทันได้วางเปลือกเมล็ดแตงโมเมล็ดถัดไปลง เขาก็จูบนางเข้าเสียก่อน เมล็ดแตงโมที่อยู่ระหว่างริมฝีปากนั้นล่องลอยอยู่ในลมหายใจของทั้งสอง เขาไม่ได้ดึงดันที่จะให้นางอ้าปากเหมือนครั้งก่อน แต่กลับกัดริมฝีปากของนางเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า ”ต้องอย่างนี้สิ เจ้าช่างยั่วยวนยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้เป็นเช่นใดแม้จะไม่ต้องมอง
แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่านิ้วของเขากลับพยายามที่จะปลดเสื้อตัวในของนางออก ลมหายใจของนางกลายเป็นไอร้อนเพราะความอบอุ่นนั้น มันอุ่นเสียจนทำให้ขาทั้งสองของนางหมดเรี่ยวแรง ”ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าเจ้าดูมีเสน่ห์ยิ่งนักเวลาอยู่ในชุดผู้ชาย”
“อย่า… อย่าทำที่นี่” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายไปด้วยน้ำตาเพราะการสัมผัสของเขา เสียงของนางเริ่มไม่สม่ำเสมอ
“เฮ้อ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มนางขึ้น แล้วจูบด้านหลังใบหูของนาง แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรที่นี่จริงๆ
ทั้งสองคนแนบชิดกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะปล่อยนางออก แล้วป้อนน้ำให้นางดื่ม
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยชาหนึบเพราะสัมผัสแนบชิดนั้น นางเอนหลังซบเข้ากับแผ่นอกของเขา ปลายหางตาของนางแดงระเรื่อ
อาหารทุกจานถูกสั่งไปเป็นที่เรียบร้อย และเงาทมิฬเป็นผู้รับผิดชอบในการนำอาหารเหล่านั้นเข้ามา
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ เหมือนกับตอนที่พวกเขาอยู่ในวังหลวง
สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เป็นเช่นนั้นล้วนมาจากการที่ทั้งสองไม่ชอบสถานที่ที่มีเสียงดังวุ่นวาย และชื่นชอบที่จะทำตัวตามสบายมากกว่า ทั้งสองไม่คิดว่าการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขารักกันหวานชื่นเพียงใดเป็นสิ่งจำเป็น ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อทำเช่นนี้
เหมือนอย่างในตอนนี้ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนหลังพิงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย และจัดการเคี้ยวอาหารทุกอย่างที่เขาคีบให้นางเหมือนกับแฮมสเตอร์ตัวเล็กๆ
บนโต๊ะมีอาหารนานับชนิด รวมถึงหม้อไฟเนื้อซี่โครง อาหารทุกจานล้วนแต่ชวนให้น้ำลายสอ โดยเฉพาะจานที่เป็นกุ้งอบน้ำมัน
ก่อนหน้านี้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าการกินกุ้งเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่เมื่อเห็นสามีของตนที่กำลังแกะกุ้งอยู่ นางก็รู้สึกเหมือนได้เห็นภาพจากงานศิลปะก็ไม่ปาน
“อร่อยหรือ” ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มทันทีที่เห็นแก้มที่พองขึ้นเล็กน้อยของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งกุ้งเข้าปาก แล้วหัวเราะ ”อร่อยมากๆ เลยล่ะ”
พวกเขาใช้เวลากับมื้อเย็นไปราวหนึ่งชั่วยาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยทั้งอิ่มและง่วงสุดท้ายนางจึงเอาแต่หาวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่นางเดินผ่านโถงกลางของภัตตาคาร นางก็เห็นผู้ชายจำนวนหนึ่งกำลังกินอาหารที่ผู้หญิงกินไม่หมดอยู่
ดังนั้นนางจึงกระตุกมือ แล้วส่งสัญญาณให้เขาหันไปมอง เป็นการบอกให้เขาเรียนรู้จากคนพวกนั้นในอนาคต
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ให้เกียรติกับความรู้สึกของนาง เขามองคนพวกนั้นแล้วเอ่ยขึ้น สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนาง ”ข้าก็อยากกินอาหารที่เจ้าเหลือไว้อยู่เหมือนกัน แต่เจ้าเคยกินเหลือด้วยหรือ ฮูหยิน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
ดูเหมือนว่า… มันก็จริง… ที่นางไม่เคยกินเหลือ..
ทำไมนางถึงรู้สึกว่านางกำลังถูกล้อเลียนอีกแล้วล่ะ!
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นเสียหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางต้องแก้ตัวให้ตัวเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้าหาตัว พร้อมกับเอ่ยตอบอย่างไร้ซึ่งความจริงใจว่า ”ถ้าเทียบกับเจ้าเจ็ดแล้ว เจ้าก็ไม่ได้กินเยอะจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองใบหน้าตกตะลึงของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว เขาจูบหน้าผากนางแล้วบอก ”ไปดูที่รถม้าสิ ข้ามีอะไรให้เจ้า”
“ให้ข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามพร้อมกับยกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย นางเดินไปที่รถม้าพร้อมกับเลิกม่านขึ้น และเห็นเครื่องประดับทำจากเงินและทองจำนวนหนึ่งอยู่บนพื้น
ประกายแห่งความยินดีฉายขึ้นในดวงตาดำขลับของนางในทันใด นางเรียกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้ามา แล้วเอนกายลงบนนั้น มันหรูหราอย่างแท้จริง
รถม้าไม่ได้มุ่งหน้าไปที่วังหลวง แต่กลับหยุดอยู่ที่อุทยานหลวงแทน
พวกเขาจุดคบเพลิงที่อยู่ข้างนอก ส่วนภายในรถม้าก็มีแสงจากไข่มุกราตรีเม็ดงามคอยให้ความสว่าง
พวกเขาเลิกม่านขึ้นพร้อมกับตระกองกอดกันฟังเสียงจักจั่นและสัมผัสกับสายลมยามค่ำคืน พวกเขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งกว่าที่ผ่านมา
“ข้ารับใช้สองคนที่ท่านจัดการไปเมื่อวานนี้ พวกเขาทำอะไรผิดหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยช้อนตาขึ้นแล้วถามเขาระหว่างที่แกะเมล็ดแตงโมอยู่
ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรากฏความโหดเหี้ยมขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดังนั้น เขาเหยียดยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า ”แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ารู้เรื่องนี้เพราะคนพวกนั้นจัดการไม่ดีหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้ตอบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองหน้านางและตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้เขาสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ เขารีบผ่อนกล้ามเนื้อบนใบหน้าลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ”อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของคนพวกนั้นเลย ข้ารับใช้สองคนนั้นเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าส่งพวกเขาออกจากวังหลวงเมื่อวานนี้ ถ้าเจ้ามีเวลามาคิดถึงเรื่องไม่สลักสำคัญพรรค์นี้ละก็ ทำไมเจ้าไม่ทุ่มมันให้กับการคิดหาวิธีที่จะตอบแทนสิ่งที่ข้าเตรียมไว้ให้ในวันนี้แทนล่ะ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็อุ้มนางขึ้นแล้วประทับจูบลงที่ลำคอของนาง
อันที่จริงเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นมากนัก แต่ขืนนางยังปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเองในที่แห่งนี้ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะทำแบบนี้ไปอีกนานเพียงใด
แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่นางพูด แต่ร่างกายของนางก็ไม่สามารถขัดขืนเขาได้ อีกอย่างหนึ่ง คืนวันพระจันทร์เต็มดวงก็กำลังใกล้เข้ามาทุกที
ทุกการสัมผัสของเขานั้นไม่ต่างอะไรไปจากตะขอล่องหนสำหรับนาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเริ่มถอดชุดของนางออก แต่นางก็ยังไม่สามารถพาตัวเองออกจากอาการเสียวซ่านนี้ได้
นางได้ยินเขากระซิบข้างหูอย่างไม่ชัดเจนนักว่า ”บอกมาสิว่าเจ้าอยากให้ข้าเข้าไปอยู่ในตัวเจ้า…”
เสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนไปเพราะการทรมานนั้น นางพึมพำคำพูดหนึ่งออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง ”หืม..”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เขามองเรือนผมที่สยายอยู่บนพรมสีแดงราคาแพง ทุกอย่างของนางดูยั่วยวนสำหรับเขายิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากของนาง เพราะนางกลัวว่าจะมีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในรถม้าได้ แต่นางก็อยากกรีดร้องออกมาทุกครั้งที่เขาขยับเข้าออกในร่างกายของนาง นิ้วสีซีดของนางคว้าพรมที่อยู่ใต้ร่างเอาไว้แน่นอย่างทนไม่ไหว นางขอร้องเขาด้วยเสียงอันแหบพร่าว่า ”ช้าลงหน่อย…”
เขายิ้มออกมาพร้อมกับก้มหน้าลงจูบใบหูของนาง เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับหายใจอย่างรุนแรง ”ช้าลงหรือ เช่นนั้นเจ้าจะคลอดลูกชายให้ข้าได้อย่างไรล่ะ หืม”
ใบหูของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อนางได้ยินคำพูดอันอ่อนโยนของเขา
“ข้าอยากทำรุนแรงกับเจ้าเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนที่เจ้ากินข้าวเมื่อครู่แล้ว!” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบอก น้ำเสียงของเขาดังทุ้มลึก
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายในรถม้า แต่พวกมันก็ไม่สามารถปิดบังความรักที่อยู่ภายในนั้นได้
พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาอยู่ข้างในนี้มานานเพียงใด
ความเสียวซ่านนั้นยังคงไม่จางหายไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหม่อลอยอยู่ในตอนแรก แต่สุดท้ายนางก็หลงไปกับความสุขสมจากการกระแทกต่อเนื่องของเขา
การเคลื่อนไหวนั้นแตกต่างจากเวลาปกติ มันช้าและทรมานแต่ก็นุ่มนวลชวนลุ่มหลง ความรู้สึกนั้นค่อยๆ กระแทกเข้าสู่ใจนางทีละน้อยก่อนจะผสานเข้ากับจังหวะหัวใจของเขา
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้เพียงความสุขอันยากจะอธิบายได้
เขาหว่านล้อมให้นางพูดคำพูดมากมายที่นางจะไม่มีวันพูดในยามปกติ
เขาลดเสียงลง แล้วล่อลวงให้นางบอกว่า ”พูดสิว่าเจ้าจะไม่มีวันไปจากข้า พูดออกมา”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไม่มอบสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการให้ หากนางไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางพูดทุกอย่างนั้นออกมาพร้อมกับเสียงหอบหายใจอันไม่สม่ำเสมอ
จากนั้นนางก็หมดหมดสติไป
พวกเขาใช้เวลาอยู่เช่นนั้นกันทั้งคืน ความสุขหลั่งไหลเข้ามาในร่างของนางจนร้อนระอุ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นขึ้นมาในห้องบรรทมในช่วงบ่ายของวันต่อมา นางได้รับจดหมายที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยในทันทีที่นางเพิ่งบ้วนปากล้างหน้าเสร็จ