เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถขัดขืนต่อแรงกระตุ้นนั้นได้อีกต่อไป นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า ”เจ้านาย…”
คำพูดนั้นเหมือนกับกดสวิตช์ในร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยทันที จากนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นมากอดพลางลูบไล้ร่างกายและทรมานนางต่ออย่างไม่คิดที่จะหยุด
แต่ดูเหมือนเขาจะนึกถึงความรู้สึกของนางอยู่มากทีเดียว อีกทั้งยังดูเหมือนกับว่าเขาพยายามที่จะทำให้นางพอใจเสียด้วยซ้ำ ความสุขสมที่เกิดขึ้นนั้นนำมาซึ่งอาการเสียวสะท้านไปทั้งร่าง
หลังจากนั้นทั้งสองก็ล้มตัวลงนอนบนม้านั่ง เขาใช้นิ้วสางผ่านเส้นผมนั้น แล้วจูบซับหางตาให้กับนาง
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาฉลาดกว่าคนอื่นๆ มาก
โดยเฉพาะกับคำพูดเมื่อกี้ แต่จะพูดมันออกมาอย่างไรให้นางชอบดี
หรือจะเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์?
ใครจะยอมเรียกตัวเองว่าสุนัขกัน
งี่เง่าสิ้นดี
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคิดกับตัวเองในใจ จากนั้นเขาก็บีบมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วถามว่า ”เจ้าชอบแมวหรือสุนัขมากกว่ากัน”
“เอ๋ ข้าชอบทั้งคู่ แต่ชอบสุนัขตัวใหญ่ๆ มากกว่า ทำไมหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะพลางลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางแล้วหัวเราะออกมา ริมฝีปากบางน่าหลงใหลของเขาเผยอออกมาเล็กน้อยพร้อมกับเสน่ห์อันอธิบายได้ยาก เขาขยับเข้ามาใกล้หูของนาง ก่อนจะเปล่งเสียงทุ้มๆ ของตัวเองออกมาว่า ”โฮ่ง!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก นางมองชายตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย เมื่อกี้… เมื่อกี้ข้าได้ยินว่าอะไรนะ
แม้ว่าโดยปกติแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่… นางก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในฝันทันทีที่พบกับเหตุการณ์นี้
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังยิ้มอยู่อย่างนั้น แล้วร้องออกมาอีกครั้งว่า ”โฮ่ง!”
โอย! ผู้ชายคนนี้ เขาทำตัวน่ารักถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
หน้าตาของเขาก็น่าดึงดูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว!
มาตอนนี้เขายังถึงกับเห่าให้ข้าอีก!
นี่คือสาเหตุที่องค์ชายถูกเรียกว่าปีศาจขี้แกล้งสินะ! ไม่มีใครเอาชนะเขาได้เลย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยโอบมือตัวเองรอบเอวเขาอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ”เห่าอีกสิ แล้วข้าจะให้ซี่โครงหมูเป็นอาหารเย็น!” ถ้าข้าสามารถเก็บองค์ชายสามไว้เป็นสัตว์เลี้ยงแล้วพาเขาออกไปข้างนอกได้ มันคงจะเยี่ยมยอดยิ่งนัก! นี่คือสิ่งที่ได้จากการแต่งงานกับผู้ชายหล่อรวย มันไม่ต่างอะไรจากการได้ขึ้นไปอยู่จุดที่สูงที่สุดของชีวิตเลย!
“แทนที่จะเป็นซี่โครง ข้าอยากกิน…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งสายตามามองนาง แล้วขยับริมฝีปากบางของตนไปยังติ่งหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น และเดาว่าที่เขาไม่ยอมพูดจบประโยคด้วยคำว่า ’เจ้า’ ก็เพราะเขาต้องการให้สมองของนางเตลิดไปกับความเป็นไปได้ที่มี
แต่องค์ชายก็ดูน่ารักยิ่งนักตอนที่เขาเห่าออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำของตน มันทำให้หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างไร้ทางป้องกัน…
ราวกับอ่านความคิดของนางออก ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับเข้าไปใกล้ใบหูของนาง แล้วกระซิบเบาๆ อีกครั้งว่า ’โฮ่ง’ เขาจงใจลากเสียงพยางค์นั้นออกไป ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกแม่เหล็กดูดเข้าไปในนั้น
ขันทีซุนยืนอยู่ข้างนอก และไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้ามาข้างใน แต่เขาก็มีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานกับองค์ชาย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างลังเลจากด้านหลังของฉากกั้นอันงดงามนั้น ”องค์ชาย จดหมายฉบับนั้นถูกนำไปที่กรมขุนนางฝ่ายในตามคำสั่งของท่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ อดีตฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้แล้วเช่นกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเตรียมจะลุกขึ้นทันทีที่นางได้ยินว่าพวกเขากำลังจะคุยเรื่องสำคัญกัน
“พักต่ออีกหน่อยเถอะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาห่มให้นาง จากนั้นเขาจึงเดินออกไปในสภาพที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดีนัก เขาดูเย้ายวนจนขันทีซุนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาเลยด้วยซ้ำ
เขาเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ จึงไม่กล้าที่จะออกความเห็นอันใด เขาจำได้ว่าในอดีตนั้นองค์ชายไม่เคยสนใจเรื่องพรรค์นี้มาก่อน
ใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะเริ่มเห็นความสำคัญของชีวิตส่วนตัวหลังจากพระชายาเข้ามาในวังหลวง
ดูจากสถานการณ์ในช่วงนี้ อีกไม่นานพระชายาคงจะตั้งครรภ์และมีองค์ชายน้อยเป็นแน่!
ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้ หัวใจของขันทีซุนก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี!
ระยะนี้อดีตฮ่องเต้เองก็มักจะเปรยเรื่องนี้กับเขาอยู่บ่อยๆ เขาสงสัยว่าจะให้องค์ชายน้อยแต่งตัวอย่างไร และจะมอบทรัพย์สมบัติอะไรให้กับเขาในอนาคตดี
พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าอย่างไรชุดนั้นก็ต้องไม่ใช่ชุดที่ทำมาจากหนังเสืออย่างที่องค์ชายเจ็ดเคยสวมแน่นอน
องค์ชายน้อยจะต้องได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม และจะต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวังของขันทีซุน เขารู้ได้ทันทีว่าจิตใจของชายชรากำลังล่องลอยไปอยู่ที่ใด เขาเอ่ยด้วยเสียงอันราบเรียบว่า ”อดีตฮ่องเต้ว่าอย่างไรหลังจากรู้เรื่องนี้เข้า”
ขันทีซุนตอบว่า ”เขาส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนที่นิ้วนางอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”นำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบด้วยเหมือนกัน แจ้งให้ผู้อาวุโสของสี่ตระกูลใหญ่ได้รู้ด้วย อย่าพูดถึงเรื่องสืบบัลลังก์ แต่เน้นให้เห็นถึงความทะเยอทะยานขององค์ชายห้าแทน หากข้าจะฆ่าใครสักคน ข้าก็อยากให้พวกเขาได้เห็นเป็นประจักษ์พยานด้วย เข้าใจหรือไม่ ขันทีซุน”
ขันทีซุนตกใจเมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงเย็นชานั้น เขารู้ว่าเจ้านายของตนลดเสียงลงเพื่อป้องกันไม่ให้พระชายาได้ยินเรื่องนี้
เขายังรู้อีกด้วยว่าความหมายที่แท้จริงในสิ่งที่องค์ชายพูดคืออะไร
โดยปกติแล้วฮ่องเต้ไม่ควรจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แต่อย่างไรคนคนนั้น… ต้องขอประทานโทษที่ต้องเสียมารยาทเช่นนี้ แต่คนคนนั้นมัวแต่ทุ่มเวลาของตนไปกับเรื่องของยาอายุวัฒนะทั้งวัน
ฮ่องเต้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องในราชสำนักด้วยซ้ำ
แต่ฮ่องเต้นิสัยเช่นนี้นี่เองที่จะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากหากองค์ชายคนใดต้องการบัลลังก์ของเขา
ฝ่าบาทได้รับตำแหน่งรัชทายาทเพราะการแต่งตั้งจากอดีตฮ่องเต้ และเพราะฐานะของเขานี่เองที่ทำให้ฮ่องเต้พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะขัดขวางอนาคตของฝ่าบาทมาตั้งแต่เมื่อเขายังเด็ก
หากไม่ใช่เพราะพลังปราณอันไร้คู่แข่ง และการที่เขาสามารถปกครองสี่ตระกูลใหญ่ได้อย่างอยู่หมัดละก็ เขาก็คงไม่ได้มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าฮ่องเต้รู้เรื่องนี้เข้า มันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป…
อย่างไรกลยุทธ์ที่ฝ่าบาทใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้นก็ล้วนแต่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นยิ่งนัก
“ต่อไปอย่าให้พระชายารู้เรื่องนี้อีก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
ขันทีซุนเข้าใจดีว่าพระชายาไม่ควรได้อ่านจดหมายฉบับที่ว่านี้ ฝ่าบาทมอบหมายหน้าที่ให้เขาดูแลนางก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
โชคดีที่พระชายาเป็นคนมีความคิดกว้างไกล หากเป็นผู้หญิงคนอื่น สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะสร้างความเข้าใจผิดให้กับพวกนางแล้วก็เป็นได้
ขันทีซุนคิดถึงเรื่องนี้ และรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหงื่อซึมชื้นขึ้นมาบนหน้าผากของเขาอย่างรุนแรง เขาตอบเสียงเบาว่า ”พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทวางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะว่ามันจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน!”
“ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า คนพวกนั้นต่างหากที่เจ้าเล่ห์เกินไป” ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้น แต่ในดวงตาของเขากลับไม่มีรอยยิ้มอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เขายืนแฝงกายอยู่ใต้เงามืดข้างหน้าต่างไม้บานหนึ่ง เสื้อที่สวมอยู่แหวกออกเล็กน้อย ดูมืดมนและชั่วร้ายราวกับยามตะวันโพล้เพล้ เขาก้มหน้าลงดื่มชาที่ถืออยู่ในมือเข้าไปอึกหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”พวกมันรนหาที่ตายเอง…”
ความเงียบงันอันผิดธรรมชาติปกคลุมไปทั่ววังหลวง
มันเงียบกริบจนน่าขนลุก
ดังนั้นองค์ชายห้าจึงอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
แม้กระทั่งอวิ๋นปี้ลั่วก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปได้หรือเปล่าว่าจดหมายยังส่งไปไม่ถึง
หากเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เป็นคนรับจดหมายนั้นด้วยตัวเอง ทุกอย่างย่อมไร้ความหมาย
“แม่นางอวิ๋น ทีนี้พวกเราควรทำเช่นใดกันดี” องค์ชายห้ายังเด็ก จึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
อวิ๋นปี้ลั่วฉลาดพอที่จะให้เขารออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”เราสามารถถามคนที่อยู่รอบนางได้เพคะว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับจดหมายแล้วหรือยัง”
เรื่องนี้นับว่าทำได้ง่ายมากทีเดียว เพราะคนในวังหลวงล้วนแต่เป็นคนมีไหวพริบดี พวกนางสามารถหาเบาะแสเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องถามตรงๆ ด้วยซ้ำ
ขันทีที่มีหน้าที่รับใช้องค์ชายห้าถลาเข้ามา แล้วคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกับรายงานว่า ”ฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งทราบว่าพระชายาสามได้รับจดหมายแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นจะต้องถูกหว่านลงในใจของนางแล้วอย่างแน่นอน…”