“ดีมาก!” องค์ชายห้าเอ่ยเสียงดัง ความตื่นเต้นฉายขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนวัยของเขาอย่างไม่อาจปิดบัง
อวิ๋นปี้ลั่วหัวเราะออกมาเช่นกัน จากนั้นนางจึงเอ่ยเบาๆ ว่า ”อย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่มีความลับใดที่มิอาจเปิดเผย หัวใจผู้หญิงยากจะคาดเดา พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจุดชนวนความวุ่นวายขึ้นลับหลังองค์ชายอีกต่อไป แต่เพียงรอให้เฮ่อเหลียนเวยเวยโวยวายขึ้นมาเองก็พอแล้วเพคะ…”
“แม่นางอวิ๋นพูดถูก” องค์ชายห้าเหยียดยิ้ม แล้วเอ่ยต่อ ”หากไม่ใช่เพราะนาง ท่านแม่ของข้าก็คงไม่ถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่ตำหนักเย็น นางเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล แต่กลับหาญกล้าทำตัวเยี่ยงทรราชอยู่ในวังหลวงของเราทั้งที่เคยก่อกรรมทำชั่วเช่นนั้นมาก่อนได้อย่างไร หึ น่าขันสิ้นดี! ต่อให้เสด็จปู่จะเอ็นดูนางหรือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงใด แต่ฮ่องเต้จะต้องเข้าข้างข้าอย่างแน่นอน…”
แต่เรื่องที่องค์ชายห้าเคียดแค้นฝังใจนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว
ตราบใดที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่ตาย เสี้ยนหนามในใจของฮ่องเต้ย่อมยังอยู่
เพราะบุตรชายของเขามีชื่อเสียงบารมีมากกว่าเขานั่นเอง
บอกตามตรงว่าถ้าไม่ใช่เพราะความฉลาดหลักแหลม และวิธีการอันโหดร้ายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วละก็ ป่านนี้ฮ่องเต้อาจจะกำจัดเขาไปนานแล้วด้วยซ้ำ
แต่เบื้องหน้าของเขาก็มีสี่ตระกูลใหญ่ขวางทางอยู่
บรรดาผู้คนในราชวงศ์ต่างอับจนปัญญากับสถานการณ์ขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในนี้
แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงโปรดปรานองค์ชายห้า
มิฉะนั้นพวกเขาก็คงอธิบายไม่ได้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงไม่ลงโทษองค์ชายห้าหลังจากเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นนั้น แม้มู่หรงฮองเฮาจะต้องการโค่นบัลลังก์เขาจริง แต่ตราบใดที่องค์ชายห้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำนั้น ฮ่องเต้ย่อมไม่ทำร้ายบุตรชายสุดที่รักของเขาอย่างแน่นอน
องค์ชายห้าเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงกล้าส่งคนของตัวเองไปอยู่ข้างอดีตฮ่องเต้ได้อย่างไม่เกรงกลัว
ต่อให้วันหนึ่งมีอะไรเกิดขึ้น แต่ฮ่องเต้ก็จะยังเข้าข้างเขาและปกป้องเขา
แต่เขาคงนึกไม่ถึงว่าในเวลานี้ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องปรุงโอสถกลับคิดที่จะกำจัดเขาอยู่!
ฮ่องเต้โยนจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะไม้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยความโกรธทันทีที่เขาได้รู้สถานการณ์ปัจจุบันขององค์ชายห้า เขารู้ทุกการเคลื่อนไหวของอดีตฮ่องเต้ดีเหมือนอย่างที่เขารู้จักหลังมือตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับบุตรชายของตน… องค์ชายห้าทำตัวล้ำเส้นเกินไปเสียแล้ว
ทันทีที่ฮ่องเต้ฟังจบ ถ้วยชาที่อยู่ในมือของข้าก็แตกเป็นเสี่ยงเพราะมือที่กำเข้าหากัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างเขากลับยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เขาหมุนถ้วยชาในมือเบาๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนั้นแต่อย่างใด
ฮ่องเต้รู้ว่าเขาติดค้างคำอธิบายกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ ในอดีตนั้นเมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เขามักจะแสร้งทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ในขณะที่แอบปกป้ององค์ชายห้าอยู่เสมอ
แต่เวลานี้ฮ่องเต้ไม่คิดจะแก้ตัวให้ใครอีก เขากลับรู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงดูลูกหมาป่าเอาไว้!
จากสิ่งที่อีกฝ่ายบอก องค์ชายห้ากล้าจดบันทึกคำพูดทุกคำที่อดีตฮ่องเต้เอ่ยเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาก็คงกล้าทำเช่นนั้นกับเขาด้วยเช่นกัน
การกระทำนั้นย่อมเป็นภัยคุกคามต่อบัลลังก์ของเขาอย่างแน่นอน!
“เรียกตัวองค์ชายห้ามาที่นี่!”
ข้ารับใช้ทุกคนในวังหลวงถึงกับตัวสั่นทันทีที่ถ้วยชาถ้วยนั้นหลุดจากมือของฮ่องเต้
ทุกคนคิดกับตัวเองเงียบๆ และตระหนักได้ว่าครั้งนี้คงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นภายในวังหลวงแน่ แต่โชคดีที่พวกเขาเลือกยืนอยู่ถูกข้าง การติดตามรับใช้ฮ่องเต้นั้นอันตรายไม่ต่างจากการติดตามรับใช้เสือตัวหนึ่ง
ตอนเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ยังไม่มีใครกล้าคิดเลยว่าตระกูลมู่หรงอันเป็นที่โปรดปรานจะถึงการล่มสลายเช่นนี้
ไม่ใช่แค่ฮองเฮาที่ถูกเนรเทศไปยังตำหนักเย็น แต่ดูเหมือนองค์ชายห้าเองก็ยังพลอยติดร่างแหไปด้วย…
แต่ถ้าหากองค์ชายสามไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว เรื่องเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ดังนั้นผู้ที่เข้าใจความจริงข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาขันที หรือเหล่าเสนาบดีที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าควรจะเข้าข้างฝ่ายใดจึงเริ่มมีความคิดหนึ่งก่อตัวขึ้นในใจ
องค์ชายสามคือผู้ที่จะได้เป็นฮ่องเต้ของจักรวรรดิจ้านหลงในอนาคตอย่างแน่นอน ต่อให้เขาไม่ได้เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ แต่อนาคตนั้นก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!
ในเวลาเดียวกันนั้น องค์ชายห้ายังคงคิดแผนการอยู่ในตำหนักของตนโดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะมีหายนะมาเยือน เขากำลังคิดจะไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วใช้จดหมายฉบับนั้นสร้างความขัดแย้งระหว่างนางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
องค์ชายห้าเพิ่งจะคิดแผนการเสร็จและเตรียมตัวมุ่งหน้าออกไป แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้รับแจ้งว่าฮ่องเต้เรียกตัวเขาเข้าพบ
เขาไม่ได้คิดจริงจังกับเรื่องนั้นนัก แทนที่จะเป็นอย่างนั้นเขากลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นยังถึงกับแสดงความมีน้ำใจให้กับขันทีที่มาส่งข่าวด้วยเสียอีก เขากล่าวว่า ”ก็แค่การเรียกเข้าเฝ้าธรรมดา แต่ฮ่องเต้ถึงกับต้องรบกวนให้ขันทีหลี่มาที่นี่ด้วยตัวเองเชียวหรือ ใครก็ได้ มาตบรางวัลให้เขาเสีย!”
“ฮ่าๆ ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหลี่พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้อย่างยากลำบาก พร้อมกับพูดว่า ”องค์ชายห้ารีบเตรียมตัว และตามกระหม่อมไปพบฮ่องเต้ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้าที่กำลังคิดแต่เรื่องน่ายินดีอยู่ในใจ เขาไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของขันทีหลี่เลยแม้แต่น้อย เขาหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน แล้วตอบว่า ”ก็ได้ ข้าจะตามขันทีหลี่ไปก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยตบรางวัลให้เจ้าก็แล้วกัน”
ท่านแม่สอนเขามาตั้งแต่เด็กว่าเขาจะต้องตบรางวัลอย่างงามให้กับคนที่มีประโยชน์ต่อเขา
ที่เขาสามารถสอดแนมฝั่งของอดีตฮ่องเต้ได้ก็เป็นเพราะเขาทุ่มเงินไปจำนวนมากเช่นกัน
ขันทีหลี่คนนี้ก็ได้เงินเข้ากระเป๋าจากเขาไปไม่น้อยด้วยการนำเรื่องของฮ่องเต้มาแบ่งปันให้เขารู้
องค์ชายห้าเดาว่าที่ฮ่องเต้เรียกตัวเขาไปครั้งนี้ก็เพื่อคุยอะไรกับเขาเหมือนอย่างเคย
แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติทันทีที่เขาเข้ามาในตำหนักเฉียนชิง
สิ่งแรกที่เขาเห็นตอนเงยหน้าขึ้นคือสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ปราศจากซึ่งความอบอุ่น
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นเยียบไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ก่อนที่เขาจะทันได้ถามว่าทำไมพี่สามที่เขาเกลียดชังและหวาดกลัวเป็นที่สุดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ฮ่องเต้ก็โบกมือเป็นสัญญาณบอกให้ขันทีหลี่ออกไปก่อน
องค์ชายห้ารู้สึกสับสน เขายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นหลังจากทำความเคารพทั้งสองเสร็จ และไม่ได้ยินว่าฮ่องเต้อนุญาตให้เขาลุกขึ้นยืนได้แล้ว
ทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบอันน่าอึดอัด
ฮ่องเต้จิบชา ดวงตาของเขาปกคลุมไปด้วยความมืดอันยากจะเอ่ยเป็นคำพูดได้ เขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับมองไปที่องค์ชายห้า แล้วถามว่า ”ทำไมเจ้าถึงเอาแต่มองหาขันทีหลี่ล่ะ”
องค์ชายห้ารู้ว่านี่ไม่ใช่คำถามธรรมดา บรรดาผู้คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงมักจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง โดยเฉพาะผู้เป็นบิดาของเขา เขาตอบว่า ”ลูกเพียงแค่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ” ฮ่องเต้เยาะเย้ยพลางหยิบจดหมายที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อแขนยาวของตัวเองออกมา แล้วปามันใส่หน้าขององค์ชายห้า จากนั้นเขาจึงคำรามว่า ”ถ้าเจ้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วของสิ่งนี้มันมาจากที่ไหน กระดาษเซวียนชนิดนี้มีเจ้าใช้อยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น!”
สีหน้าขององค์ชายห้าซีดเผือดในทันทีที่เขาเห็นจดหมายนั้น เขาพยายามแก้ตัวอย่างรวดเร็วว่า ”เสด็จพ่อ ข้าใช้กระดาษเซวียนเช่นนี้ก็จริง แต่ข้าก็ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ใช้มันนะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายพระองค์อื่นก็มีมันอยู่กับตัวเช่นกัน เสด็จพ่อ ท่านต้องตัดสินเรื่องนี้ให้ข้าด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ตัดสินเรื่องนี้ให้เจ้าหรือ” ฮ่องเต้หัวเราะเย็นชาแล้วพูดต่อ ”เจ้ายังมีหน้ามากล้าบอกให้ข้าช่วยตัดสินเรื่องนี้ให้เจ้าอีกหรือ! จดหมายฉบับนี้เพิ่งถูกส่งไปถึงพี่สามของเจ้า ที่ด้านหลังขันทีที่อยู่ใต้อาณัติของเจ้าก็เดินอยู่รอบอุทยาน เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ เจ้าคิดว่าต่อให้เจ้าลงมือทางอ้อมแล้วข้าจะไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหรือ! มิหนำซ้ำเจ้ายังกล้าพูดคำว่า ’องค์ชายพระองค์อื่น’ ออกมาจากปากอันน่าสมเพชนั่นอีก พี่สี่ของเจ้ายังไม่ทันกลับมาจากหลังกำแพงเมือง ดังนั้นนอกจากเจ้าแล้วคนเดียวที่เหลืออยู่ก็มีแค่องค์ชายเจ็ดตัวน้อย เขาเพิ่งจะอายุสี่ขวบเท่านั้น! เจ้าคิดว่าเด็กอายุสี่ขวบจะแอบฟังบทสนทนาระหว่างอดีตฮ่องเต้กับพี่สามของเจ้าหรือ!”