เฉินตันจูเดินไปเดินมาอยู่ในห้องขัง ก่อนหน้านี้นางตะโกนเรียกองค์รัชทายาทหลายครั้ง องค์รัชทายาทไม่ตอบโต้ ไม่รู้ว่าถูกขังไว้ที่ใด นางลองเรียกให้คนเปิดประตูให้นาง หรืออยากพบท่านอ๋องฉียังคงไม่มีผู้ใดสนใจ
ฮ่องเต้คงฟื้นแล้ว มิฉะนั้นแค่ฉู่ซิวหยง องค์รัชทายาทไม่มีทางถูกขังเข้าสำนักราชทัณฑ์ ถึงแม้การหมดสติหรือการฟื้นของฮ่องเต้จะอยู่ในการควบคุมของฉู่ซิวหยง
ฉู่ซิวหยงย่อมมีหลักฐานที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงแค้นจนขังองค์รัชทายาทเข้าสำนักราชทัณฑ์
แต่ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้ว นางและฉู่อวี๋หยงย่อมถูกปล่อยออกมาได้แล้วหรือไม่ องค์หญิงจินเหยาจะกลับมาได้แล้วหรือไม่
ก็ยังไม่แน่นอน
องค์รัชทายาทถูกขังเอาไว้ แต่เรื่องไม่มีทางจบสิ้นลง ความดีใจที่เฉินตันจูเห็นองค์รัชทายาทถูกจับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือความกังวล ต่อจากนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้นยิ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้
องค์รัชทายาทถูกขังเข้าสำนักราชทัณฑ์เป็นวันที่สอง ฮ่องเต้ก็ขึ้นว่าราชการแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามไม่อยู่ เขานั่งเกี้ยวมาถึงตำหนักใหญ่ ก่อนจะถูกขันทีจิ้นจงและฉู่ซิวหยงพยุงเดินขึ้นบัลลังก์มังกรไป
เมื่อเห็นฉากนี้ บรรดาขุนนางที่ได้ยินข่าวเมื่อวานแล้วยังไม่เชื่อนั้นตื่นเต้นจนกล่าวทรงพระเจริญ อารมณ์ของฮ่องเต้ก็ซับซ้อนอย่างมาก เมื่อนั่งฟังการถวายบังคมที่เสียงดังกึกก้องอยู่บนบัลลังก์มังกร เขารับสั่งให้บรรดาขุนนางลุกขึ้น หลังจากนั้นชั่วครู่ก็ให้ขันทีจิ้นจงประกาศพระราชโองการปลดองค์รัชทายาท
ฟังความผิดขององค์รัชทายาทในพระราชโองการ ทั้งโง่เขลาไร้ประโยชน์ ทั้งรุนแรงวิปลาส ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก แผ่นดินไม่อาจวางใจมอบหมายให้คนผู้นี้ดูแลได้ ดังนั้นจึงปลดบรรดาศักดิ์…เนื้อหานี้เขียนขึ้นโดยขุนนางสำคัญหลายท่าน ข่าวนี้ถูกแพร่กระจายออกไปไม่มากก็น้อย ภายในใจของบรรดาขุนนางล้วนมีการเตรียมพร้อม สีหน้าของพวกเขาแตกต่างกันไป
ประกาศปลดองค์รัชทายาทจบสิ้น ฮ่องเต้ให้วัดต้าหงหลูส่งทูตคนใหม่
“ไปบอกท่านอ๋องซีเหลียง ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงสถาปนาเหล่าท่านอ๋อง ข้าได้เลือกพระชายาให้เหล่าท่านอ๋องแล้ว ในเวลาเดียวกันข้าได้เลือกพระราชบุตรเขยให้องค์หญิงจินเหยาแล้ว…” ฮ่องเต้พูด
ขุนนางจากวัดต้าหงหลูพลางจดพลางถาม “พระราชบุตรเขยคือ”
ฮ่องเต้โบกมืออย่างรำคาญ “ข้าบอกว่าเลือกแล้วก็คือเลือกแล้ว เรื่องนี้ไม่สำคัญ บอกเขาเช่นนี้ก็พอแล้ว…บอกว่าข้าเจรจากับอีกฝ่ายแล้ว เพียงแค่ประชวรอย่างกะทันหันจึงไม่ได้ประกาศ แต่ข้าไม่อาจกลับคำได้” เขาเงยหน้ามองมา “เวลานี้ ข้าหายดีแล้ว…”
นอนเป็นเวลานาน ฮ่องเต้ผอมลงอย่างมาก ดวงตาของเขาก็ยุบลงไปเล็กน้อย สายตาของเขาดูเร้นลับ ทำให้คนไม่กล้าสบตาโดยตรง ขุนนางจากวัดต้าหงหลูก้มหน้าตอบรับ
ข้าหายดีแล้ว ประโยคนี้เป็นการข่มขู่ท่านอ๋องซีเหลียง
“หากท่านอ๋องซีเหลียงยินยอมปรองดองกับต้าเซี่ย ก็ขอให้เขาเลือกองค์หญิงมาอภิเษกกับองค์ชายห้าของข้า” ฮ่องเต้พูดต่อ
บรรดาขุนนางจากวัดต้าหงหลูตอบรับอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็แอบคิดในใจ นี่คือฝ่าบาท บารมีที่แตกต่างจากองค์รัชทายาทอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพูดเรื่องนี้จบ ขันทีจิ้นจงก็เกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้จบการประชุม บรรดาขุนนางต่างก็ขอให้ฮ่องเต้ทรงรักษาพระวรกาย
ฮ่องเต้ไม่พูดสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้า
บรรดาขุนนางน้อมส่งฮ่องเต้ ฮ่องเต้นั่งขึ้นเกี้ยวไปทางวังหลัง โจวเสวียนวิ่งตามมา
“ฝ่าบาท” เขาตะโกนด้วยความตื่นเต้น “พระองค์ทรงฟื้นแล้ว”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา “เจ้ายังเป็นห่วงข้าหรือ ข้าป่วยนานเพียงนี้ เจ้ามาเยี่ยมเพียงไม่กี่ครั้ง”
โจวเสวียนพูดด้วยความน้อยใจ “กระหม่อมเป็นขุนนาง ฝ่าบาทประชวร สิ่งที่กระหม่อมต้องทำคือเฝ้ารักษาเมืองหลวง ระยะนี้กระหม่อมไม่กล้าแม้จะละเลย เวลานี้ฝ่าบาททรงหายดีแล้ว ในที่สุดกระหม่อมก็สามารถร้องไห้ต่อหน้าพระองค์ได้อย่างสบายใจแล้ว…” พูดพลางทำท่าจะเช็ดน้ำตา
ฮ่องเต้หัวเราะ “เอาเถิด ข้ารู้แล้ว หูไต้ฟูเจ้าเป็นคนหามา” แต่ก็เหลือบมองเขาอีกครั้ง “นอกจากเฝ้ารักษาเมืองหลวงให้ข้าแล้ว เจ้าก็ยังเฝ้ารักษาให้จิ่นหยงใช่หรือไม่…ทูตซีเหลียงกำเริบปานนั้น เจ้าได้แต่ทนดูจินเหยาจากไปอย่างนั้นหรือ”
ประโยคนี้กำลังบอกว่าเขาสนิทกับองค์รัชทายาท โจวเสวียนน้อยใจอีกครั้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมเสนอให้ประหารทูตซีเหลียงเสีย แต่องค์รัชทายาทไม่อนุญาต…พี่จิ่นหยงเป็นองค์รัชทายาทในเวลานั้น พระองค์ก็กำลังประชวร กระหม่อมได้แต่เชื่อฟังเขา”
ฮ่องเต้มองตำหนักด้านหน้า พูดด้วยเสียงเรียบ “เจ้าช่างเป็นขุนนางที่แท้จริง”
โจวเสวียนเหมือนต้องการพูดบางสิ่ง ฮ่องเต้ก็หันหน้ามามองเขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะพระราชทานจินเหยาให้เจ้า เจ้าอภิเษกกับนาง ไม่ให้องค์หญิงของข้าต้องพเนจรไปยังซีเหลียง”
โจวเสวียนตกใจ “ฝ่าบาท กระหม่อมเคยทูลว่าไม่อยาก…”
ฮ่องเต้พูดขัดเขา “ในเมื่อเจ้าเป็นขุนนางก็ไม่อาจขัดขืนพระราชโองการของฮ่องเต้ ก่อนหน้านี้เจ้าก็บอกไม่ใช่หรือ เจ้าอยากจะฆ่าทูตซีเหลียง แต่องค์รัชทายาทไม่อนุญาต เจ้าจึงไม่ฆ่า อย่างไรข้าให้เจ้าอภิเษกกับองค์หญิง เจ้าจะขัดขืน”
“ฝ่าบาท ทูตซีเหลียงเกี่ยวข้องกับเรื่องของบ้านเมือง อภิเษกเป็นเรื่องส่วนตัวของกระหม่อม…” โจวเสวียนพูดอย่างรีบร้อน
ฮ่องเต้พูดขัดเขาอีกครั้ง “เวลานี้เรื่องอภิเษกของจินเหยาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ยังเป็นเรื่องบ้านเมือง หากจินเหยาไม่อภิเษก ทางท่านอ๋องซีเหลียงย่อมมีข้ออ้างกลั่นแกล้งต้าเซี่ย”
โจวเสวียนใบหน้าแดงก่ำ “กระหม่อมยอมรบกับท่านอ๋องซีเหลียง”
ฮ่องเต้พูดเสียงเรียบ “ข้าไม่ยอม”
เหตุใดฮ่องเต้จึงกลายเป็นเช่นนี้…โจวเสวียนกำมือแน่น “ใจของกระหม่อมมีเจ้าของ…”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจ “เฉินตันจูหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเฉินตันจู แต่เวลานี้นางยังเป็นนักโทษของราชสำนัก เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นขุนนาง ไม่ได้จะแย่งชิงภรรยาขององค์ชายก็จะสมรสกับนักโทษ นี่คือหนทางแห่งการเป็นขุนนางของเจ้าหรือ”
โจวเสวียนรีบจับเกี้ยวเอาไว้ “ฝ่าบาท พูดถึงเฉินตันจู คุณหนูตันจูนางถูกใส่ร้าย พระองค์ทรงปล่อยนางเถิด…”
ฮ่องเต้ตวาด “อย่างไร ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา เจ้าจำได้แค่เรื่องนี้หรือ ยังบอกว่าเป็นห่วงข้า! เจ้าเป็นห่วงแค่ช่วยเฉินตันจูหลุดพ้นจากความผิด แม้ว่าข้าจะตายทันที เพียงแค่ทำเรื่องนี้ก่อนตาย เจ้าก็จะพอใจ!”
คำพูดนี้หนักหนาสาหัสเกินไป โจวเสวียนคุกเข่าลงทันที “กระหม่อมไม่กล้า กระหม่อมไม่ได้คิดเช่นนั้น”
“อาเสวียน” ฉู่ซิวหยงพูดขึ้นที่ด้านข้าง “เวลานี้เสด็จพ่อเพิ่งทรงหายดี เจ้าอย่าทำให้พระองค์โกรธ รีบถอยไปเถิด”
ฮ่องเต้พูดเสียงเรียบ “พวกเจ้าถอยไปเถิด”
นอกจากฉู่ซิวหยง ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลูล้วนติดตามฮ่องเต้กลับวังหลัง ได้ยินคำพูดนี้จึงทำตัวไม่ถูก
“ฝ่าบาท พระองค์เพิ่งทรงหายดี ให้พวกเราปรนนิบัติอยู่ข้างกายเถิด” พวกเขารีบพูด
“ไม่ต้อง” ฮ่องเต้โบกมือ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ในวังมานานแล้ว กลับจวนของตนเองไปพักผ่อนเถิด ให้ข้าได้พักผ่อนด้วย”
ทุกคนเหมือนต้องการพูดต่อ แต่ขันทีจิ้นจงเกลี้ยกล่อม “ท่านอ๋อง ปล่อยให้ฝ่าบาททรงอยู่คนเดียวเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาททำเรื่องแบบนี้ ฮ่องเต้ต้องทรงเสียใจอย่างมาก จึงไม่อยากเห็นบุตรชายเหล่านี้ไปด้วย ทุกคนต่างตอบรับ ยืนน้อมส่งเกี้ยวของฮ่องเต้จากไปอยู่ที่เดิม
…
หลังจากประกาศพระราชโองการปลดองค์รัชทายาทแล้ว องค์รัชทายาทก็กลายเป็นสามัญชน เขาถูกคุมตัวออกจากพระราชวังพร้อมพระชายา และถูกขังไว้ในจวนแห่งหนึ่งในเมืองใหม่
ก่อนที่องค์รัชทายาทจะถูกคุมตัวมา พระชายาและคนอื่นต่างถูกกักขังไว้ก่อนแล้ว ภายในจวนเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ พระชายาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง จู่ๆ จากพระชายาผู้สูงส่งตกลงมาเป็นสามัญชน
องค์รัชทายาทเข้ามาในจวนด้วยสภาพที่ผมเผ้าแผ่สยาย ฝูไฉถูกประหารไปแล้วฝูชิงโชคดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ เขาเดินหน้ามาต้อนรับ
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ทั่วทั้งจวน สีหน้าขององค์รัชทายาทเรียบเฉย
“พระราชโองการว่าอย่างไร” เขาเปิดปากถามขึ้นประโยคแรก
ฝูชิงเล่าเนื้อหาในพระราชโองการทั้งน้ำตาอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท เหตุใดพระองค์จึงยอมรับ พระองค์ทรงอ้อนวอนฝ่าบาท ทรงหาเหตุผลใดมายอมรับผิดก็คงจะไม่เป็นอันใดแล้ว เวลานี้จะทำอย่างไร…”
ฝูชิงร้องไห้เพื่อองค์รัชทายาทและตัวเอง แต่เขากลับเห็นองค์รัชทายาทหัวเราะออกมา
“ไม่เลว ไม่เลว” เขาหัวเราะร่า พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินไปทางด้านในกับผมที่กระเจิดกระเจิง
ไม่เลวอีกหรือ ฝูชิงผงะไป องค์รัชทายาทไม่ได้เสียสติใช่หรือไม่
ข่าวการปลดองค์รัชทายาทกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว บรรดาราษฎรต่างตกตะลึง แต่พวกเขาก็ฉลาดเกินกว่าผู้ใด
ถึงแม้ในพระราชโองการไม่ได้เอ่ยว่าองค์รัชทายาททำผิดเรื่องใด แต่เมื่อนึกถึงอาการประชวรของฮ่องเต้ที่ดีขึ้นอย่างกะทันหัน พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าองค์รัชทายาทพยายามปองร้ายฮ่องเต้
โรงน้ำชาบริเวณเชิงเขาดอกท้อมีคนมารวมกลุ่มกันมากขึ้น หญิงชราจำเป็นต้องจ้างคนเพิ่มอีกหนึ่งคน
“หากพูดเหลวไหลกันต่อไป ทางสำนักราชการต้องมารื้อถอนโรงน้ำชาแน่” เฟิงหลินยืนมองอยู่บนต้นไม้ ก่อนจะกระโดดลงมาพูดกับฉู่อวี๋หยงที่นั่งอยู่บนก้อนหิน
ฉู่อวี๋หยงดึงต้นหญ้าหลายต้นมาประลองหญ้ากับตนเอง เขาพูดอย่างใจลอย “เวลานี้ฝ่าบาททรงไม่มีกำลังสนใจเรื่องนี้”
ไม่มีกำลังสนใจหรือ ฮ่องเต้ทรงหายดีแล้ว องค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว เรื่องนี้ถือว่าจบสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ จะว่าไป…เฟิงหลินรีบพูด “องค์ชาย พระองค์ควรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “เสือสองตัวยังปะทะกันไม่จบสิ้น ยังไม่ถึงเวลา”
เฟิงหลินผงะไป ยังปะทะกันไม่จบสิ้น องค์รัชทายาทถูกปลดแล้วไม่ใช่หรือ มีผลแพ้ชนะอย่างชัดเจนกับท่านอ๋องฉีแล้ว
ฉู่อวี๋หยงถือต้นหญ้าสองต้นเกี่ยวพันกัน ก่อนจะออกแรงเล็กน้อย ต้นหญ้าสองต้นหักเป็นสี่ท่อน
“องค์รัชทายาทหรือ เขาเป็นเสืออันใดกัน เขาเป็นได้แค่เหยื่อล่อเท่านั้น” เขาพูดพลันปล่อยมือออก มองดูต้นหญ้าที่หักหล่นลงพื้นไป