สวีลิ่งอี๋มองดูท่านป้าสองสามคนที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าตัวเอง เขายกยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก็ให้หู่พั่วไปเรียกหมอหลวงเข้ามา
“…ต้องใช้ยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่านี้เท่านั้นขอรับ” หมอหลวงพูดเสียงเบา “แต่ถึงตอนนั้น เด็กในท้องอาจจะ…ฮูหยินเกรงว่าจะมีอันตรายต่อเด็กขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา เขามองไปที่หมอตำแยด้วยสายตาที่เคร่งขรึม
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่มีวิธีอื่นแล้ว!” เขาบอกหู่พั่ว “ไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา บอกให้เขาพาหญิงสามคนนั้นที่มาจากพระราชวังส่งกลับไป บอกว่าจวนหย่งผิงโหวไม่ต้องการ”
พวกนางมาที่จวนสกุลสวีตามคำสั่งของฮองเฮา คำว่า ‘ไม่ต้องการ’ บรรดาขุนนางในพระราชวังได้ยินเช่นนี้มันไม่แตกต่างอะไรจาก ‘เย่อหยิ่งไม่เชื่อฟัง’ หากท่านโหวน้องชายของฮองเฮาพูดเช่นนี้ มันจะเกิดผลอะไรตามมา ไม่ต้องพูดพวกนางก็รู้ ถึงแม้ว่าฮองเฮาไม่ว่าอะไร แต่ก็ต้องมีคนที่อยากจะประจบประแจงจวนหย่งผิงโหว เอาความเรื่องนี้แทนหย่งผิงโหว!
สตรีทั้งสามคนตัวสั่นระริก
ถึงแม้ว่าประโยคนั้นจะพูดให้หมอตำแยสองสามคนนั้นฟัง แต่มันก็คือการพูดให้พวกเขาฟังเช่นกัน!
หมอหลวงทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
แทนที่จะรอให้ถึงตอนนั้น ไม่สู้หาวิธีสู้ดีกว่า
หมอหลวงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ท่านโหว มี…มีวิธีอื่นอีกขอรับ!”
หากเป็นวิธีการที่ไม่มีความเสี่ยง หมอตำแยก็คงจะทำไปนานแล้ว เหตุใดถึงต้องมาพูดตอนนี้?
สวีลิ่งอี๋สีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์
หมอหลวงคนนั้นพูดต่อไปว่า “เราให้หมอตำแยช่วยนวดให้ฮูหยิน ช่วยให้เด็กคลอดเร็วขึ้นขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋มองไปยังหมอตำแย
สีหน้าของพวกนางต่างก็เป็นกังวล
เขามองไปที่ป้าวั่น
สีหน้าของป้าวั่นซีดขาว นางกำมือแน่นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลเช่นกัน
เช่นนั้นก็หมายความว่า ป้าวั่นก็รู้วิธีนี้เหมือนกัน!
สวีลิ่งอี๋มองไปที่หมอหลวงคนนั้นอีกครั้ง
หมอหลวงทั้งสองคนคุกเข่าลงบนพื้น
“ท่านโหวขอรับ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะอันตราย แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครเคยทำขอรับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ตอนที่ซุนกุ้ยเฟยคลอดองค์ชายหก ก็เคยใช้วิธีนี้”
หมอหญิงเผิงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางรีบผลักหมอตำแยที่อยู่ข้างๆ แล้วเตือนนางเบาๆ “ถึงตอนนั้น พวกเจ้าต้องเป็นคนทำคลอด”
หมอตำแยคนนั้นรีบพูดด้วยตัวที่สั่นเทา “ท่านโหวเจ้าคะ วิธีนี้อันตรายเกินไป ต้องใช้ตอนที่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเท่านั้น เพราะว่าเด็กที่ถูกนวดออกมามักจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” สืออีเหนียงได้ยินชัดเจน แค่คิดก็เจ็บปวดหัวใจแล้ว นางรีบพูดปฏิเสธ “ใช้วิธีนี้ไม่ได้!”
นางต้องเบ่งลูกออกมาเองเท่านั้น
สวีลิ่งอี๋หันหน้ามา มองดูภรรยาที่กำลังหลั่งน้ำตา
ดวงตาราวกับสายน้ำในธารน้ำเต็มไปด้วยความกังวล นางคือคนที่ทำให้จิตใจของเขาสดใส
หางตาของเขาเหลือบมองไปที่ท้องของสืออีเหนียง
เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการสัมผัสของตน เล่นกับตนอย่างสนุกสนาน เขาคือเลือดเนื้อเชื้อไขของตน…
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ปรากฎความเจ็บปวด “ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่”
หมอตำแยได้ยินความลังเลในน้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋
ตอนนี้ หากไม่ทำอะไรเลย ต้องตายแน่นอน แต่หากทำตามความต้องการของท่านโหว บางทีอาจจะมีชีวิตรอดก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กคือเรื่องสำคัญ! แม้แต่ในพระราชวังก็ต้องเลือกเช่นนี้!
นางตัดสินใจแล้วพูดเสียงเบา “ยัง ยังมีอีกวิธีหนึ่งเจ้าค่ะ!”
สายตาของสวีลิ่งอี๋เป็นประกาย
“ใช้กรรไกรตัด…” หมอตำแยพูดเสียงเบาราวกระซิบ “แต่ว่าฮูหยิน…”
สวีลิ่งอี๋เข้าใจในทันที
แม่และลูก ต้องเลือกแค่คนเดียว!
สืออีเหนียงก็เข้าใจ
นางรู้สึกปวดใจ
คิดไม่ถึงว่าชาตินี้ตัวเองจะตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้
สืออีเหนียงแค่นเสียงหัวเราะเยาะตัวเอง จับท้องของตัวเองอย่างเบามือ
ลูกที่ไม่มีแม่ คงจะต้องมีชีวิตที่ลำบาก ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งของภายนอกมากมายแค่ไหน แต่ในใจของเขาก็คงมีความรู้สึกขาดหาย
แต่น่าเสียดายที่ตัวเองและสวีลิ่งอี๋เป็นสามีภรรยากันสั้นเกินไป หากพวกเขาเป็นสามีภรรยากันนานกว่านี้หน่อย ความทรงจำระหว่างพวกเขาก็จะลึกซึ้งกว่านี้ เห็นแก่ตนที่เคยเป็นภรรยาเขาและบุตรที่สูญเสียมารดาไปตั้งแต่เด็ก ในภายภาคหน้าถึงแม้ว่าเขาจะมีภรรยาใหม่อีกคน มีลูกเพิ่มอีก แต่เขาก็คงจะรักเด็กคนนี้ใช่หรือไม่!
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะลูบลูกในท้องเบาๆ
เด็กคนนี้เกิดมาในสกุลเช่นนี้ หากตามใจเขามากเกินไป เกรงว่าเขาคงจะมีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่หากเข้มงวดกับเขามากเกินไป เขาก็คงจะเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ถูกคนอื่นรังแก…ต้องหาคนที่พึ่งพาได้เลี้ยงดูเด็กคนนี้
ปินจวี๋และว่านต้าเสี่ยนล้วนแต่เป็นคนจงรักภักดี แต่กลับไม่ค่อยมีไหวพริบ หู่พั่วเป็นคนฉลาด แต่นางแต่งงานกับครอบครัวสกุลก่วนแล้ว และนางก็กลายเป็นคนของสกุลสวีไปแล้ว หากสวีลิ่งอี๋แต่งงานใหม่ นางอาจจะมีข้อจำกัดมากมาย ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี จู๋เซียงยังเด็ก หากตนไม่อยู่แล้ว เรื่องแต่งงานของนาง สวีลิ่งอี๋หรือสกุลหลัวต้องเป็นคนจัดการ นางทำอะไรไม่ได้ อนาคตจะเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้…คิดแล้วก็ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ
แต่ว่าหากเลือกคนที่โง่หน่อย ก็คงดีกว่าเลือกคนที่มีไหวพริบและฉลาดเกินไป สถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ใครจะรู้ว่าคนเช่นนั้นจะคิดวางแผนอย่างไร
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงป้าเถาขึ้นมา
ในตอนนั้นหยวนเหนียงก็เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกันกับตนใช่หรือไม่
สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิด ก็เห็นสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาช้าๆ
เขาค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างมั่นคง สีหน้ามีความแน่วแน่ พลอยทำให้สีหน้าของเขายิ่งดูเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจได้แล้ว
รอยยิ้มตอนที่รู้ว่านางตั้งครรภ์ของเขา ความพอใจตอนลูบท้องนางของเขา ความสุขตอนที่รู้ว่าลูกในท้องกำลังดิ้นของเขา…มันโผล่ขึ้นมาในหัวของนางราวกับขบวนรถม้า
ทำไมมนุษย์ต้องเผชิญกับการทดสอบด้วย
จะมีชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ไปตลอดไม่ได้เลยหรือ
สืออีเหนียงมองดูสวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่ข้างกายของตน นางพูดเสียงเบาว่า “ข้าต้องการลูก” ทั้งน้ำตา
สวีลิ่งอี๋มองดูภรรยาที่เมื่อครู่ยังตื่นตระหนก แต่เมื่อรู้ว่ามีวิธีอื่นที่รักษาลูกเอาไว้ได้ก็กลับมาสงบสติอารมณ์ลงแล้วร้องไห้เสียงแผ่วเบา เขาไม่ได้ตกใจกับคำพูดของนางแต่แค่เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน
เขาช่วยเช็ดน้ำตาให้สืออีเหนียง
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น “เจ้าเป็นคนมีเหตุผล… เมื่อครู่คำพูดของหมอหลวงและหมอตำแยเจ้าก็ได้ยินแล้ว…หากใช้กรรไกร เจ้าต้อง…หากช่วยเจ้านวดลูกที่อยู่ในท้อง ลูกอาจจะ…” เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยความลำบากใจ “ให้หมอตำแยช่วยนวดให้เจ้าเถิด…”
สืออีเหนียงเบิกตากว้าง
นางสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร…แต่ความคิดที่ว่า ‘เขายอมทิ้งลูกไป’ มันพัดพาทุกอย่างหมุนราวกับกระแสน้ำ ความรู้สึกทุกอย่างในใจล้วนแต่หลีกทางให้มัน
“ไม่ได้ ไม่ได้นะเจ้าคะ!” นางพูดขัดเสียงดัง “ข้าตั้งท้องเขามาตั้งสิบเดือน…เขากลับตัวได้แล้ว แล้วยังเล่นเกมกับเราได้” นางพูดพร้อมกับจับมือสวีลิ่งอี๋ “ท่านจำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ…ท่านจับทางซ้าย เขาก็จะเตะไปทางขวา ท่านจับทางขวา เขาก็จะเตะไปทางซ้าย…ท่านยังบอกว่าเขาเป็นคนร่าเริง ฉลาด แล้วยังน่ารัก…”
สวีลิ่งอี๋น้ำตาคลอ
แต่สืออีเหนียงที่พยายามโน้มน้าวใจเขากลับไม่ทันสังเกต
“ท่านโหวเจ้าคะ…” นางมองไปที่เขาด้วยสายตาที่จริงจัง หวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจ “เขาครบกำหนดแล้ว หากคลอดออกมาได้ก็มีชีวิตทันที…”
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด ทุกคนล้วนแต่รอคอยด้วยความกังวล
สวีลิ่งอี๋เอนตัวลงบนขอบเตียงอย่างอ่อนแรง ได้ยินเสียงนาฬิกาไขลานเคาะดังเก้าครั้ง
เขาลุกขึ้นช้าๆ แล้วบอกหมอตำแย “พวกเจ้าลงมือเถิด!”
พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแต่กลับนิ่งสงบ ท่าทีอกผายไหล่ผึ่ง เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางพยายามจับแขนเสื้อสวีลิ่งอี๋ “ไม่ได้นะเจ้าคะ…”
สวีลิ่งอี๋มองดูสืออีเหนียงที่ร้องไห้ราวกับสายฝนก็ไม่ปาน เขานั่งลงโอบกอดนางอีกครั้ง
“สืออีเหนียง เจ้าฟังข้า” สายตาของเขามีความเสียใจที่ปิดเอาไว้ไม่อยู่ “หากให้หมอตำแยช่วยเจ้านวดลูกในท้อง เจ้าและลูกก็จะมีโอกาสรอดทั้งสองคน…แต่หากใช้กรรไกร มันมีผลลัพธ์แค่อย่างเดียว หากใช้ยา มันยิ่งอันตราย ในเมื่อมีโอกาสรอด เราก็ต้องลอง!”
ใครจะไม่อยากรอด!
แต่เมื่อคิดดูแล้ว สวีลิ่งอี๋วิเคราะห์มีเหตุผล
แต่เหตุผลก็คือเหตุผล ส่วนความรู้สึกนั้นเป็นคนละเรื่อง
นางไม่กล้าลอง…นางรับผลทีจะเกิดขึ้นไม่ได้!
“ไม่ได้ ไม่ได้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงกอดแขนสวีลิ่งอี๋แล้วสะอื้นไห้ “ข้าทำไม่ได้…”
หู่พั่วปิดปากร้องไห้ ป้าวั่นหันหน้าหนีไปอีกทาง
สืออีเหนียงคงจะกลัวมากใช่หรือไม่!
บุรุษจะเข้ามาในห้องคลอดไม่ได้ แต่ในเมื่อตัวเองแหกกฎแล้ว กฎเกณฑ์พวกนั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋เรียกชื่อนางอย่างเคร่งขรึม
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมา
“ข้าจะอยู่กับเจ้า!” สวีลิ่งอี๋มองไปที่นาง “เราอยู่ด้วยกัน!” เขาจับมือนางแน่น “เจ้าต้องเชื่อใจข้า”
สืออีเหนียงมองเขาอย่างเหม่อลอย
“ข้าเคยเห็นเลือดมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร” สวีลิ่งอี๋ให้นางเอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง เขากอดไหล่ของนางแน่น “อาจารย์ฝ่าซ่านและอาจารย์ซั่งเฉิงล้วนแต่เคยทำนายดวงชะตาให้ข้า บอกว่าข้าคือดาวอู่ชวี พวกปีศาจเจอข้ายังต้องหลบหลีก…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและนิ่งสงบ “ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่ เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นอน!” พูดจบ เขาก็พยักหน้าให้หมอตำแยคนนั้น
หมอตำแยกัดฟัน พับแขนเสื้อแล้วเดินเข้ามา
*****
“คุณชายสี่เข้าไปในห้องคลอด!” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
“ใช่เจ้าค่ะ!” ป้าตู้พูดเบาๆ “ห้ามเขาไม่ได้เจ้าค่ะ…”
ไท่ฮูหยินนั่งไม่ติด นางถอดกำไลลูกประคำบนข้อมือมาถือเอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ไป ไปศาลบรรพชน”
ไปขอให้บรรพบุรุษปกป้องพวกเขา!
*****
หมอตำแยคนนั้นมือหนัก พึ่งจะนวดได้สองสามครั้ง สืออีเหนียงก็รู้สึกโศกเศร้า
นางจับมือหมอตำแย “ไม่ได้ ลูกข้าจะได้รับบาดเจ็บ!”
หมอตำแยมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่ลำบากใจ
สวีลิ่งอี๋ยังคงนิ่งเงียบ
หมอตำแยจึงหลบตาสืออีเหนียง แล้วก้มหน้าลงนวดท้องของนางต่อ
สืออีเหนียงตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองสวีลิ่งอี๋
กรามของเขาเกร็งแน่น ริมฝีปากเม้มแน่น จ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่เหม่อลอย ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่
สืออีเหนียงจับมือสวีลิ่งอี๋แน่น
มือของเขา ข้อต่อมือที่ชัดเจน ฝ่ามือที่กว้างและอบอุ่น แต่ตอนนี้มันกลับสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ราวกับกิ่งไม้ที่ถูกพัดด้วยสายลมของฤดูใบไม้ร่วง
“ท่านโหวเจ้าคะ!” นางร่ำไห้
สวีลิ่งอี๋ได้สติกลับมา เขากอดนางแล้วขยับหน้าตัวเองเข้าไปแนบกับหน้านาง เอ่ยปลอบใจนางอย่างอ่อนโยน “อย่าร้องไห้ ประเดี๋ยวจะไม่มีแรง! หากลูกไม่คลอดออกมา เจ้าก็จะมีอันตราย!”
ใช้กรรไกร ลูกจะคลอดออกมาอย่างไม่มีความเสี่ยงอะไร แต่ใช้วิธีนี้ ลูกอาจจะตายก่อนวัยอันควร แม่ก็อาจจะเสียชีวิตเพราะหมดแรง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวเลือกแรกคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
นางไม่เคยเข้าใจเจตนาของสวีลิ่งอี๋เท่าตอนนี้มาก่อน
นางเป็นแม่ของลูก เขาเป็นพ่อของลูก
ตัดสินใจเช่นนั้น นางเจ็บปวดเหมือนกัน แล้วเขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร
“สวีลิ่งอี๋!” นางมองเขาทั้งน้ำตา “ข้าหิวเจ้าค่ะ!”