แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง พร้อมทั้งนำความอบอุ่นมาอันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งให้กับคนที่นอนอยู่ริมฝั่ง
แต่พระอาทิตย์ห่างไกลเกินไป องค์หญิงจินเหยายังคงทำได้เพียงขดตัวเพราะความหนาวเหน็บ
ไม่รู้ว่าเสียงกระเทาะหินดังขึ้นนานเพียงใด ในที่สุดเสียงร้องด้วยความดีใจก็ดังขึ้น “จุดติดแล้ว”
สายตาของนางมองไป กองฟางในบริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกลมีควันดำลอยขโมง เปลวเพลิงถูกจุดติด ใบหน้าซีดเซียวของจางเหยาเงยขึ้นด้านหลังควัน
“องค์หญิง มีไฟแล้ว” เขาพูด
องค์หญิงจินเหยามองจางเหยานำไฟที่จุดติดกับฟืนย้ายมาข้างกายนางทีละน้อย อันที่จริงไม่ต้องยุ่งยาก นางขยับเข้าไปก็พอ…เพียงแต่นางไม่มีแรงแล้ว แม้แต่คลานยังคลานไม่ไหว ทำได้เพียงให้จางเหยาอุ้มเอาไว้
ทั้งสองคนแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน เสื้อผ้าเปียกชื้นไปทั้งตัว จางเหยากังวลว่าจะล่วงเกินนาง องค์หญิงจินเหยาครุ่นคิดพลางอยากหัวเราะ พวกเขาทั้งสองแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน นางเกาะติดอยู่บนตัวเขาตลอดทั้งทาง หากล่วงเกินคงล่วงเกินไปนานแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย
เปลวเพลิงทำให้นางอบอุ่นขึ้น นางมองไปรอบด้าน พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “มีเพียงพวกเราสองคนแล้วหรือ”
จางเหยาพยักหน้า “คงใช่ คนอื่นอาจไม่ได้กระโดดลงน้ำมา”
คนที่กระโดดลงมาก็อาจถูกกระแสน้ำพัดจนหลงออกไป…เขาทำได้เพียงปลอบตัวเอง
องค์หญิงจินเหยาสูดลมหายใจเข้า เวลานี้อย่าได้คิดเรื่องเหล่านี้เลย
“เวลานี้พวกเราถึงที่ใดแล้ว” นางถาม ถึงแม้นางจะดูแผนที่เป็นเวลานาน แต่หากเดินทางเอง นางก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดแม้แต่น้อย แม้แต่ทิศเหนือใต้ออกตกก็แยกแยะไม่ได้
จางเหยาพูด “ใกล้ถึงซีจิงแล้ว องค์หญิงทรงพักผ่อนก่อน พวกเราจะเดินทางต่อ ไม่นานก็จะพบเรือนของผู้คน”
เมื่อพบเรือนของผู้คนก็ส่งข่าวได้แล้ว
องค์หญิงจินเหยาส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ต้องพักผ่อนนาน หากิ่งไม้ให้ข้า ข้าประคองเดินไปได้”
ถึงแม้จะมีชีวิตรอดจากแม่น้ำที่เชี่ยวกราก แต่ขาของนางก็ได้รับบาดเจ็บ
จางเหยาตอบรับ พลันวิ่งไปวิ่งมา ไม่เพียงหากิ่งไม้จากในป่ามาเป็นไม้เท้าได้ อีกทั้งยังจับนกและไก่ป่าได้ด้วย เขาทำความสะอาดและย่างพวกมันอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเนื้อสุกได้ที่ องค์หญิงจินเหยาก็สามารถลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว
นางนั่งพิงก้อนหินมองจางเหยา สีหน้าซีดเซียวมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
“จางเหยา” นางพูด “เจ้าเก่งเสียจริง”
จางเหยาที่กำลังฉีกเนื้อไก่ป่าได้ยินจึงส่งเสียงสงสัย “กระหม่อมหรือ กระหม่อมเก่งอันใดกัน ไร้ชาติตระกูล ตนเองก็ไม่มีความสามารถใด…อย่าชมว่ากระหม่อมมีความรู้ หากไม่ใช่คุณหนูตันจู ความรู้ของกระหม่อมเท่ากับไม่มี”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ “เจ้ามองทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกอย่าง”
จางเหยายื่นเนื้อไก่ป่าให้นาง “ดังนั้นองค์หญิงอย่าทรงชมกระหม่อมเลย สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เรื่องของโชคชะตา”
องค์หญิงจินเหยายิ้มพลันพยักหน้า “อืม พวกเราล้วนโชคดี”
ทั้งสองคนไม่พูดอีก พวกเขาต่างตั้งใจกินอาหารเพิ่มพลังกาย เมื่อเสื้อผ้าก็กึ่งแห้งภายใต้แสงอาทิตย์และเปลวเพลิง พวกเขาก็รีบออกเดินทางองค์หญิงจินเหยากำลังจะพยุงกิ่งไม้ลุกขึ้นมาเดิน
“หากท่านทรงเดินเช่นนี้คงจะช้ากว่าเดิม” จางเหยาพูด “กระหม่อมแบกท่านจะเร็วกว่าเสียอีก”
องค์หญิงจินเหยามองรูปร่างผอมบางของเขาด้วยความลังเล
“องค์หญิงอย่าทรงเห็นว่ากระหม่อมผอม” จางเหยาสะบัดแขน “อันที่จริงกระหม่อมมีกำลังมาก”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม พลันพูด “ข้าว่าเจ้าอย่าสนใจข้าเลย เจ้าเดินไปก่อน รีบส่งข่าวออกไป เมืองเฟิ่งห่างจากซีจิงไม่ไกล ข้ากังวลว่าจะไม่ทันการ”
จางเหยาเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดเสียงเบา “องค์หญิง อันที่จริงเวลานี้เรื่องสำคัญไม่ใช่การส่งข่าว สงครามไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เร็วขึ้นหนึ่งวันหรือช้าลงหนึ่งวันไม่มีความหมาย แต่องค์หญิงยังทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงสามารถยืนอยู่ในซีจิงอย่างปลอดภัยจะมีความหมายมากกว่า”
องค์หญิงจินเหยามองเขา พลันยื่นมือออกไป “ความหวังของซีจิงอยู่บนไหล่ของเจ้าแล้ว”
จางเหยาเดินไปตรงหน้านาง พลันหันหลัง “กระหม่อมสาบานว่าจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวัง”
องค์หญิงจินเหยาถูกจางเหยาแบกขึ้นหลัง เดินเข้าไปในป่าด้านหน้า นางมองแสงอาทิตย์ท่ามกลางป่าไม้ ฟังจางเหยาพึมพำกับตนเอง “ขอบคุณสวรรค์”
องค์หญิงจินเหยาอดถามไม่ได้ “เจ้าขอบคุณสวรรค์เรื่องใด”
จางเหยาพูด “ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้กระหม่อมมาที่นี่”
องค์หญิงจินเหยาอดยิ้มไม่ได้ “เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังขอบคุณสวรรค์อีกหรือ” พูดพลางถอนหายใจ “หากเจ้าไม่มาก็คงจะดี”
ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้
“ดีอย่างไร” จางเหยาพูด “หากกระหม่อมไม่มา เมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น กระหม่อมย่อมจะกังวลจนร้อนใจเหมือนกัน เวลานี้ดีแล้ว กระหม่อมอยู่ตรงนี้ ภายในใจก็สบายใจอย่างมาก”
องค์หญิงจินเหยาทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ สุดท้ายนางไม่ได้พูดสิ่งใด หากแต่โอบกอดจางเหยาแน่นขึ้น…อย่างนี้สามารถทำให้จางเหยาผ่อนแรงที่ใช้ในการแบกนาง
…
แสงอาทิตย์ลับหายไป ความมืดปกคลุมแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง แต่แผ่นดินใหญ่ไม่ได้สงบลงแม้แต่น้อย หากแต่ดังก้องไปด้วยเสียงเข่นฆ่าปะปนไปด้วยเสียงร้องไห้ เสียงตะโกนและเสียงกรีดร้อง เมืองทางด้านหน้าก็ราวกับเตาไฟที่ลุกโชน ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน
องค์รัชทายาทซีเหลียงมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สร้างขึ้นจากกองกำลังของตนเอง แต่เขาไม่ได้เผยรอยยิ้มได้ใจ
“หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังเอาเมืองเฟิ่งเล็กๆ ไม่ลงอีก!” เขาตะโกนด้วยความขุ่นเคือง
องค์หญิงจินเหยาที่เข้ากรงแล้วก็หนีหายไป
บางทีอาจตายจากการกระโดดแม่น้ำไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีร่างแขวนไว้หน้ากองทัพเพื่อเหยียดหยามและข่มขวัญผู้คนของต้าเซี่ย
แม่ทัพผู้หนึ่งคุกเข่าลง “กระหม่อมมีความผิด”
ผู้ใดจะคิดว่าหลบซ่อนอยู่ลึกเพียงนั้นจะถูกคนต้าเซี่ยพบเข้า ไม่เพียงทำให้องค์หญิงจินเหยาหนีไป อีกทั้งยังทำให้เมืองเฟิ่งเตรียมการรับมือกับสงครามเอาไว้อีก
“หลายปีนี้ราชสำนักสะสมกองกำลังต่อต้านบรรดาท่านอ๋อง ไม่คิดว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ยังไม่ละเลยชายแดน” ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนถูกหามออกมาจากกระโจม เขาชื่นชมทิวทัศน์ตอนกลางคืน “ดูเหมือนละเลย ปล่อยให้พวกท่านสะสมกองกำลังให้แข็งแกร่ง แต่ความเป็นจริงแล้วก็ยังป้องกันอยู่เสมอ”
ถึงแม้เมืองเฟิ่งจะเล็ก ถึงแม้จะเตรียมรับมือกับข้าศึกอย่างเร่งรีบ แต่ก็ไม่อาจถูกบุกรุกได้อย่างง่ายดาย
องค์รัชทายาทซีเหลียงยิ่งขุ่นเคือง เขาเตรียมการมานานเพียงนี้ คงไม่อาจล้มเหลวได้ตั้งแต่เริ่มต้น!
“หากคืนนี้บุกเมืองเฟิ่งไม่ได้” เขาถีบแม่ทัพที่คุกเข่าอยู่ “ข้าจะตัดหัวของเจ้าลงมา โจมตีเมืองเฟิ่งลงมาให้ได้ สังหารทุกคนทิ้งให้หมด”
แม่ทัพก้มหน้าตอบรับ ในขณะที่กำลังจะวิ่งจากไป เขาก็ถูกท่านอ๋องฉีองค์ก่อนเรียกเอาไว้
“องค์รัชทายาท ข้าเคยบอกแล้ว เมืองเฟิ่งก็เป็นแค่เมืองเฟิ่ง” เขาพูด “อย่าได้เสียเวลากับที่นี่ ซีจิงถึงจะมีความหมาย”
เมืองเฟิ่งยังโจมตีได้ยากเพียงนี้ ซีจิง...องค์รัชทายาทซีเหลียงพึมพำในใจ เสด็จพ่อทรงชราจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ เพียงแค่ถูกท่านอ๋องฉีองค์ก่อนยุยงก็หยิ่งผยองเสียแล้ว
“องค์รัชทายาท ความจริงแล้วการโจมตีเมืองเฟิ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพระองค์แล้ว มันไม่อาจจะรอดพ้นค่ำคืนนี้ไปได้” ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนพูดเสียงเรียบ “ข้อได้เปรียบของพวกท่านในคราวนี้คือจำนวนคนมาก อีกทั้งจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นพระองค์จึงยิ่งสมควรใช้เวลาและกองกำลังที่เพียงพอจู่โจมซีจิงมากกว่า เมื่อถึงเวลา ซีจิงจะใหญ่กว่าหรือมีกองกำลังมากกว่าเมืองเฟิ่งมากเท่าใด ก็เพียงแค่รักษาเมืองไว้ได้มากกว่าไม่กี่วันเท่านั้น”
องค์รัชทายาทซีเหลียงถาม “กองกำลังช่วยเหลือของต้าเซี่ย...”
“หลายวันนี้ไม่มีทางมีกองกำลังช่วยเหลือ” ท่านอ๋องฉีพูด “ข้าบอกแล้ว ข้าจัดการทางต้าเซี่ยเอาไว้แล้ว คนของข้าจะตัดขาดข่าวทุกอย่างเพื่อให้โอกาสองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงต้องเร็วและกะทันหัน เมืองอื่นเราไม่ต้องการ เราต้องการเพียงซีจิงเท่านั้น”
องค์รัชทายาทซีเหลียงพยักหน้า “ได้ ท่านอ๋องคุ้นเคยกับต้าเซี่ยและซีจิงมากกว่าพวกข้า พวกข้าจะฟังท่าน”
ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนยิ้ม “ใช่ ข้าคุ้นเคยกับซีจิงอย่างมาก แม่ทัพและกองกำลังของพวกเขา ข้ามั่นใจว่า…” พูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มของเขาก็ชะงักไป “มีสิ่งไม่คาดคิด”
องค์รัชทายาทซีเหลียงมองเขา “สิ่งไม่คาดคิดใด”
ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ห่างไกลออกไป “คนผู้หนึ่ง…”
…
เสียงไอที่พยายามข่มเอาไว้ดังขึ้นที่ข้างหู องค์หญิงจินเหยารู้สึกว่าตนเองเหมือนเรือเล็กที่อยู่กลางน้ำ นางตื่นขึ้นมาจากความสะลึมสะลือ สิ่งแรกที่เห็นคือความมืด สติของนางค่อยๆ ฟื้นกลับมา
“พวกเราเดินมานานแค่ไหนแล้ว” นางจับไหล่ของจางเหยา น้ำเสียงแหบพร่า “อาการไอของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้า…”
มือของนางออกแรงสัมผัสถึงความร้อนระอุผ่านเสื้อผ้า อุณหภูมินี้ผิดปกติ
“รีบปล่อยข้าลงมา” จินเหยาดิ้นรนพลางพูด
“กระหม่อมแค่ไอเล็กน้อยเท่านั้น” จางเหยาพูดด้วยเสียงแหบ “แต่ก่อนกระหม่อมก็มี…”
“ตันจูรักษาให้เจ้าหายแล้ว!” องค์หญิงจินเหยาส่งเสียงดัง
จางเหยาหมดแรงจนเดินเซ ทั้งสองคนล้มลงกับพื้น องค์หญิงจินเหยารีบจับหน้าผากของเขา ร้อนมาก
พวกเขาแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ทั้งหนาวทั้งหิวทั้งเดินทางไม่หยุด การเจ็บป่วยย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“เวลานี้จะพักผ่อนไม่ได้” จางเหยากัดฟันพูด “เดินมานานเพียงนี้แล้ว จะเสียแรงเปล่าไม่ได้ พวกเราอดทนอีกหน่อย”
ถึงแม้…แต่ว่าไม่มีหนทางอื่น องค์หญิงจินเหยาสูดลมหายใจเข้า “ข้าหาท่อนไม้ ข้าจะเดินเอง ให้ข้าพยุงเจ้า”
จางเหยาไม่ยืนกรานอีก ทั้งสองคนหากิ่งไม้จากรอบด้าน ต่างคนต่างประคองกันไว้ พร้อมทั้งพยุงซึ่งกันและกันเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า
“จางเหยา” องค์หญิงจินเหยาพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “ข้าก็อยากขอบคุณสวรรค์”
จางเหยากระแอมไอพลางถาม “องค์หญิงทรงขอบพระทัยเรื่องใด”
องค์หญิงจินเหยาพูด “ขอบคุณที่ให้เจ้ามา”
จางเหยาผงะก่อนจะยิ้มออกมา
“หากเวลานี้ไม่มีเจ้า” องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงแหบ “ข้าคงเดินไม่ถึงตอนนี้ ถึงแม้ข้าจะเดินมาถึงตอนนี้ ข้าก็คงเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงมือ ขาหรือร่างกายของตนเองแล้ว นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองก้าวขาออกไปได้อย่างไร
มือของจางเหยากุมมือของนางเอาไว้ พูดเสียงเบา “ไม่เป็นอันใด กระหม่อมจูงท่านเดิน”
องค์หญิงจินเหยามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนตรงหน้า นางสูดจมูกอย่างแรงเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาแห่งการร้องไห้ นางกุมมือที่ร้อนระอุข้างนี้กลับ
ไม่รู้เดินมานานเพียงใด ไม่รู้ว่าทั้งสองเหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่ สายตาของพวกเขาเลือนรางลงเรื่อยๆ …
“ด้านหน้าคงมีคนแล้วใช่หรือไม่” เสียงของจางเหยาแผ่วเบา ฝีเท้าของเขาก็เบาหวิวราวกับเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ แต่เขายังคงออกแรงเหยียบย่ำ “ทางนี้คงจะเป็นแปลงนา”
แปลงนาหรือ อย่างนั้นย่อมมีชุมชน องค์หญิงจินเหยามองไปด้านหน้าที่มืดสนิท มองไม่เห็นแสงไฟแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่เสียงไก่ขันหรือหมาเห่า ทุกหนแห่งล้วนเงียบสงัด…
นางก้าวเท้าไปด้านหน้า ทันใดนั้นใต้เท้าว่างเปล่า นางล้มลงไปจนส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“องค์หญิง” จางเหยาตะโกน จับมือขององค์หญิงจินเหยาเอาไว้แน่น ก่อนจะถูกลากล้มลงไปบนพื้น
เพิ่งล้มลงก็มีแหตกลงมาคลุมตัวคนทั้งสองเอาไว้
“มีคนตกลงไปในกับดักแล้ว!”
“กับดักทำงานแล้ว!”
มีเสียงดังตามมา เสียงนี้สูงต่ำไม่เท่ากัน บ้างเสียงแหลมบ้างเสียงอ่อนเยาว์ ฟังดูเหมือนจะตื่นเต้นเล็กน้อย…
คบเพลิงสว่างขึ้น ทั้งสองจำเป็นต้องหลับตาลง ไม่อาจมองแสงไฟนี้ได้โดยตรง
“ผู้ใดกัน!”
สำเนียงต้าเซี่ย! จางเหยาลืมตาขึ้น “ที่นี่คือที่ใด ข้าเป็น ข้าเป็นองครักษ์ขององค์หญิง!”
เขามองเห็นคนที่ถือคบเพลิงตรงหน้า…เด็กหรือ
เด็กที่ถือคบเพลิงสองคนอายุราวสิบขวบ บนตัวของพวกเขาปกคลุมด้วยใบไม้ บนหัวสวมหมวกที่ถักจากใบไม้ ในมือถือคบเพลิง หากมองผ่านๆ อาจคิดว่าต้นไม้ขนาดเล็กถูกไฟไหม้
อันใดกัน จางเหยาผงะไป ใบหน้าของเด็กสองคนก็ผงะเช่นเดียวกัน องครักษ์ขององค์หญิงหรือ พวกเขาราวกับไม่เข้าใจว่ามันคืออันใด
“ผู้ใดกัน” เสียงชราดังขึ้นจากด้านหลัง
เสียงนี้ทำให้เด็กสองคนตั้งสติกลับมา ตะโกนตอบ “บอกว่าเป็นองครักษ์ขององค์หญิง”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ คบเพลิงจำนวนมากขึ้นสว่างขึ้นมา จางเหยานอนอยู่บนพื้น เห็นว่าบริเวณนี้เป็นแปลงนาเหมือนที่คิด บริเวณคันนาที่ห่างออกไปไม่ไกลมีเจ็ดแปดคนยืนอยู่ มีทั้งชายหนุ่มทั้งเด็กทั้งคนชรา ในมือของพวกเขาล้วนถือจอบเหล็กและเสียมเหล็ก พลันมองมาทางนี้ด้วยความกังวล
มีชายชราเดินออกมาจากท่ามกลางคนเหล่านั้น ขาของเขากะเผลก แต่เดินได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว ไม่นานนักเขาก็เดินมาถึงตรงหน้าคนทั้งสอง พลันมองพวกเขาจากที่สูง คบเพลิงส่องสว่างเห็นใบหน้าชราของเขา
จางเหยายังไม่ทันพูด องค์หญิงจินเหยาที่อยู่ด้านข้างก็ร้องไห้ออกมา “ท่านลุงเฉินหรือ ท่านคือท่านลุงเฉิน! ข้าคือองค์หญิงจินเหยา ข้าเป็นสหายของตันจู…”
ท่านลุงเฉิน? ตันจู? จางเหยานอนมองชายชราผู้นี้จากบนพื้น คนผู้นี้คือเฉินเลี่ยหู่? บิดาของเฉินตันจู?
ดีแล้วๆ จางเหยาถอนหายใจยาว ก่อนจะสลบไป