ทุกคนเงยหน้าขึ้น สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังใบหน้าอันโดดเด่นนั้น พวกเขาถึงกับส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคนนี้ไม่ใช่ขยะเหมือนอย่างที่นางเคยเป็น มันเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตัวนาง เพียงแค่นางยกแขนขึ้น ความหล่อเหลาอันเย็นชาก็พลันปรากฏออกมาให้เห็น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินตรงไปยังเก้าอี้ประมุขโดยมีสายตาของทุกคนมองตามไป ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความทรงอำนาจ น้ำเสียงของนางแผ่วเบาฟังนุ่มหู แต่ก็ดังพอที่ทุกคนจะได้ยิน ”ดูเหมือนเก้าอี้ตัวนี้จะเป็นของข้า”
เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่มีปฏิกิริยากับคำพูดของนาง จนกระทั่งตอนที่เขาเพิ่งจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่านางหมายความว่าอย่างไร
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นที่ด้านล่าง เสียงของบรรดาผู้นำที่ปรึกษาหารือกันดังขึ้นไม่ได้ขาดเหมือนกับน้ำป่าไหลหลาก
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าแข็งกระด้าง สายตาดุร้ายของเขาพุ่งตรงไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้าไม่ควรมาก่อความวุ่นวายที่นี่ กลับไปที่ของตัวเองแล้วนั่งลงซะ อย่าทำลายธรรมเนียมของเราก่อนเริ่มการประชุมประจำตระกูล ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะเป็นพระชายาสาม แต่เจ้าก็ควรตระหนักถึงความถูกต้องเหมาะสมเสียบ้าง”
“ข้าย่อมตระหนักได้ถึงความถูกต้องเหมาะสมนั้นอยู่แล้ว” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเยือกเย็นราวกับสายน้ำ ”บางทีท่านกวงเย่าคงลืมไปว่าข้าเป็นทายาทที่แท้จริงของตระกูลเฮ่อเหลียน ส่วนท่านก็เป็นแค่ลูกเขยที่แต่งเข้ามา สมัยก่อนข้าไม่สามารถควบคุมคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพราะข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการประชุมประจำตระกูล แต่ตอนนี้ข้ามีสิทธิ์นั้นแล้ว ท่านไม่คิดว่าท่านควรจะคืนตำแหน่งที่ควรเป็นของข้ากลับคืนมาให้ข้าหรือ”
เฮ่อเหลียนกวงเย่าโกรธจนควันออกหูทันทีที่เขาถูกเรียกว่าลูกเขยที่แต่งเข้ามา ดังนั้นเขาจึงตบโต๊ะไม้อย่างแรง ”เฮ่อเหลียนเวยเวย! ข้าจะพูดอีกครั้ง ต่อให้เจ้าเป็นพระชายา แต่เจ้าก็ไม่อาจแหกกฎที่บรรพบุรุษของเราตั้งเอาไว้ได้! ถ้าเจ้าทนไม่ไหว เช่นนั้นก็ถอนตัวออกไปจากการประชุมเดี๋ยวนี้!”
“กฎที่บรรพบุรุษของเราตั้งไว้หรือ” ผู้นำจาง บอกท่านกวงเย่าสิว่ากฎจริงๆ ของตระกูลเฮ่อเหลียนมีอะไรบ้าง!”
ผู้นำที่ถูกเรียกชื่อถึงกับนั่งไม่ติดที่ หน้าผากของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขาพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ไม่อยากตอบหรือ ไม่เป็นไร ข้ามีแผนผังตระกูลอยู่ บนนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าถ้าหากประมุขตระกูลเสียชีวิต ตราบใดที่ผู้เป็นทายาทของตระกูลมีคุณสมบัตินั้น พวกเขาจะเป็นผู้จัดการประชุมประจำตระกูล และนั่งบนตำแหน่งนั้นแทนไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ตาม ผู้นำทุกคนที่อยู่ที่นี่คงจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“ท่านกวงเย่า กรุณาลุกออกไปจากเก้าอี้ด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย นางไม่สนใจสีหน้าเดือดดาลที่เปี่ยมไปด้วยความกดดันบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนกวงเย่าเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนกวงเย่าเกร็งไปทั้งตัวด้วยความโกรธ สายตาของเขาคมกริบราวกับใบมีดที่กำลังทิ่มแทงเฮ่อเหลียนเวยเวย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้ม ”มีปัญหาอะไรหรือ ท่านกวงเย่าพยายามที่จะฝ่าฝืนกฎของตระกูลเฮ่อเหลียนอย่างนั้นหรือ”
ตอนนั้นนั่นเองที่เฮ่อเหลียนกวงเย่าเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตั้งแต่นางเดินเข้ามา นางก็ไม่ได้เรียกเขาด้วยนามสกุลเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสาเหตุมาจากอะไร
ซูเหยียนโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ นางเอ่ยขึ้นราวกับพยายามที่จะแก้ปัญหานี้อย่างสันติ ”ตอนนั้นเวยเวยยังเด็ก ดังนั้นนางอาจจะลืมไปว่าหากทายาทมีคุณสมบัติไม่ครบ และยังอายุไม่ถึง ผู้อาวุโสก็มีสิทธิ์ที่จะหาผู้แทนมาเป็นประมุขแทนได้”
“ถูกอย่างที่ฮูหยินซูว่า เขาควรทำหน้าที่ผู้แทนประมุขให้ดี ไม่ใช่แย่งชิงตำแหน่งนั้นไปเสียเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปรอบตัวพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปที่เฮ่อเหลียนกวงเย่าอีกครั้ง ”ท่านกวงเย่า ข้ายังอยู่ที่นี่ แต่ท่านกลับกำลังนั่งอยู่ในที่ของข้าพร้อมกับถือเอาทรัพย์สินของตระกูลข้าไปเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ละอายใจเลยหรือไร”
เฮ่อเหลียนกวงเย่ากำมือเข้าหากันแน่น ”เจ้า!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดยิ้ม ”หลีกไป”
เสียงพูดคุยที่ด้านล่างยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เฮ่อเหลียนกวงเย่า
เฮ่อเหลียนกวงเย่าพยายามข่มความโกรธของตน แล้วกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า ”ข้า เฮ่อเหลียนกวงเย่า ทุ่มเททำงานหนักเพียงลำพังเพื่อตระกูลเฮ่อเหลียนมาตลอดหลายปี แม้จะไม่ได้รับความดีความชอบ แต่ข้าก็ยังพยายาม กระนั้นข้ากลับถูกเข้าใจผิดเอาเช่นนี้เสียได้ แต่อย่างไรหลังจากจบการประชุมนี้ ทุกคนก็จะได้เห็นเองว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดกันแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจคำพูดจอมปลอมของเขา นางมองเขาด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่มีความหมายแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องมอบที่นั่งตรงนั้นให้นางอยู่ดี
เฮ่อเหลียนกวงเย่าจำต้องสละที่นั่งให้นางในเวลานี้ แต่เขาเชื่อว่านังเด็กชั้นต่ำคนนี้คงทำตัวหยิ่งผยองได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
เขาจะรอจนกว่าบรรดาผู้นำจะตัดสินใจ
จากนั้นเขาจะทำให้นางต้องชดใช้คืนด้วยวิธีการเดียวกันกับที่นางแย่งที่นั่งไปจากเขา!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าสะบัดแขนเสื้อพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็เดินไปข้างๆ แล้วนั่งลง ตำแหน่งนั้นก็ใช่ว่าจะต่ำต้อย แต่หากเทียบกับเก้าอี้ประมุขของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว มันก็ยังห่างชั้นกันอยู่เล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้นั่งลงทันที แทนที่จะทำเช่นนั้นนางกลับตวัดสายตาไปมองซูเหยียนโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของนางดูเย็นชายิ่งกว่าเดิม
นั่นควรจะเป็นที่นั่งของท่านแม่ของนาง
ในความทรงจำของนาง ท่านแม่ของนางจะนั่งอยู่ข้างกายท่านตาในชุดเกราะเต็มยศ และคอยควบคุมตระกูลจากตรงนั้น
แต่ผู้หญิงคนนี้ นางมีสิทธิ์อะไรถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับยังคงไร้อารมณ์ นางมองซูเหยียนโม่แต่ไม่ได้พูดอะไรกับนาง จากนั้นนางจึงเรียกผู้นำคนหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ”ผู้นำจาง”
ผู้นำคนนั้นไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมวันนี้พระชายาถึงจำเขาได้ดีนัก เขาส่งเสียงตอบอย่างปวดหัวว่า ”ขอรับ?”
“เจ้ากล้าอนุญาตให้อนุภรรยาที่ไมมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งรองประมุขของการประชุมประจำตระกูลอันทรงเกียรติเช่นนี้ได้อย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยอย่างเย็นชา ”ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ข้าไม่ได้เข้าร่วมการประชุมประจำตระกูลนี้ ตระกูลไร้ระเบียบวินัยกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ผู้นำคนอื่นๆ นอกจากผู้นำจางจำเป็นต้องคิดใคร่ครวญเรื่องนี้ใหม่ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
เดิมทีนั้นการที่ซูเหยียนโม่ขึ้นมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดมีเหตุผล
เมื่อเป็นกรณีของซูเหยียนโม่ พ่อบ้านจางก็ไม่ได้ตัดสินใจลำบากเท่ากับกรณีของเฮ่อเหลียนกวงเย่า เขาผายมือออก พร้อมเอ่ยว่า ”ฮูหยิน ทำไมท่านไม่เปลี่ยนที่นั่งล่ะขอรับ”
นอกจากตอนที่อยู่บนถนนในครั้งนั้น ซูเหยียนโม่ก็ไม่เคยต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นในวันนี้มาก่อน!
แต่สถานการณ์ในเวลานี้ก็ไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธได้
นางเตรียมตัวสำหรับการประชุมประจำตระกูลมาหนึ่งวันเต็ม แม้แต่ชุดที่นางสวมอยู่ก็ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ นางเตรียมการทุกอย่างด้วยความหวังว่าจะสามารถกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับคืนมาได้
แต่ตอนนี้นางกลับถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนที่นั่ง ในใจของซูเหยียนโม่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ในอกเหมือนจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ แต่นางก็ยังคงรักษารอยยิ้มของตนเอาไว้ ”ข้าผิดเอง หลังจากผ่านมาหลายปีข้าก็หลงคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฮ่อเหลียนไป แต่ข้าคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกีดกันนี้ได้ เช่นเดียวกับที่กวงเย่าว่าไว้ หลังการประชุมประจำตระกูลครั้งนี้สิ้นสุดลง แล้วพวกเราจะได้เห็นดีกัน”
ทันทีที่พูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืน และตั้งใจที่จะไปนั่งข้างเฮ่อเหลียนกวงเย่า แต่แล้วนางก็ตระหนักได้ว่าตรงนั้นไม่มีที่นั่ง ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่ต้องยืนอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้าประหม่าแทน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย นางอยากเห็นนักว่านังเด็กชั้นต่ำคนนี้จะมีปฏิกิริยาเช่นไรหลังจากกองกำลังลับปรากฏตัวขึ้น…