เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ฉู่ซิวหยงมายังหน้าตำหนักทรงงานของฮ่องเต้อีกครั้ง ก่อนจะถูกฮ่องเต้ปฏิเสธการเข้าเฝ้าอีกครั้ง
ฉู่ซิวหยงไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างใด เขาส่งฎีกาหลายเล่มให้ขันทีแล้วจากไป
บรรดาขันทีนอกตำหนักมองเขาอย่างไร้ความสงสาร หากมีแต่เพียงความเคารพ นับแต่ฮ่องเต้ทรงหายดีและปลดองค์รัชทายาท อารมณ์ของพระองค์ก็ไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่ทรงพบท่านอ๋องฉี แม้แต่ท่านอ๋องเยียน ท่านอ๋องหลูหรือบรรดาพระสนมก็ไม่ทรงพบ ท่านอ๋องเยียน ท่านอ๋องหลูทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวจึงไม่มา มีเพียงท่านอ๋องฉีที่ทรงปฏิบัติเหมือนเคย เสด็จมาถวายบังคมทุกเช้า ทรงงานของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ท่านอ๋องฉีสุขุมเช่นนี้เสมอมา อีกทั้งยังเป็นการอยู่เคียงข้างฮ่องเต้ บรรดาบุตรจะหลบหน้าเพียงเพราะบิดาอารมณ์ไม่ดีอย่างนั้นหรือ
เสียงชื่นชมท่านอ๋องฉีนับวันยิ่งมากขึ้น แม้แต่บรรดาขุนนางก็ต่างเล่าลือลับหลัง หากมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่ ท่านอ๋องฉีเหมาะสมที่สุด
ฮ่องเต้มองขันทีจิ้นจงถือฎีกาของฉู่ซิวหยงเข้ามา พลันพูดเสียงเรียบ “ข้าดูถูกเขาเกินไปเสียจริง เดิมทีคิดว่าเขาอ่อนแอที่สุด ไม่คิดว่าจิตใจของเขาจะแน่วแน่ที่สุด อีกทั้งยังมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้” พูดพลางยิ้มเย็น “แต่ว่าก็ไม่แปลก เจ้ายังจำได้หรือไม่ นับแต่เขาต้องพิษ ไม่ว่าจะเจ็บเพียงใดก็ไม่เคยร้องไห้ออกมา เวลานั้นเขาอายุเพียงเท่าใด ประโยคนั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไร อดทนในเรื่องที่ผู้อื่นอดทนไม่ได้ย่อมไม่ธรรมดา”
ประโยคนี้ขันทีจิ้นจงไม่อาจพูดต่อได้ ทำได้เพียงก้มหน้าพูดเสียงเบา “ฝ่าบาท อย่าทรงคิดเรื่องเหล่านี้เลย” ดังนั้นเขาจึงกล่าวถึงเรื่องน่ายินดี “ทางซีจิงมีข่าวดี กองกำลังของซีเหลียงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ไร้ซึ่งความดีใจ หากแต่ยิ่งเย็นชามากขึ้น
กองทัพซีเหลียงบุกรุกเพราะความโง่เขลาขององค์รัชทายาท ส่วนกองทัพเหนือที่เคลื่อนกำลังไปปะทะกับกองทัพของซีเหลียงเป็นฝีมือของฉู่อวี๋หยง
คนหลังยิ่งทำให้ฮ่องเต้ทรงโกรธเคือง
“มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่มากความสามารถอยู่ ข้าไม่กังวลซีเหลียง” ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “เวลานี้ข้ากลับกังวลตัวเอง และวังหลวงแห่งนี้เสียมากกว่า”
ขันทีจิ้นจงก้มหน้า “องค์ชายหกทรงไม่ได้ เรื่องของซีจิงก็เป็นเพราะเรื่องเร่งด่วน…”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะ “เจ้ายังแก้ตัวแทนเขาอีก!”
ขันทีจิ้นจงคุกเข่าพลันกล่าวว่ากระหม่อมมีความผิดหลายครั้ง
ฮ่องเต้ไม่ได้มองเขา เพียงแค่พูดเสียงเย็นชา “เขาเป็นคนอย่างไร ข้ารู้ดีแก่ใจยิ่งนัก ไม่มีเรื่องที่เขาไม่กล้าทำ” พูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมา “บรรดาโอรสของข้า มีผู้ใดไม่กล้าสังหารบิดา สังหารฮ่องเต้”
ขันทีจิ้นจงคุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฝ่าบาท อย่าทรงคิดเลยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่เพียงทรงเป็นบิดา แต่ยังทรงเป็นฮ่องเต้ ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ย่อมต้องโดดเดี่ยวและลำบาก”
เมื่อฟังคำพูดของขันทีจิ้นจง ฮ่องเต้รู้สึกอยากร้องไห้ แต่เมื่อยกมือเช็ดกลับไม่พบน้ำตาแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะน้ำตาไหลจนแห้งหมดในช่วงเวลาที่ป่วยแล้วกระมัง
“คนในวังเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหรือไม่” เขาถามเสียงเย็น
ขันทีจิ้นจงตอบรับ “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ทางพระสนมสวีและพระสนมเสียนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยิบฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นมายกไว้ตรงหน้า ใบหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้เงา เสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลังฎีกา “ข้าคิดว่าพวกนางอยากไปอยู่กับฮองเฮาในตำหนักเย็นแล้ว”
…
บรรยากาศภายในวังหลังตึงเครียด ทางตำหนักเย็นยิ่งพบเห็นร่องรอยของคนได้น้อย ขันทีผู้หนึ่งปีนข้ามกำแพงจากด้านนอกเข้ามา เดินมาจนกระทั่งถึงตำหนักที่ฮองเฮาพำนักอยู่ก็ไม่พบผู้คน
ขันทีมองเข้าไปด้านใน เห็นหญิงชรานางหนึ่งกำลังก่อไฟต้มข้าวต้ม
ขันทีผงะไป เขาแทบจะจำไม่ได้ว่านางคือฮองเฮา เดิมทีฮองเฮาก็ไม่ได้ภาพลักษณ์สง่างามมากนัก แต่ก่อนมีเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ เวลานี้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นจึงดูแก่ชราขึ้นอย่างมาก
“ฮองเฮา” เขาเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “พระองค์ทรงทำอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาไม่แม้แต่จะเงยหน้า อีกทั้งไม่สนใจว่าผู้ใดมา นางเพียงแค่พูด “กินข้าว”
ขันทีมองหม้อเหล็กใบเล็กบนเตา ไม่รู้ข้างในกำลังต้มสิ่งใด เขาอดที่จะปิดจมูกไม่ได้ “ฮองเฮา สิ่งนี้เสวยได้หรือพ่ะย่ะค่ะ รสชาติคงแย่มากใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮายิ้มเย็น “เพียงแค่กินได้ก็พอ กินก็เพื่อมีชีวิตอยู่ ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตนเองหิวโหย ข้าต้องมีชีวิตอยู่รอองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าก็คงจะเป็นพระพันปี” นางใช้ช้อนเหล็กคนหม้ออย่างแรง พลางกัดฟันพูด “ให้หญิงต่ำทรามอย่างพระสนมสวีและพระสนมเสียนล้วนคุกเข่าอยู่ใต้เท้าของข้า”
ขันทีพูดเสียงเบา “ฮองเฮา พระองค์ยังไม่ทรงทราบหรือพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว”
ใบหน้าของฮองเฮาหันควับ ในที่สุดก็มองมาทางเขา ดวงตาภายใต้ผมกระเซิงนั้นโหดเหี้ยม “บังอาจ เจ้าพูดเหลวไหลเรื่องใดกัน!” พูดพลางยกช้อนเหล็กตีเขา “จิ่นเอ๋อร์ของข้าเป็นองค์รัชทายาทแต่กำเนิด หากไม่ใช่จิ่นเอ๋อร์ ฮ่องเต้คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถึงทุกวันนี้ เขาคงถูกบรรดาท่านอ๋องสังหารไปนานแล้ว! บังอาจปลดจิ่นเอ๋อร์ ฮ่องเต้ก็อย่าคิดจะอยู่ดี!”
ขันทีมองนางที่กำลังจะเสียสติ เขาเกรงว่าจะดึงดูดผู้อื่นมา จึงรีบยอมรับผิด “กระหม่อมพูดผิดไปแล้ว องค์รัชทายาทยังทรงอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาจึงเก็บช้อนเหล็กกลับไปอย่างแรง จากนั้นคนหม้อเหล็กพร้อมพึมพำ ไม่สนใจขันทีผู้นี้อีก
ขันทีผู้นั้นมองซ้ายขวา ก่อนจะหยิบผ้าขาวผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นรัดคอของฮองเฮาอย่างกะทันหัน
ฮองเฮาไม่ทันตั้งตัว ล้มไปทางด้านหลังพร้อมช้อนเหล็กในมือ ส่วนอีกมือหนึ่งยื่นไปจับผ้าขาว แม้ขันทีผู้นั้นจะผอมแห้ง แต่มีกำลังมาก เขาลากฮองเฮาถอยหลังจนถึงข้างเสาต้นหนึ่ง เอนหลังพิงเสา ก่อนจะออกแรง…
ฮองเฮาส่งเสียงด้วยความทรมาน ขาทั้งสองข้างค่อยๆ หยุดดิ้น มือที่จับช้อนเหล็กก็ค่อยๆ คล้อยต่ำลง ก่อนที่ช้อนเหล็กจะหล่นลงพื้นเสียงดัง
ขันทีปล่อยมือออก พลันมองฮองเฮาที่ล้มลงอย่างอ่อนระทวย ความโหดเหี้ยมบนใบหน้าหายไป เหลือเพียงความเศร้าโศก
“ตายเสียเถิด” เขาบ่นพึมพำ “บุตรชายของท่านยังต้องการให้ท่านตาย มีชีวิตอยู่จะมีความหมายใด”
…
ถึงแม้ข้าวของตำหนักเย็นจะส่งมาสามวันทีสี่วันหน แต่พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ฮองเฮาหิวตาย วันนี้เป็นวันที่ควรส่งข้าว บรรดาขันทีที่ทำหน้าที่ส่งข้าวหิ้วถังไม้ ขับไล่บรรดาขันทีและนางในของตำหนักเย็นที่วิ่งแห่กันเข้ามาแย่งกินเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขาเดินมาจนกระทั่งถึงที่พำนักของฮองเฮา
“ฮองเฮา” พวกเขาตะโกนอย่างรำคาญ “ถึงเวลาเสวยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง พวกเขาไม่เห็นฮองเอาเดินออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นกระโปรงพลิ้วไหวอยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นไปอีกก็พบกับฮองเฮาที่แขวนคออยู่บนคาน ใบหน้านั้นมองพวกเขาจากที่สูงราวกับภูตผีปีศาจ
บรรดาขันทีโยนถังไม้ลงเสียงดัง เสียงกรีดร้องดังไปทั่วตำหนักเย็น
“ฮองเฮาทรงปลิดชีพตนเองแล้ว…”
…
เมื่อฉู่อวี๋หยงได้ยินข่าว เขากำลังอยู่ระหว่างทางไปซีจิง เขานั่งอยู่ริมกองไฟ พลางมองผลซานจาที่สุกเต็มที่จากวัดถิงอวิ๋นหลังจากที่ใช้ม้าเร็วส่งมา
“พอเถิด ดูมาทั้งวันยังไม่พออีกหรือ” หวังเจียนพูดอย่างอารมณ์เสีย “เวลาใดแล้ว ยังให้คนไปเก็บผลไม้จากวัดถิงอวิ๋นมาอีก”
ใบหน้าขาวของชายหนุ่มภายใต้แสงไฟ ไม่มีความน่ากลัวเหมือนวันที่สะบัดดาบตัดหัวคน ดวงตาของเขาสว่างไสว มุมปากมีรอยยิ้มบาง มือถือผลซานจาหมุนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ใช่เวลาที่ต้องกังวลแล้ว” เขาพูด “ทางซีจิงมีเฉินเลี่ยหู่ก็วางใจได้แล้ว”
หวังเจียนขมวดคิ้ว “หากเฉินเลี่ยหู่หลอกลวงองค์หญิงจินเหยาเล่า หากเขาหันกลับมาโจมตีพวกเรา อย่าว่าแต่ซีจิง เมืองหลวงก็ย่อมต้องตกอยู่ในอันตราย”
ฉู่อวี๋หยงพูด “พูดเรื่องใดกัน ท่านดูถูกคุณหนูตันจูอีกแล้ว”
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเฉินตันจู! ข้ากำลังพูดถึงบิดาของนาง!” หวังเจียนโมโหอย่างมาก เหตุใดจึงหนีไม่พ้นเฉินตันจู! “บิดาของนางยังไม่ต้องการนาง เมื่อถึงเวลา เขาคงมาตัดหัวบุตรสาวที่อกตัญญูผู้นี้ที่เมืองหลวงพอดี”
ฉู่อวี๋หยงยื่นผลซานจาเข้าใกล้ริมฝีปาก “เจ้าลืมที่คุณหนูตันจูเคยพูดแล้วหรือ แม้นางจะไม่น่าเอ็นดูเพียงใด แต่นางก็เป็นสมบัติล้ำค่าของบิดานาง” ก่อนจะกัดลงไป รสชาติเปรี้ยวหวานทำให้คิ้วของเขาขมวดขึ้นมา “คุณหนูตันจูไม่ได้หลอกข้า ไม่อร่อยเอาเสียเลย…”
คุณหนูตันจูพูดจาเหลวไหลมากมาย เขาจะจำได้อย่างไร หวังเจียนกลอกตา ในขณะที่กำลังจะพูดบางอย่าง เฟิงหลินก็เดินออกมาท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็ว
“องค์ชาย ฮองเฮาทรงปลิดชีพตนเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หวังเจียนผงะ ฉู่อวี๋หยงที่กำลังเคี้ยวผลซานจาผงะ ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“กลับเมืองหลวง” เขาพูด
เมื่อทิ้งประโยคนี้เอาไว้ คนก็เดินผ่านกองไฟพุ่งตัวเข้าไปในความมืด เสียงม้าดังขึ้นในยามราตรี
หวังเจียนลุกขึ้นยืนอยู่ข้างกองไฟด้วยความผงะ “ฮองเฮาตายแล้ว ท่านรีบอันใดกัน” จากนั้นจึงกระจ่างว่าฉู่อวี๋หยงรีบอันใด สีหน้าของเขาแย่ลงอย่างมาก
“ข้าเคยบอกว่าชาตินี้ข้าไม่อยากขี่ม้าเร็วอีกแล้ว”
“อีกทั้งยังเพื่อเฉินตันจู!”