กล่าวมากไปก็ไร้ประโยชน์
“บ่าวยินยอมขอรับ”
กุ่ยซาตื้นตันใจเสียจนน้ำตาเกือบจะหลั่งริน!
เขานึกว่าออกมาครั้งนี้ หัวหน้าตระกูลจะไม่ใช้เขาอีก อย่างไรเสียเรื่องที่เขาทำในครั้งที่แล้วก็เลินเล่อเกินไป! จนเกือบจะกลายเป็นความผิดอันใหญ่หลวง!
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า หัวหน้าตระกูลถึงกับยินยอมให้โอกาสเขาอีกครั้งหนึ่ง!
กลับไปอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่ว นั่นอธิบายได้ว่าในใจของหนิงเซ่าชิง เขายังคงมีน้ำหนักอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย!
แน่นอนว่าความตื่นเต้นในใจของกุ่ยซาไม่ได้มีเพียงแค่สาเหตุนี้
แต่ก่อน เขาไม่ยินยอมไปปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย คราวนี้กลับยินยอมเป็นอย่างยิ่ง เพียงเพราะ…เพียงเพราะ…สามารถได้เห็นนางผู้นั้น
ไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงแค่มองนางจากที่ไกลๆ ได้ยินเสียงของนางก็พอแล้ว
หนิงเซ่าชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่ทันได้สังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของกุ่ยซา
สิ่งที่เขาคิดก็คือ ก่อนหน้านี้กุ่ยซาปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยมาโดยตลอด ตอนนี้ในเมื่ออาการบาดเจ็บของกุ่ยซาดีขึ้นพอสมควรแล้ว ให้กลับไปปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยต่อก็ไม่ผิดอะไร
ความจริงแล้ว เขายังคงกลัวว่าถ้าหากเขาเปลี่ยนคน ส่งคนอื่นไป จะทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเกิดความรู้สึกว่ากำลังสอดแนมนาง
แค่กๆ…ความจริงแล้วก็ถือว่าเป็นการสอดแนมจริงๆ…
แต่บุรุษหยิ่งยโสเช่นหนิงเซ่าชิงจะยอมรับได้เช่นไร
ดังนั้นบุรุษที่ต้องการรักษาหน้าทั้งที่หึงหวงนั้นรับไม่ได้จริงๆ!
……
นายท่านผู้เฒ่าของตระกูลมั่วคนก่อนตายไปเช่นนี้ ในเมืองหลวงกลับไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นมา
เดิมตระกูลมั่วก็เป็นตระกูลขุนนางที่ไม่ได้เข้าขั้น ประการแรกนายท่านผู้เฒ่านี้ก็ไม่ใช่หัวหน้าตระกูล ประการที่สองตายอย่างไร้ระดับเกินไปแล้ว
ร่ำสุราก็สามารถทำให้ตายได้!
คนแบบนี้ การตายแบบนี้ จะมีใครไปวิพากษ์วิจารณ์กัน?!
ศพของนายท่านผู้เฒ่าถูกส่งกลับไป ตระกูลมั่วจัดตั้งห้องโถงเซ่นไหว้ผู้ตาย มั่วจื่อถังสวมชุดไว้ทุกข์ คุกเข่าหลังเหยียดตรงอยู่หน้าห้องโถง
บิดาตายแล้ว เขาปวดใจราวกับถูกบิด
เขาอยากจะรู้สึกเกลียดมาก แต่เขากลับเกลียดไม่ลง
วันนั้นท่านพ่อเรียกเขาไปหอบรรพชน เอ่ยอยู่นานสองนานว่าเพื่อตระกูลมั่ว และเอ่ยถึงการตัดสินใจของตนเองอย่างเลือนราง
เขาเอ่ยเพียงแค่ว่าเรื่องของจวนกั๋วกงในครั้งที่แล้วได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้
เขาเอ่ยเพียงแค่ว่าเรื่องในครั้งที่แล้วเกิดความผิดพลาด ฮ่องเต้เก็บตระกูลมั่วไว้ไม่ได้แล้ว เขาเข้าวังไปพบฮ่องเต้ เป็นผู้ที่รู้เหตุการณ์ หากฮ่องเต้ถือสา ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมให้เขาได้มีชีวิต กระทั่งตระกูลมั่วก็จะพบหายนะไปด้วย
วันนั้น ท่านพ่อเขาไม่เอ่ยถึงมั่วเชียนเสวี่ยกับเขาสักประโยค แต่เขากลับรู้ว่าเรื่องนี้ ความคิดนี้ จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับมั่วเชียนเสวี่ยแน่นอน
แต่ เขารู้แล้วจะทำอันใดได้?
ถ้าหากว่ามีคนหนึ่งปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อมั่วเชียนเสวี่ย การแก้แค้นของเขาจะมากกว่านี้สิบเท่า
ถ้าหากว่าคนที่ส่งนักฆ่าไปจัดการมั่วเชียนเสวี่ยหลายครั้งไม่ใช่ท่านพ่อเขาแต่เป็นคนอื่น เขาคงแก้แค้นคืนไปกว่าร้อยเท่าทั้งในที่แจ้งและในที่ลับนานแล้ว
แต่ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าถ้าหาก มีเพียงแค่ผลที่เกิดขึ้นและผลพวงเท่านั้น
เดิมมั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจให้อาซานไปส่งจดหมายที่ตนเองเขียนให้กับหนิงเซ่าชิง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ยังไม่ทันจะได้รับจดหมายตอบกลับ ก็ได้รับข่าวการตายของนายท่านผู้เฒ่ามั่วเสียก่อน
เมาตาย?
บางที คงจะไม่มีวิธีการตายที่ไม่ดึงดูดสายตาผู้คน และไม่ต่ำทรามที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
เดิมนางนึกว่า เขาจะเลือกตายอย่างกะทันหันเพราะเป็นโรคอะไรพวกนี้เสียอีก
ข่าวการตายนี้ เดิมก็อยู่ในการคาดการณ์ แต่กลับทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความยินดีเรื่องการสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืชเหม่อลอย
ต่อมาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
และรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง
มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่เจ้าเกลียดเขา อยากให้เขาตาย แต่เมื่อเขาตายไปจริงๆ ก็จะเกิดความรู้สึกที่เอ่ยอะไรไม่ออกขึ้นมา
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจลึก บอกกับตนเอง ในเมื่อเขารักษาสัญญา เช่นนั้น เรื่องพวกนั้นที่ตระกูลมั่วได้กระทำกับนางในอดีต นางจะไม่ถือสาหาความ
ไม่ว่านายท่านผู้เฒ่ามั่วจะทำเรื่องเลวร้ายและทำความผิดไปมากเพียงใด เขามีความกล้าที่จะเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อตระกูลในระยะยาว ก็ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง และควรค่าที่จะได้รับการนับถืออยู่บ้าง
เพียงแต่หวังว่า มั่วจื่อถังจะไม่เกลียดนาง
แม้ว่านายท่านผู้เฒ่ามั่วสมควรจะได้รับกรรมที่ก่อเอาไว้ คิดไปคิดมาในใจมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกเป็นทุกข์อยู่บ้าง
นายท่านผู้เฒ่ามั่วไร้เมตตา นางกลับมิอาจไร้คุณธรรมด้วยได้ นางยังคงแซ่มั่ว
นึกถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็ให้คนไปส่งมอบกลอนคู่เพื่อไว้อาลัยผู้ถึงแก่กรรมในเมืองหลวง และส่งศพ
เมื่อทำเรื่องพวกนี้แล้ว ในใจนางก็สงบลงบ้าง
สั่งให้ข้ารับใช้ไปส่งกลอนคู่เพื่อไว้อาลัยผู้ถึงแก่กรรมและส่งศพในเมืองหลวงแล้ว แม้ว่าในใจมั่วเชียนเสวี่ยจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่กลับเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยงเกินไปแล้ว!
ขณะที่เหลือบตาขึ้นมองด้วยสีหน้าเซื่องซึม ก็เห็นหนิงเซ่าชิงเดินเข้ามาในยามโพล้เพล้
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เซ่าชิง ท่านมาได้อย่างไร ข้าเพิ่งส่งจดหมายไปให้ท่านเอง!”
ตอนที่หนิงเซ่าชิงก้าวข้ามประตูห้องเข้ามา ก็ได้ยินประโยคนี้ของมั่วเชียนเสวี่ย
ประโยคแรก หน้าเขาก็ดำทะมึน แต่ประโยคที่สอง ใบหน้าที่ดำทะมึนก็สดใสขึ้นมาทันที
เป็นหนิงเซ่าชิงมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ตอนเช้าที่อาซานมาส่งจดหมาย เขาก็มาที่นี่รอบหนึ่ง ตอนบ่ายเพิ่งจะกลับเมือง ก้นที่นั่งบนตั่งในเรือนหลักของเขายังไม่ทันจะร้อน ก็ได้รับข่าวว่าถงจื่อจิ้งมาเมืองหลวง
ช่วยไม่ได้ ฟ้ายังไม่มืด เขาก็มาอีกแล้ว
ถงจื่อจิ้งนั่งอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยไม่ห่างมาโดยตลอด มองมั่วเชียนเสวี่ย พลางแกะสลักตุ๊กตาในมือ
นั่นเป็นกระต่ายที่น่ารักตัวหนึ่ง
เดิมเขาคิดแกะสลักมาหยอกให้มั่วเชียนเสวี่ยอารมณ์ดี
แต่ หนิงเซ่าชิงกลับทำเหมือนถงจื่อจิ้งเป็นอากาศ เมินผ่านเขาเสียอย่างนั้น!
บางที การที่เขาเร่งเดินทางมาโดยเฉพาะ ก็เพื่อมาประกาศอธิปไตยของตนเองกับถงจื่อจิ้ง
ปรับสีหน้าของตนเองเรียบร้อยแล้ว หนิงเซ่าชิงก็แย้มรอยยิ้มจางๆ ที่เจิดจ้าให้กับมั่วเชียนเสวี่ย
“เสวี่ยเสวี่ย จดหมายที่ส่งให้ข้านั้นกล่าวอันใด”
เดิมอารมณ์มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี เพียงแค่โศกเศร้าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นเอง
คราวนี้ เมื่อได้ยินหนิงเซ่าชิงถามถึงเรื่องนี้ ก็มีฟื้นคืนจากความโศกเศร้าเสียใจขึ้นมา มีสีหน้าเบิกบานใจทันที!
นางเดินตรงเข้าไปกอดแขนหนิงเซ่าชิง เล่าสิ่งที่ถงจื่อจิ้งเอ่ยให้นางฟังไม่หยุด
ด้วยความดีใจจึงละเลยถงจื่อจิ้งที่อยู่อีกด้านไป
ส่วนหนิงเซ่าชิงที่เห็นสายตามั่วเชียนเสวี่ยไม่มีใครอื่นนอกจากเขา ทั้งยังกอดแขนตนเองอย่างออดอ้อนเช่นนี้แล้ว ก็ดีใจมากขึ้นไม่น้อย!
จึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว และเผยสีหน้ายั่วยุลำพองใจใส่ถงจื่อจิ้ง
ถงจื่อจิ้งกลับทำราวกับไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางนั้น เก็บตุ๊กตาแกะสลักในมือ และจิบน้ำไปอึกหนึ่ง
หมัดของหนิงเซ่าชิงคล้ายกับต่อยลงบนนุ่น
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยรัวเป็นพรวนจนจบ จึงนึกถึงถงจื่อจิ้งได้ขึ้นมากะทันหัน!
กระตุกมือหนิงเซ่าชิงเดินไปตรงหน้าถงจื่อจิ้ง “โอ๊ย! ใช่แล้ว เซ่าชิง จื่อจิ้งมาเมืองหลวงแล้ว!”