เมื่อข่าวสงครามซีเหลียงส่งมา ฮ่องเต้ส่งกองทัพเหนือสามกองออกไปนั้น เมืองหลวงก็สั่งห้ามผู้คนออกจากจวนเวลาค่ำคืนแล้ว
เวลานี้มีงานพระศพฮองเฮา บนท้องถนนในยามค่ำคืนยิ่งเงียบสงัด
เสียงเกือกม้าขององครักษ์จึงดังเป็นพิเศษผ่านค่ำคืนและกำแพงจวน อีกทั้งยังชัดเจนขึ้นเมื่อฟังจากภายในจวนขององค์ชายห้า
ตามเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งขององค์ชายห้า บรรดาบุรุษที่รายล้อมเขาก็โยนคบเพลิงลงพื้นราวกับตัดสินใจบางอย่างได้
พื้นดินราวกับลุกเป็นไฟ
“องค์ชาย ทรงตัดสินพระทัยแล้วจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษผู้หนึ่งถาม
องค์ชายห้ามองไฟที่ลุกโชน พูดอย่างโกรธแค้น “เสด็จพี่กับเสด็จแม่ถูกทำร้าย ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด!”
แต่เล็กจนโต เสด็จแม่ก็ทรงเอ่ยกับเขา เสด็จพี่เป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุดบนโลกนี้ เขาต้องใช้ชีวิตปกป้องเสด็จพี่
เขาไม่อาจช่วยเสด็จพี่ได้ในหลายครั้ง เวลานี้เสด็จพี่กับเสด็จแม่ถูกคนทำร้าย แต่ยังคิดเพียงให้เขาหนีไป
เมื่อไม่มีเสด็จพี่และเสด็จแม่ เขาก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่อย่างไร
“ไม่มีชีวิตรอดด้วยกันก็ตายด้วยกัน!” เขาพูดอย่างชัดเจน
คนที่เป็นผู้นำกัดฟัน “องค์รัชทายาททรงมีพระคุณกับพวกเรา พวกเราก็ไม่อยากทิ้งเขาเช่นเดียวกัน เหมือนที่องค์ชายห้าทรงพูด ไม่มีชีวิตรอดด้วยกันก็ตายด้วยกัน”
คนรอบด้านต่างตะโกนขึ้นอย่างฮึกเหิม
ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็เป็นเรื่องง่าย
“องค์ชาย ฝ่าบาททรงส่งคนมาจับองค์ชายไม่ใช่หรือ พวกเราจะใช้โอกาสติดตามท่านเข้าวังหลวง” ชายที่เป็นผู้นำพูด “เข้าวังหลวงไปสังหารฉู่ซิวหยง ให้ฝ่าบาททรงคืนตำแหน่งให้องค์รัชทายาท”
องค์ชายห้ายิ้มเย็น “มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคิดจะคืนตำแหน่งให้องค์รัชทายาทอย่างเดียวหรือ เสด็จพ่อทรงชราแล้ว ถึงได้หลงกลแผนการของฉู่ซิวหยงจนปลดเสด็จพี่ ให้เขารีบลงจากบัลลังก์ไปใช้ชีวิตในบั้นปลายเสียเถิด”
การสังหารท่านอ๋อง บีบบังคับฮ่องเต้ หากอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องเปลี่ยนฮ่องเต้จึงจะได้
ชายที่เป็นผู้นำมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาฟังเสียงเกือกม้าที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ได้!” เขาพูดเสียงเบา “พวกเราจะคุ้มครององค์ชายห้าเข้าวังหลวง ช่วยองค์รัชทายาท!”
ตามคำพูดของเขา คนรอบด้านเปิดผ้าดำออก คบไฟที่ลุกโชนส่องสว่างคันธนูใหญ่หลายคัน
“ไม่เลว” องค์ชายห้าเดินเข้ามาดู พยักหน้าอย่างพอใจ “พวกเจ้านำอาวุธหนักในค่ายทหารออกมาได้”
ชายที่เป็นผู้นำยิ้มอย่างได้ใจ “เดิมทีไม่คิดว่าจะราบรื่นเพียงนี้ แต่บังเอิญประสบกับการบุกรุกของซีเหลียง กองทัพเหนือมีการเคลื่อนไหว ทางเมืองหลวงวุ่นวาย…อย่างไรแล้วโจวเสวียนก็ยังเด็ก ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ ทุกหนแห่งล้วนมีข้อบกพร่อง”
“ใช่” อีกคนก็อดพูดไม่ได้ “หากแม่ทัพหน้ากากเหล็กยังอยู่ อย่าว่าแต่ธนูใหญ่ พวกเราคงจะเข้ามาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
ดังนั้นแม่ทัพหน้ากากเหล็กตายได้ดีเสียจริง
องค์ชายห้าหัวเราะร่า “มันแสดงถึงสิ่งใด แสดงถึงองค์รัชทายาทเป็นโอรสแห่งสวรรค์ที่แท้จริง!” เขาจับคันธนูหนึ่งขึ้นมา “ผู้ใดก็กีดขวางเขาไม่ได้!”
…
นอกจากทหารองครักษ์ที่รีบเร่งออกจากวังหลวงแล้ว บนท้องถนนก็เต็มไปด้วยทหารและม้าที่เดินตรวจตราทั่วเมือง
“ระวังตัวให้มากกว่านี้” แม่ทัพตะโกนด้วยเสียงทุ้มขณะที่เขาขี่ม้าเดินไปรอบด้าน “พวกซีเหลียงคิดจะบุกรุกไม่ใช่แค่วันหรือสองวันแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะถูกกีดขวางไว้นอกซีจิง แต่อาจมีสายลับแอบเข้ามาในเมืองหลวง อีกทั้งยังมีเรื่องงานพระศพของฮองเฮา พวกเราต้องตรวจสอบและป้องกันอย่างเคร่งครัด”
บรรดาทหารต่างตอบรับอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาแบ่งออกเป็นสี่ขบวนกระจายไปคนละทิศทาง ด้านหลังมีเสียงเกือกม้าดังขึ้น ทหารขบวนหนึ่งใกล้เข้ามา
“ท่านโหวโจวให้พวกเรามาเสริมกองกำลัง” แม่ทัพพูดขึ้น พลันยกธงส่ายไปมา
แม่ทัพคนแรกจำธงได้ เขาพยักหน้า คราวนี้โจวเสวียนไม่ได้รับมอบหมายให้ไปซีจิงต่อสู้กับชาวซีเหลียง ฮ่องเต้ให้เขานั่งบัญชาการในเมืองหลวงเพราะเชื่อใจเขา อย่างไรแล้วระยะนี้เมืองหลวงก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย
“พวกเราจะไปเมืองใหม่” แม่ทัพที่มาเสริมนั้นพูดต่อ “ภายในเมืองมอบให้พวกท่านดูแล”
แม่ทัพคนแรกตอบรับ เรียกกองกำลังขบวนหนึ่งที่กำลังจะแยกออกไปกลับมา มองกองกำลังขบวนใหม่นี้มุ่งหน้าไปยังเมืองใหม่
เวลานี้เมืองใหม่เจริญรุ่งเรืองมากแล้ว แต่เนื่องจากมีคำสั่งห้ามออกจากจวนในยามวิกาล ร้านค้าปิดประตู บนท้องถนนไร้ซึ่งผู้คน ถึงแม้ภายในเรือนจำนวนมากมีไฟสว่างไสว แต่ล้วนกลายเป็นดวงไฟเล็กๆ อยู่ภายใน ความมืดมิดแทบจะกลืนกินทั่วถนน
เมื่อกองกำลังขบวนนี้เดินทางผ่านถนนหนึ่ง บนถนนมีเสียงตะโกนดังขึ้น ภายในความมืดมีกองกำลังสวมชุดเกราะอยู่
“ผู้ใดกัน” ทหารที่ลาดตระเวนตะโกนถาม
“องครักษ์” ภายในความมืดมีคนเดินขึ้นหน้าแสดงป้ายคาดเอว “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้คุมตัวองค์ชายห้าเข้าวังหลวง ผู้ไม่เกี่ยวข้องหลบหลีกไปให้หมด”
พวกเขาคงจะถามถึงพระราชสาส์นของฮ่องเต้…คนผู้นี้มือหนึ่งถือป้ายคาดเอว อีกมือจับไว้ที่เอว เวลานี้พวกเขายังไม่ได้รับพระราชสาส์น หวังว่าจะสามารถรับมือได้เมื่อบอกว่าฝ่าบาทไม่ทรงมอบพระราชสาส์นมาให้
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ บรรดาทหารลาดตระเวนเพียงแค่มองป้ายคาดเอวจากระยะไกล จากนั้นจึงถอยหลังไป
คนที่ถือป้ายคาดเอวโล่งใจ ในขณะที่กำลังจะถอยหลังกลับเข้าความมืดอย่างช้าๆ นั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากส่วนลึกในยามค่ำคืนด้านหลัง ปะปนด้วยเสียงกระแทกและเสียงตะโกนของคน…
ถึงแม้เสียงเหล่านี้ถูกข่มลงไปอย่างรวดเร็ว
แต่…
คนที่ถือป้ายคาดเอวเกร็งแผ่นหลังอีกครั้ง หากทหารลาดตระเวนเหล่านี้ต้องการตรวจดู…
เพียงแต่บรรดาทหารลาดตระเวนเหล่านี้เหมือนจะไม่สนใจ พวกเขาถอยหลังหลบหลีก
มันทำให้คนที่เฝ้าอยู่บนท้องถนนในเดิมทีตกตะลึงเล็กน้อย
คนผู้หนึ่งในเงามืดถามขึ้น “ทหารด้านล่างของเสี้ยวเว่ยประตูเมืองยโสโอหังเสมอมา ไม่มีเรื่องก็ยังจะหาเรื่อง เหตุใดเวลานี้ได้ยินการเคลื่อนไหวจึงไม่ถามไม่สนใจ”
แม้จะกลบเกลื่อนเสียงเหล่านั้นอย่างไร หากเป็นทหารย่อมสังเกตได้ว่ามีคนกำลังต่อสู้กัน
คนที่ถือป้ายคาดเอวเข้าใจ เขาพูดเสียงเบา “องค์ชายห้าเป็นนักโทษ เวลานี้องค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาอาจเข้าใจผิดว่าการคุมตัวเข้าวังหลวงของฮ่องเต้มีความหมายอย่างอื่น”
อาทิคาดโทษ หากเป็นการคาดโทษ องค์ชายห้าย่อมต้องขัดขืน มีขัดขืนย่อมมีการปะทะ…
บรรดาทหารลาดตระเวนยโสไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องของราชวงศ์
ทหารลาดตระเวนเหล่านี้ถอยไปเฝ้าอย่างสงบอยู่ด้านข้าง ปล่อยให้เสียงการปะทะจากระยะไกลดังขึ้นและเงียบลง ยามค่ำคืนตกอยู่ในความเงียบสงัด จากนั้นเสียงเกือกม้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง…
องครักษ์สวมชุดเกราะนับสิบขี่ม้ามา ความมืดและหมวกปิดบังใบหน้าของพวกเขา มีเพียงคนที่ถูกมัดเอาไว้บนม้าตัวตรงกลางที่เด่นชัด
เขาสวมชุดผ้าป่าน ผมเผ้ากระเซิงเล็กน้อย ใบหน้าที่ถูกส่องด้วยคบเพลิงนั้นมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ สีหน้าของเขาโหดเหี้ยม
เขาคือองค์ชายห้าที่ไม่เห็นหน้ามานาน
บรรดาทหารลาดตระเวนที่เห็นองค์ชายห้ายิ่งหลีกไปสองข้างทาง ปล่อยให้พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านไป
องครักษ์สองคนท้ายขบวนแอบหันหลังกลับมามอง เห็นทหารลาดตระเวนขบวนนี้ตรวจตราต่อหลังจากพวกเขาจากมา
พวกเขาสบตากัน ทำสัญลักษณ์มือเป็นเชิงว่าทำสำเร็จ คบเพลิงสั่นไหว ส่องให้เห็นใบหน้าได้ใจภายใต้หมวกของพวกเขา รวมทั้งเสื้อผ้าที่แตกต่างกันภายใต้ชุดเกราะ…
ชุดเกราะเหล่านี้ไม่ใช่ของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ใช่องครักษ์จริงๆ
องครักษ์ที่มุ่งหน้ามาคุมตัวถูกหลอกล่อให้เข้าไปในจวนขององค์ชายห้าก่อนหน้านี้ คันธนูที่รออยู่นั้นยิงออกมาทันที มีคนตายในทันที แต่ก็มีคนตายจากการถูกดาบฟัน จากนั้นถูกถอดชุดเกราะและอาวุธโยนเข้าห้องที่ว่างเปล่า
ต่อมาเป็นการผ่านด่านประตูวังหลวงก็จะสามารถเข้าวังหลวงได้อย่างราบรื่น
…
วังหลวงไม่ได้ถูกความมืดมิดกลืนกิน ทั้งภายในและภายนอกเต็มไปด้วยคบเพลิงที่ลุกโชน ทำให้ทั้งภายในและภายนอกวังหลวงเหมือนกลางวันที่สว่างไสว
เมื่อยืนอยู่บนกำแพงวัง สามารถมองเห็นกองกำลังที่เดินขวักไขว่ไปมาอยู่รอด้านในของวังหลวงได้อย่างชัดเจน
โจวเสวียนหรี่ตาลง เมื่อมองผ่านความสว่างตรงหน้าไปยังทิศทางของเมืองใหม่ เขาราวกับเห็นแสงไฟระยิบระยับสว่างขึ้น บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม
“ไป” เขาหันหลังพลันพูด “ข้าจะไปเฝ้าประตูวัง”
บรรดาทหารข้างกายต่างรายล้อม เมื่อเดินไปถึงประตูวัง ชิงเฟิงก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก “นายน้อย”
โจวเสวียนมองเขาลงมาจากม้า พลันขมวดคิ้ว “ไม่ได้ให้เจ้าไปเฝ้าอยู่นอกเมืองหลวงหรือ”
ชิงเฟิงมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน “นายน้อย ให้ข้าอยู่กับท่านเถิด”
“ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบ” โจวเสวียนรำคาญ “เวลานี้สิ่งที่เจ้าต้องทำไม่ใช่ติดตามข้า หากแต่ทำงานให้ข้า”
“แต่เห็นได้ชัดว่านายน้อยไม่ให้ข้าทำงาน” ชิงเฟิงตะโกน พลันจับโจวเสวียนเอาไว้ “นายน้อย ท่านมีเรื่องใดปิดบังข้า”
โจวเสวียนหัวเราะ “พูดเรื่องใดกัน เหตุใดข้าต้องปิดบังเจ้า”
ชิงเฟิงจับเขาไม่ปล่อย หากแต่เข้าใกล้มากขึ้น “ท่านบอกข้ามา ก่อนหน้านี้มีกองกำลังหนึ่งเข้าเมือง ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเขาเป็นผู้ใดกัน”
โจวเสวียนมองเขา “ในค่ายมีคนจำนวนมาก ข้ายังจำไม่หมด เจ้าไม่เคยเห็นก็ไม่แปลก”
“นายน้อย ข้าติดตามท่านตั้งแต่วันแรกที่ท่านเข้าค่ายทหาร!” ชิงเฟิงตะโกน องครักษ์หนุ่มที่อารมณ์ดีอยู่เสมอเศร้าโศกในเวลานี้ “ข้าไม่มีทางไม่รู้จักกองกำลังที่ถือคำสั่งของท่านได้! นายน้อย ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่ ระยะนี้กองกำลังข้างกายท่านเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ กองกำลังเหล่านี้มาจากที่ใดกัน”
โจวเสวียนมองเขาราวกับขุ่นเคือง “ไม่มีเรื่องใดปิดบังเจ้าได้เลยเสียจริง” แต่ก็ราวกับหมดหนทาง “ได้ ข้าบอกเจ้า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชิงเฟิงจึงหยุดฟัง แต่ในเวลานี้ มือของโจวเสวียนยกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันกระแทกเข้ากับหลังคอของเขา ร่างกายของชิงเฟิงอ่อนระทวย ล้มลงบนตัวของโจวเสวียน
ร่างกายของโจวเสวียนเหยียดตรง สีหน้าเรียบเฉย
ก่อนหน้านี้ตอนที่ชิงเฟิงพูดเสียงดัง รวมถึงตอนที่โจวเสวียนตีชิงเฟิงจนสลบ ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ยืนอยู่ข้างตัว หรือว่าเป็นทหารที่ยืนเฝ้าอยู่สองข้างของประตูวังก็ราวกับไม่เห็นหรือไม่ได้ยินสิ่งใด
จนกระทั่งโจวเสวียนพูด “นำตัวเขาไปขังในค่าย” บรรดาทหารจึงตอบรับ
มีทหารสองคนเดินเข้ามาลากชิงเฟิงออกไป ร่างของโจวเสวียนก็เอนตามไปด้วย เขาก้มหน้ามอง ที่แท้มือของชิงเฟิงเกี่ยวอยู่ที่สายคาดเอวของเขา…ราวกับไม่ยอมปล่อยไป
โจวเสวียนเหลือบมองชิงเฟิง เขาเคยมีสหายมากมาย แต่นับจากท่านพ่อตาย เขาก็เหลือตัวคนเดียว จะว่าไปหลายปีนี้ คนที่อยู่เคียงข้างเขาก็คือชิงเฟิง...
ชิงเฟิง โจวเสวียนยื่นไปดึงมือของอีกฝ่ายออก คงต้องโทษที่เจ้าโชคร้าย ติดตามเขามานานหลายปี มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสได้สร้างความดีความชอบ สุดท้ายยังต้องเดือดร้อน…
หลังจากค่ำคืนนี้ ขอให้เจ้าโชคดี สามารถมีชีวิตต่อได้
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่าน โจวเสวียนจึงพูดเสริมขึ้น “มัดเขาแล้วขังเอาไว้”
ทหารสองคนตอบรับ พลันลากชิงเฟิงจากไป
โจวเสวียนเบนสายตากลับมา เขามองทหารอีกคนข้างกาย ก่อนจะมองบรรดาทหารที่เฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง ชิงเฟิงพูดถูก ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่พวกเขาไม่รู้จัก เพราะว่าทหารเหล่านี้เป็นกองกำลังที่ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนซ่อนเอาไว้
ตอนที่เขาบุกจับกุมท่านอ๋องฉี เขาไม่ได้ประหารท่านอ๋องฉี ท่านอ๋องฉีจึงมอบกองกำลังที่ซ่อนเอาไว้ให้แก่เขา…แน่นอนภายในกองกำลังนี้ย่อมมีสายลับที่ท่านอ๋องฉีแทรกแซงเอาไว้ แต่หลังจากผ่านการกวาดล้างหลายรอบ กองกำลังส่วนใหญ่ก็กลายเป็นของเขาแล้วในเวลานี้
นับแต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กตาย เขาครอบครองอำนาจทหาร สลับปรับเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ กองกำลังเหล่านี้ก็สามารถเฝ้าระวังเมืองหลวงได้อย่างเข้มงวดในเวลาที่วิกฤตแล้ว
ซึ่งหมายความว่า วันนี้เวลานี้ วังหลวงอยู่ภายในการควบคุมของเขาแล้ว
โจวเสวียนหยิบตราคำสั่งออกมา “เฝ้าเมืองหลวงไว้อย่างเข้มงวด ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าออกได้”
ทหารรับตราคำสั่งจากไป
จากนั้นมีกองกำลังหนึ่งใกล้เข้ามา โจวเสวียนมองไป ก่อนจะเห็นองค์ชายห้าที่อยู่ท่ามกลางองครักษ์ เขาตะโกน “อามู่”
องค์ชายห้ามองเขาอย่างเย็นชา พลางถ่มน้ำลาย
โจวเสวียนก็ถ่มน้ำลายกลับอย่างไม่เกรงใจ เขาชี้นิ้ว “ลงม้า เจ้านักโทษ!”
ไม่ต้องให้ทหารเฝ้าเมืองขึ้นหน้า บรรดาองครักษ์ก็ลงจากม้า พลันดึงองค์ชายห้าลงมาทันที…เกรงว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียวจะถูกทหารเฝ้าประตูเมืองเข้าใกล้
“โจวเสวียน เจ้าอย่าได้ใจไป” องค์ชายห้าตะโกนด่าด้วยความโกรธ
โจวเสวียนยิ้มอย่างมีนัย “ข้าไม่ได้ถูกปลดเป็นสามัญชน เหตุใดจึงได้ใจไม่ได้”
องค์ชายห้าทำท่าอยากจะกระโจนเข้ามากัดเขา แต่เสียดายที่ถูกบรรดาองครักษ์จับตัวเอาไว้แน่น
โชคดีที่โจวเสวียนก็รู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะสมกับการถกเถียง เขาไม่พูดมากบอกให้พวกเขาเข้าวัง แม้แต่พระราชสาส์นก็ไม่ได้ตรวจดู ยิ่งไม่สนใจจำนวนองครักษ์จะมากขึ้นหรือไม่
บรรดาองครักษ์โล่งใจอีกครั้ง พวกเขาคุมตัวองค์ชายห้าเดินเข้าไปอย่างไม่ตระหนก
โจวเสวียนมองแผ่นหลังของพวกเขา มุมปากเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
ประตูวังหลวงปิดลงอย่างช้าๆ เรื่องสนุกเริ่มขึ้นแล้ว
แต่ว่าก่อนดูเรื่องสนุก ยังมีอีกเรื่อง
โจวเสวียนเดินเข้าไปในวังหลวง ไม่นานนักก็มาถึงสำนักราชทัณฑ์
ทางนี้ยังคงมืดมิดเหมือนเคย เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน
แต่มันก็ไร้ผู้คนจริงๆ
โจวเสวียนยืนอยู่ในห้องขังพร้อมกับคบเพลิงในมือ มองดูห้องที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าดำทะมึน
เฉินตันจูเล่า…