ถึงแม้ดูเหมือนว่าเฉินตันจูจะถูกลืมเลือนไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่เคยทรงเอ่ยถึงนาง แต่ความจริงแล้วสถานที่นางถูกคุมขังมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ไม่ใช่ผู้ใดเข้ามาก็ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพานางจากไป
“ฉู่ซิวหยง!” โจวเสวียนโกรธจนถีบประตูห้องขัง “เวลานี้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น มีคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นแสงไฟจึงตกใจ
โจวเสวียนจับเขาเอาไว้ในทันที คบเพลิงส่องสว่างใบหน้าของคนผู้นี้
“เสี่ยวชวี?” โจวเสวียนขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ได้ปล่อยมือออก หากแต่จับให้แน่นกว่าเดิม “ตันจูเล่า เวลานี้พานางไปอยู่ข้างพวกเจ้าจะอันตรายเพียงใด! ส่งนางมาให้ข้า”
เสี่ยวชวีถูกบีบคอจนแทบจะขาดอากาศหายใจ เขาเค้นเสียงออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ท่านโหว ข้ามาพาคุณหนูตันจูออกไป แต่ข้าเพิ่งมา คุณหนูตันจูเล่า”
โจวเสวียนฟังเข้าใจแล้ว เขาจ้องมองอีกฝ่าย “พวกเจ้าไม่ได้พาออกไปหรือ” เขาปล่อยมือ
เสี่ยวชวีหอบหายใจ มองไปยังห้องขัง “ข้าเพิ่งมา เป็นไปไม่ได้ ยังมีผู้ใดอีก”
องค์รัชทายาทที่ถูกปลดหรือ เป็นไปไม่ได้ เขาตัวคนเดียว อีกทั้งเพิ่งเข้าวังมา
องค์ชายห้ายิ่งเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้เขาจะมีคนติดตามมา แต่ไม่มีเวลา…
โจวเสวียนบีบคอเสี่ยวชวีอีกครั้ง พลางยิ้มเย็น “ฉู่ซิวหยงบอกว่าวังหลวงปลอดภัยที่สุดไม่ใช่หรือ ข้าบอกแล้วว่าให้พาคุณหนูตันจูออกไปให้เร็ว!”
ถึงแม้เสี่ยวชวีจะถูกบีบคอเอาไว้ แต่สีหน้าของเขาก็ไร้ความเกรงกลัว “ท่านโหว เวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูตันจู ท่านทำเรื่องต่อไปให้ดีเถิด”
ทั้งสองคนกำลังถกเถียงอยู่ในห้องขัง ด้านนอกมีเสียงทหารของโจวเสวียนดังขึ้น
“ท่านโหว” เขาตะโกนอย่างร้อนใจ “เรื่องผิดปกติ…”
โจวเสวียนรำคาญใจที่ถูกขัด เขาถีบเสี่ยวชวีเข้าไปในห้องขัง พลันเดินออกมา “เรื่องใด ไม่ต้องสนใจสิ่งอื่น เฝ้าประตูวังหลวงเอาไว้ก็พอ”
คนที่มาพูด “ประตูวังยังไม่มีเรื่อง แต่ด้านนอกประตูเมืองผิดปกติ”
นอกประตูเมืองหรือ โจวเสวียนเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอก ท้องฟ้าที่มืดมิดราวกับน้ำหมึกมีแสงไฟสว่างขึ้นระยิบระยับ
…
วังหลังเหมือนจะยิ่งสว่างขึ้น ฉู่ซิวหยงยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักมองดูองครักษ์ที่คุมตัวองค์ชายห้ามุ่งหน้าไปยังที่ตั้งหีบพระศพของฮองเฮา
“องค์ชาย” เสี่ยวชวีวิ่งมาอย่างรีบร้อน
ฉู่ซิวหยงถาม “จัดการเรื่องคุณหนูตันจูเสร็จแล้วหรือ”
เสี่ยวชวีส่ายหน้า “คุณหนูตันจูหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฉู่ซิวหยงผงะ
“ไม่ใช่โจวเสวียน” เสี่ยวชวีรีบพูด แต่เมื่อครุ่นคิดก็ส่ายหัว “ผู้ใดจะรู้ว่าเขาตั้งใจโกหกหรือไม่”
เมื่อองค์ชายนึกถึงเฉินตันจูก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เด็ดขาด เวลานี้ไม่ควรแบ่งปันความสนใจไปให้คุณหนูตันจู แต่เพื่อปลอบองค์ชาย เขายังคงต้องจัดการเรื่องของคุณหนูตันจู
“หากอยู่ในมือของโจวเสวียนก็ดี แต่หากไม่อยู่ ทางองค์รัชทายาทและองค์ชายห้าคงไม่…” เสี่ยวชวีตั้งใจวิเคราะห์ เตรียมตัวและเตรียมใจในการแบ่งกำลังคนไปตามหา
ฉู่ซิวหยงกลับส่ายหน้า พลางพูดขัดเขา “ไม่ต้องคิดแล้ว”
เอ๊ะ ไม่สนใจคุณหนูตันจูแล้วหรือ เสี่ยวชวีไม่คุ้นชินเล็กน้อย คิดว่าตนเองได้ยินผิด
“อันที่จริงตรงนี้ไม่มีที่ใดปลอดภัย” ฉู่ซิวหยงยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ข้าก็ดี โจวเสวียนก็ดี เมื่อเทียบกับองค์รัชทายาท องค์ชายห้ารวมทั้งฝ่าบาท สำหรับคุณหนูตันจูแล้วล้วนเหมือนกัน”
อย่างนั้น…เสี่ยวชวีปลอบเขา “ไม่แน่ว่าคุณหนูตันจูอาจหนีไปเอง นางหลบซ่อนตัวเอาไว้อาจปลอดภัยยิ่งกว่า”
ฉู่ซิวหยงถอนหายใจ “ความจริงแล้ว ไม่ใช่ข้าปกป้องคุณหนูตันจูได้ แต่ข้า หรือรวมไปถึงคนอีกมากปลอดภัยได้เพราะคุณหนูตันจู…”
ยิ่งฟังไม่เข้าใจไปใหญ่ เสี่ยวชวีฉงนเล็กน้อย ดังนั้นยังเป็นเหมือนเดิม องค์ชายจะกลายเป็นคนไม่เด็ดขาดเมื่อพบคุณหนูตันจู แต่เมื่อไม่พบก็เป็นเหมือนกัน เขารีบเบี่ยงเบนประเด็น
“องค์ชาย กระหม่อมแอบได้ยินคนของโจวเสวียนบอกว่าสถานการณ์ด้านนอกผิดปกติ” เขาพูดเสียงเบา “แต่กระหม่อมถามเขา เขาก็บอกไม่มีเรื่องใด ให้พวกเราวางใจ…คนผู้นี้ช่างไม่น่าไว้ใจ”
ฉู่ซิวหยงยิ้ม “ไม่ต้องสนใจ คนเข้ามาแล้ว เมื่อเรื่องสนุกเปิดฉากก็หยุดไม่อยู่แล้ว ผู้ใดเชื่อถือได้หรือไม่ ผู้ใดกำลังคิดเรื่องใด ไม่สำคัญ”
พูดพลางมองไปยังทิศทางของตำหนักฮองเฮา
“องค์ชายห้าอาละวาดแล้วหรือไม่”
…
องค์ชายห้าเดินเข้าไปในโถงตั้งหีบพระศพของฮองเฮา บนตัวของเขายังถูกมัดด้วยเชือก เขาจ้องมองหีบพระศพ เครื่องตกแต่ง ธูปที่เผาไหม้ ราวกับให้มั่นใจว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้วจริงๆ
แต่เขาไม่ร้องไห้เหมือนองค์รัชทายาทที่ถูกปลด อีกทั้งไม่ได้คุกเข่า หากแต่เงยหน้าส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“ผู้ใดทำร้ายเสด็จแม่ของข้า!”
ตามเสียงตะโกนโหวกเหวก เขายกเท้าเตะไปทั่ว จนกระทั่งเตะโต๊ะบูชาล้มลง
ผู้คนในห้องโถงต่างตระหนก คืนนี้ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้องค์รัชทายาทที่ถูกปลดและองค์ชายห้าเฝ้าโถงตั้งหีบพระศพของฮองเฮา ผู้อื่นต่างถอยออกไป นอกจากขันทีและนางใน ก็มีเพียงขุนนางจากสำนักเส้าฝู่ไม่กี่คนที่มาเฝ้า พวกเขาไม่อาจรั้งองค์ชายห้าที่บ้าคลั่งได้ ทำได้เพียงดับไฟอย่างโกลาหล เพื่อป้องกันเกิดเพลิงไหม้ทั้งตำหนัก
ฉู่จิ่นหยงเดินขึ้นหน้าจับองค์ชายห้าเอาไว้
“เสด็จแม่ทรงปลิดชีพตนเอง” ฉู่จิ่นหยงหลั่งน้ำตา “หากจะบอกว่าผู้ใดทำให้เสด็จแม่สิ้นพระชนม์ก็คงต้องเป็นข้า ข้าทำให้เสด็จแม่ทรงผิดหวัง ข้าทำผิดต่อนาง...”
องค์ชายห้าผลักเขาออก “เสด็จพี่อย่าพูดเหลวไหล เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการบีบบังคับให้พวกเราตาย! เสด็จแม่ถูกคนลอบทำร้าย อย่าคิดจะให้เสด็จแม่ของกระหม่อมต้องตายอย่างไม่เป็นธรรม!”
พูดพลางสะบัดฉู่จิ่นหยงออก เขาทั้งอาละวาดทั้งพุ่งไปชนหีบพระศพ
ทางนี้เกิดความโกลาหลอย่างหนัก ขุนนางจากสำนักเส้าฝู่ทำได้เพียงทูลรายงานต่อฮ่องเต้ เดิมทีฮ่องเต้ก็ยังไม่ได้บรรทม เขาโยนรายงานทางทหารจากซีจิงลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันต้องไม่สงบ! นำตัวเขามา!”
…
ภายในตำหนักใหญ่สว่างไปด้วยแสงไฟ ฮ่องเต้นั่งอยู่บนที่ประทับ ภายในตำหนักบรรทมไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนตำหนักใหญ่ ด้านหลังที่ประทับมีฉากกั้นที่ใหญ่และงดงาม
องค์ชายห้าถูกบรรดาองครักษ์มัดและคุมตัวมา ฉู่จิ่นหยงเดินตามอยู่ด้านหลัง บรรดาพระสนมและท่านอ๋องได้ยินข่าวจึงรีบเดินทางมา
องค์ชายห้าถูกผลักเข้าตำหนักใหญ่
“เดรัจฉาน” ฮ่องเต้ตะโกน “คุกเข่าลง”
องค์ชายห้าถูกองครักษ์ที่คุมตัวเข้ามากดลงบนพื้น
ฉู่จิ่นหยงก็คุกเข่าลง เขาก้มกราบด้วยผมที่กระเซิง “เสด็จพ่อ เป็นความผิดของกระหม่อม”
องค์ชายห้าคุกเข่าพลันยิ้มเย็นยะเยือก “ท่านผิดเรื่องใด! ท่านถูกคนใส่ร้าย กระหม่อมถูกคนใส่ร้าย เสด็จแม่ก็สิ้นพระชนม์เพราะถูกคนลอบทำร้าย…” เขามองไปยังที่ประทับ “เสด็จพ่อ พระองค์ยังจะปกป้องผู้ร้ายที่แท้จริงอีกนานเพียงใด!”
ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “น่าขันเสียจริง เจ้าลอบสังหารฉู่ซิวหยงเป็นเรื่องเท็จหรือ” เขามองไปทางฉู่จิ่นหยง “เจ้าลอบสังหารไต้ฟูที่รักษาให้ข้าเป็นเรื่องเท็จหรือ เหตุใดจึงกลายเป็นผู้อื่นลอบทำร้ายพวกเจ้า ผู้ใดจะทำร้ายพวกเจ้าได้กัน”
องค์ชายห้ามองไปยังบรรดาพระสนมและท่านอ๋องที่ยืนอยู่สองข้าง สายตาจับจ้องไปยังฉู่ซิวหยง เขาตะโกน “ฉู่ซิวหยง เจ้า เจ้าทำให้เสด็จแม่ข้าต้องตาย!”
ฉู่ซิวหยงยืนอยู่กับท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลู เมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชายห้า ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องหลูหลบไปด้านข้างในทันที…
มันเป็นความแค้นระหว่างองค์ชายห้ากับฉู่ซิวหยง ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
สีหน้าของฉู่ซิวหยงเรียบเฉย เขาเดินออกมาเผชิญหน้ากับสายตาขององค์ชายห้า “เวลานี้เจ้าทำร้ายคนด้วยการพูดจาเหลวไหลแล้วหรือ ข้าทำร้ายฮองเฮาอย่างไรกัน”
องค์ชายห้ามองฉู่ซิวหยงที่เดินออกมา เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด หัวไหล่ ลำคอ และร่างกายของเขาเหยียดออก ตามการเคลื่อนไหวของเขา เชือกที่มัดอยู่บนตัวเขาคลายออกและหล่นลงบนพื้น
มือของเขายื่นออกมา หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากเสื้อ
คนรอบด้านตื่นตระหนก มีคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
เกิดเรื่องใดขึ้น
องค์ชายห้ามีมีดได้อย่างไร
เหตุใดองค์ชายห้าจึงนำมีดเข้าวัง
“เจ้าทำร้ายฮองเฮาอย่างไร ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ และข้าก็ไม่ต้องการถกเถียงกับเจ้า” องค์ชายห้าสะบัดมีด พลางมองฉู่ซิวหยงด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพียงแค่ต้องการฆ่าเจ้า!”
ผู้คนที่ตกตะลึงตั้งสติได้ เสียงกรีดร้องยิ่งดังขึ้น พระสนมสวีพุ่งตัวมาทางนี้
ฮ่องเต้ที่อยู่บนที่ประทับตะโกนเสียงดัง “จับมันเอาไว้!”
เสียงชุดเกราะและอาวุธดังขึ้น องครักษ์ที่คุมตัวองค์ชายห้าเข้ามาเดินขึ้นหน้า พวกเขาไม่ได้จับองค์ชายห้าเอาไว้ หากแต่ล้อมรอบฉู่ซิวหยง
ในเวลาเดียวกัน องครักษ์หลายสิบคนก็หลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก พวกเขายังคงไม่ได้พุ่งตัวเข้ามาจับองค์ชายห้า หากแต่ปิดบังประตูของตำหนักใหญ่เอาไว้ ดาบยาวส่องประกายเงาเย็นเยียบอยู่ภายในตำหนักอย่างพร้อมเพรียง
เสียงโหวกเหวกหายไปทันที ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงัด
เกิดเรื่องใดขึ้น องครักษ์เหล่านี้ฟังผิดหรือ
ไม่ องครักษ์เหล่านี้ไม่ได้ฟังผิด ทุกคนภายในตำหนักต่างรู้ดีแก่ใจ ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาซีดเผือด
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนที่ประทับก็ราวกับตกใจ เขามองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง
องค์ชายห้าส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ชี้มีดในมือไปทางฉู่ซิวหยง
“ฉู่ซิวหยง! วันนี้เจ้าต้องตาย!”