ในเวลาเดียวกันนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ไม่รู้ว่าองค์ชายสามมีแผนการจะมอบดอกกุหลาบให้นางกำลังกวาดสายตามองกลุ่มคนในห้องด้วยสายตาคมกริบอย่างเย็นชา
เหล่าผู้นำพวกนั้นฉลาดพอที่จะรู้ว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าหมดอำนาจแล้ว พวกเขาจึงค่อยๆ ยืนขึ้นทีละคน พร้อมประกาศก้องว่าทายาทตระกูลเฮ่อเหลียนผู้นี้จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับตระกูลของเรา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่หลงกลพวกเขา นางรู้ดีว่าแม้คนพวกนี้จะสามารถใช้งานได้ แต่พวกเขาไม่เคยเชื่อใจได้ ดังนั้นนางจึงหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประมุข นางยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า ”ข้ามั่นใจว่าพวกท่านทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่เคยเข้าร่วมการประชุมประจำตระกูลมาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่รู้เรื่องในตระกูลมากนัก…”
หนึ่งในนั้นเริ่มแสดงความซื่อสัตย์ภักดีออกมาก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้พูดจบเสียอีก ”คุณหนูใหญ่ ท่านวางใจได้เลยขอรับว่าตราบใดที่มีพวกเราอยู่ ทุกอย่างจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน”
“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าพูดได้ถูกต้องทีเดียว! คุณหนูใหญ่ขอรับ ตราบใดที่มีพวกเราอยู่ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดขอรับ!” อีกคนก็พูดขึ้นมาเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองผู้นำทั้งสองคนนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงไม่เลือนหายไป ”เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอให้พวกท่านทุกคนชี้แจงให้ข้าทราบด้วยว่าพวกท่านมีอสังหาริมทรัพย์อะไรอยู่ในครอบครองบ้าง”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้นำส่วนใหญ่ก็ถึงกับแข็งค้างไป พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนางจะใช้อำนาจอันเหนือกว่านั้นกับพวกเขาทันทีที่นางก้าวขึ้นมามีอำนาจ!
การชี้แจงว่าทรัพย์สินของตัวเองนั้นมีอะไรบ้างไม่ต่างอะไรกับการเปิดโปงความลับของตัวเอง!
ผู้นำเหล่านั้นมองหน้ากันพร้อมกับนึกเสียใจที่ตอบรับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยไปเมื่อครู่
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับออกคำสั่งกับข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางราวกับเตรียมแผนการทุกอย่างเอาไว้แล้วว่า ”แจกกระดาษกับพู่กันให้ผู้นำทุกคน พวกเขาจะได้ไม่ตกหล่นอะไรไป”
การทำเช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่มีทางตบตานางได้!
บรรดาผู้นำกัดฟันกรอด และเก็บความเสียใจไว้กับตัวเอง พวกเขาไม่ควรเลือกปีศาจขึ้นมาเป็นประมุขเพียงเพราะความโลภมากเลย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยอาจดูเป็นคนสบายๆ และไร้พิษภัย แต่ในความเป็นจริงนั้นนางมีบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจบอกได้ว่าคืออะไร และสิ่งนั้นทำให้พวกเขาต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างแน่นอน!
“คุณหนูใหญ่!” ผู้นำเจ้าของใบหน้าเจ้าเนื้อและพุงขนาดใหญ่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ”หากท่านบีบบังคับพวกข้าเช่นนี้ แล้วท่านคาดหวังจะให้พวกข้าทำงานกันอย่างไรในอนาคตเล่าขอรับ”
รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยไปไม่ถึงดวงตา ”บีบบังคับหรือ ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าปกติแล้วพวกท่านทำอะไรกันบ้าง มันจะกลายเป็นการบีบบังคับไปได้อย่างไร”
“ท่านกำลังให้พวกเราเขียนทรัพย์สินของตัวเองลงไป นั่นไม่ถือว่าเป็นการบีบบังคับหรือ” ผู้นำคนนั้นพูดด้วยความกระวนกระวาย
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเริ่มแสดงอาการกระสับกระส่ายและความไม่สบายใจออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาในมือลงอย่างใจเย็น ”ต้าสง เหล่าอิง แสดงหลักในการทำงานของข้าให้ผู้นำหวังดูสิ”
ทุกคนยังไม่ทันทำความเข้าใจกับความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของนางได้เลยด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งเข้าเสียก่อน
ชายสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของผู้นำหวัง
แต่ละคนถืออาวุธหน้าตาเหมือนท่อยาวสูงขนาดเท่าตัวคนเอาไว้ในมือ แค่มองเห็นภาพนั้นก็ชวนให้นึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ลงมือ”
มันเป็นคำพูดง่ายๆ เพียงคำเดียว
ทันใดนั้นผู้นำหวังก็ถูกชายคนหนึ่งถีบจนกระเด็นออกไปหลายฉื่อ
บรรดาผู้นำที่คิดจะต่อต้านนางถึงกับตัวแข็งอยู่กับที่ และมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความคิดที่แตกต่างกันไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า ”ข้าเกลียดความรุนแรงและการฆ่าฟัน ข้าจะไม่ลงมือหากไม่ถูกบีบบังคับจนถึงที่สุดจริงๆ ดังนั้นข้าหวังว่าพวกท่านจะเข้าใจ”
บรรดาผู้นำทั้งหลายนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิมของตนทีละคน
พวกเขาลืมไปได้อย่างไรว่ากองกำลังลับยอมรับนางเป็นเจ้านายของพวกเขาแล้ว!
จากวันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่พวกเขาจะลงมือทำอะไร พวกเขาคงต้องคำนึงถึงผลลัพธ์อันอันตรายถึงชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญแล้วกระมัง
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนเห็นร่างของชายชราพร้อมไม้เท้าหัวมังกรในมือกำลังออกคำสั่งอยู่ในตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวย!
เหงื่อเย็นๆ ปกคลุมไปทั่วหน้าผากของพวกเขาพร้อมกับความกดดันและความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก อย่างไรพวกเขาส่วนใหญ่ก็ทำให้นายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อนที่เลี้ยงดูและฝึกฝนตัวเองมาต้องผิดหวัง
จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าทำไมกองกำลังลับถึงมาอยู่ที่นี่ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังแสดงพลังอำนาจของตัวเองออกมาให้พวกเขาดู!
นางกำลังบอกให้พวกเขาอย่าแตกแถว มิฉะนั้นชีวิตของพวกเขาจะต้องตกอยู่ในอันตราย!
แผ่นหลังของลูกน้องคนสนิทที่เคยรับใช้เฮ่อเหลียนกวงเย่ามาก่อนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาตัวสั่นขณะเขียนข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบลงในกระดาษ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองกระดาษที่รวบรวมมาพร้อมกับเคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองครั้งด้วยความพอใจ แล้วเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสุภาพว่า ”ดี ข้าเชื่อว่าตระกูลเฮ่อเหลียนจะมีอนาคตที่ดีขึ้นหากได้รับความร่วมมือจากพวกท่านทุกคน”
“ทุกอย่างเป็นเพราะสติปัญญาของคุณหนูใหญ่ต่างหากล่ะขอรับ” ผู้นำเหล่านั้นฝืนปั้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าขณะที่รู้สึกขมขื่นเงียบๆ อยู่ในใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองต้าสงและคนอื่นๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”พวกเจ้าเก็บปืนได้แล้ว”
แกร๊ก!
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่แค่เสียงจากปืนพวกนั้นดังขึ้นครั้งเดียว บรรดาผู้นำเหล่านั้นก็กลัวแทบตายเสียแล้ว
แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะได้เป็นประมุข แต่นางก็ไม่มีทั้งตำแหน่งและผลงานใดๆ ในราชสำนัก
ในฐานะประมุขหน้าใหม่ไร้ซึ่งตำแหน่งชื่อเสียงหรือผลงาน นางจำเป็นต้องทำผลงานเพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเองให้ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน
มิฉะนั้นนางจะถูกถอดถอนออกจากการเป็นประมุข
หากนางทำอะไรล้ำเส้น ย่อมต้องมีคนมาจัดการกับนางในสักวัน
พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพียงแค่ทำตัวเงียบๆ ในระยะนี้ และรอชมว่าเรื่องจะเป็นเช่นไรต่อไป
วันหนึ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องกลับมาพูดจาประจบเอาใจพวกเขาอย่างแน่นอน
อย่างไรนางก็ยังเด็กและเป็นคนหุนหันพลันแล่นเกินไป แม้จะมีกองกำลังลับอยู่ข้างกาย แต่นางก็คงไปไม่ได้ไกลนัก…
“คนพวกนี้ไม่คิดที่จะยอมจำนนต่อเจ้า” ชื่อเหยียนเอ่ยขึ้นระหว่างมองบรรดาผู้นำเหล่านั้นกลับไปด้วยดวงตาเป็นประกาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยซบหน้าลงกับมือของตัวเองอย่างเกียจคร้าน พลางพลิกหนังสือรวมกฏประจำตระกูลที่ถูกส่งต่อกันมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย ”พวกเขาคิดว่าข้าคนไม่มีตำแหน่งชื่อเสียงและผลงานอย่างข้าคงไม่สามารถผ่านเดือนนี้ไปได้ ดูเหมือนข้าคงต้องหาทางทำให้ตัวเองได้เป็นขุนนางในราชสำนักแล้วสิ”
ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของชื่อเหยียนตวัดไปมองหน้านาง และแล้วในที่สุดสายตาอันรุนแรงของเขาก็หยุดลงที่คอของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผลอยกมือขึ้นบังมันไว้เพราะคิดว่าที่คอของตัวเองอาจจะมีรอยอะไรอยู่อีก
จากนั้นชื่อเหยียนจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นนัยว่า ”เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าหัวข้อนี้ไม่ใช่หัวข้อที่ปลอดภัยสำหรับบทสนทนา ชื่อเหยียนเป็นคนฉลาดและจงรักภักดีต่อนายท่านเฮ่อเหลียนอย่างมาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะรุนแรงเกินควบคุมหากเขารู้ว่านางไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวจริง
“คนเราเปลี่ยนกันได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามหาทางให้ตัวเองหลุดรอดไปจากหัวข้อสนทนานี้
แต่ทันใดนั้นชื่อเหยียนก็ทิ้งระเบิดใส่นางอย่างไม่สะทกสะท้านว่า ”เพราะอย่างนี้เจ้าถึงลืมสาเหตุที่เจ้าเคยชอบข้าไปด้วยหรือ”
ใคร ใครชอบใครนะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก เฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนไม่ได้อยากแต่งงานแค่กับมู่หรงฉางเฟิงคนเดียวหรอกหรือ
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริงๆ” ชื่อเหยียนเอ่ยช้าๆ หลังจากจิบชาเสร็จ ”แต่ข้าเคยช่วยเจ้าไว้ถึงสองครั้งก่อนที่เจ้าจะหากองกำลังลับเจอ ครั้งหนึ่งที่งานเทศกาลชมดอกไม้ตอนที่เจ้าเกือบจะถูกใครบางคนย่ำยีเข้า…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา วิญญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ภาพความทรงจำวาบเข้ามาในสมอง ตอนนั้นนางกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไทรพร้อมกับมองร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินออกไปด้วยหัวใจเจ็บปวดทรมาน…