บทที่ 465 การตระเตรียมอีกอย่างของท่านเซียนมาถึง ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล!
คืนเงียบสงัด เดิมควรเป็นเวลาหลับนอน ทว่าภายในตระกูลไป๋กลับวุ่นวายเป็นพิเศษ
สมาชิกทุกคนล้วนมีภารกิจ หัวใจของพวกเขาหนักอึ้ง สงครามใหญ่มิได้ไกลตัวพวกเขาแล้วจริง ๆ พวกเขาไม่รู้ว่าชะตากรรมในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่มีโอกาสสูงว่าจะจบลงอย่างอเนจอนาถ
อาณาจักรเทียนหยวนทรงพลังเกินไป หนก่อนมาเพียงสิ่งมีชีวิตตนเดียว พวกเขายังต่อกรด้วยไม่ไหว หากอาณาจักรเทียนหยวนกรีธาทัพมาเต็มกำลัง พวกเขาไม่เหลือความหวังสักนิด
จักรวรรดิโบราณกาลยังถูกฆ่าล้างจนสิ้น สิ่งมีชีวิตถูกล้างบาง กำลังรบระดับสูงที่ตามไปในภายหลังก็พบเจอชะตากรรมเดียวกัน ถูกเข่นฆ่าจนสิ้น
แม้ว่าสุดท้ายสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนคืนชีพขึ้นมา กระนั้นหัวใจของพวกเขาก็ยังหนักอึ้งดังเดิม
ไป๋มู่มิได้ประกาศความจริงของพิรุณคืนชีพให้ทราบโดยทั่วกัน
เขามิกล้า
หากประกาศความจริงของพิรุณคืนชีพ เท่ากับประกาศเรื่องของท่านเซียนให้คนทั้งใต้หล้าทราบ เขาไฉนเลยจะกล้าทำเช่นนั้น ให้เขาชาญชัยกว่านี้อีกหมื่นเท่าก็มิกล้า
เขาบอกแต่เพียงว่าพิรุณคืนชีพมาจากพลังในฟ้าดินปฐพีนี้ เกิดจากเจตจำนงฟ้าดินในปฐพีนี้ของพวกเขา อีกทั้งยังบอกทุกคนว่ามิต้องตื่นตระหนกเกินไป เพราะพวกเขามีพลังในปฐพีผืนนี้คอยเกื้อกูล มีความหวังอย่างมากในการต่อต้านการรุกรานจากอาณาจักรเทียนหยวน
ทว่าสิ่งมีชีวิตตนอื่นมิได้คิดเช่นนี้ คนมากมายยังอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมาก
เพราะพวกเขารู้ดีว่าปฐพีผืนนี้มิสู้ในยุคโบราณ สิ่งแวดล้อมในยุคนี้ย่ำแย่อย่างยิ่ง ซ้ำแล้วพลังยังมีจำกัด
มีพลังฟ้าดินคอยช่วยเหลือ พวกเขาได้แรงหนุนมากก็จริง ทว่าอนิจจา พวกเขาอ่อนแอเกินไป กำลังรบระดับสูงขาดแคลนอย่างหนัก ภายหน้าเมื่อเผชิญกับกองทัพอาณาจักรเทียนหยวน โอกาสชนะของพวกเขาน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
เพียงแต่ ต่อให้พวกเขาหวาดผวาอยู่เต็มอก ต่อให้อนาคตต้องตายลงอย่างแน่นอน พวกเขาก็มิเคยยอมแพ้ พยายามเตรียมการสุดความสามารถ
คนเราสุดท้ายก็ต้องตาย พวกเขาขอทิ้งช่วงเวลารุ่งโรจน์ควรค่าแก่การสรรเสริญให้กับชีวิตพวกเขาก่อนตาย
“พวกเจ้า…เป็นใครกัน!?”
ภายในดินแดนตระกูลไป๋ อันหลานเสวี่ยพาพวกอ้ายฉานมาที่นี่ ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ซึ่งรับผิดชอบแถบนี้พบตัวพวกอันหลานเสวี่ยในทันที
“พวกเรามาหาผู้นำตระกูลของพวกท่าน พี่หญิงเซี่ยเหยียนสั่งให้พวกเรามา”
อันหลานเสวี่ยตอบอย่างมีมารยาท มิได้เอ่ยนามท่านเซียน เอ่ยแต่เพียงนามเซี่ยเหยียน
ท่านเซียนรักสงบ นางไม่เคยกล่าวถึงท่านเซียนต่อหน้าผู้อื่นสักประโยค
“เซี่ยเหยียน!!!”
หลังได้ยินวาจาของอันหลานเสวี่ย ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ถึงกับสะดุ้งโหยง
เซี่ยเหยียน นามนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางเดินเหินในตระกูลไป๋ของพวกเขาได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ไม่ว่าผนึกหรือค่ายกลล้วนไม่มีผลต่อนาง กระทั่งทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักกระผีก
“พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปรายงานผู้นำตระกูลเดี๋ยวนี้!”
เขามิกล้าชักช้า รีบติดต่อผู้นำตระกูลทันที
ไม่นานนัก ไป๋มู่ก็ได้รับข่าว และมายังที่แห่งนี้พร้อมกับเมิ่งจี
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
เมื่อเมิ่งจีได้เห็นพวกอ้ายฉานก็ชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะยินดีปรีดาขึ้นมา
เขารู้ว่า การตระเตรียมอีกอย่างของท่านเซียนมาถึงแล้ว!
แม้เขาจะไม่รู้ว่าบัดนี้พวกอ้ายฉานมีความสามารถเพียงใด แต่เขารู้ดีว่าพวกอ้ายฉานไม่มีทางฝีมือด้อย เด็กเหล่านี้ได้รับพรจากท่านเซียนมาก่อน!
โดยเฉพาะเมื่อครั้งเขายังอาศัยในลานเล็ก เคยเห็นท่านเซียนมอบภาพวาดกับของเล่นให้เด็กเหล่านี้กับตา และภาพวาดกับของเล่นเหล่านี้ก็มิใช่ของธรรมดาสักชิ้น!
ในบรรดาภาพวาด ทุกภาพล้วนมีวิชาอภินิหารสูงส่งเหนือจินตนาการแฝงอยู่ และของเล่นเหล่านั้นยิ่งไม่ธรรมดา พลังท่วมท้นนภาที่เจืออยู่ในนั้นน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง!
“ที่นี่ไม่สะดวกพูดจาเท่าไร”
อันหลานเสวี่ยหันมองรอบ ๆ ส่งสัญญาณให้ไปสนทนาในที่เงียบ ๆ
“ไปเถิด”
เมิ่งจีไฉนเลยจะไม่เข้าใจความหมายของอันหลานเสวี่ย ที่ตรงนี้ชุกชุมเกินไป ไม่เหมาะให้พวกเขาสนทนา
เขาขอให้ไป๋มู่พาพวกเขาเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีม่านพลังปิดกั้น บทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่มีทางรั่วไหลออกไป
“คุณชายสั่งให้พวกเรามา”
หลังอันหลานเสวี่ยเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นทันที “คุณชายต้องการให้พวกอ้ายฉานขัดเกลาตนเอง พวกเราจึงเดินทางมาที่นี่”
นางสาธยายทุกอย่าง รวมถึงภาพวาดภาพนั้นของท่านเซียน และที่นางถามถึงสถานที่ในภาพกับเซี่ยเหยียน
“คุณชายสังเกตการณ์ทางนี้อยู่ตลอดจริงด้วย!”
เมิ่งจีเอ่ยอย่างสะท้อนใจ
นับแต่ท่านเซียนลงมือชุบชีวิตเหล่าสิ่งมีชีวิตจากจักรวรรดิโบราณกาล และบรรดากำลังรบระดับสูงที่ถูกสังหารจนเกลี้ยง เขาก็รู้ว่าท่านเซียนจับตาดูทางเขาอยู่เสมอ
บัดนี้อันหลานเสวี่ยพาพวกอ้ายฉานมา เขายิ่งมั่นใจว่าท่านเซียนคอยจับตาดูทางนี้!
หากท่านเซียนมิได้จับตาดู ไยจึงวาดภาพสถานที่ตั้งตระกูลไป๋
“ดี ๆๆ! มีพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็มั่นใจเต็มเปี่ยมแล้ว หากเก้าแดนต้องห้ามมองสถานการณ์เป็นก็ดีไป หากไม่รู้จักมองสถานการณ์ ก็กำจัดให้หมดในรวดเดียวเสีย!”
เมิ่งจีเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ไม่เหลือความกังวลแม้แต่น้อย
“ทั้งหมดแล้วแต่ผู้เฒ่าเมิ่งจะบัญชา!”
อันหลานเสวี่ยตอบ ท่าทีเคารพเมิ่งจีเป็นอย่างยิ่ง
ใช่ว่าใครก็พำนักในลานเล็กของท่านเซียนได้นานเพียงนั้น เมิ่งจีควรค่าแก่การเคารพนับถือจากนางแน่นอน
“พวกเจ้าพักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปทะเลต้องห้าม!”
เมิ่งจีเอ่ยยิ้ม ๆ
แต่เดิมพวกเขาต้องเตรียมตัวอีกสักระยะ แต่บัดนี้พวกอ้ายฉานมาแล้ว การเตรียมการเหล่านั้นจึงไม่จำเป็นอีก
“ได้!”
“ตามบัญชาท่านปู่เมิ่ง!”
พวกอ้ายฉานสนิทสนมกับเมิ่งจีมาก ในอดีต เมื่อครั้งเมิ่งจียังพำนักอยู่ในเรือนเล็กท่านเซียน พวกเขาเคยพบกันอยู่บ่อย ๆ เมิ่งจีดีกับพวกเขามาก
“ท่านบอกสมาชิกกองกำลังอื่นไปว่าไม่ต้องมาแล้ว พรุ่งนี้ให้พวกเขาไปที่ทะเลต้องห้ามก็พอ”
เมิ่งจีบอกไป๋มู่
ไป๋มู่ก็ส่งข่าวให้ยอดนิกาย ยอดเผ่ากลุ่มอื่น ขอให้ยอดนิกายและยอดเผ่าเหล่านั้นส่งกำลังรบชั้นยอดมา เพื่อเดินทางไปยังทะเลต้องห้ามร่วมกับพวกเขา
ทว่าบัดนี้ไม่จำเป็นแล้ว
มีพวกอ้ายฉานอยู่ ไม่มีเรื่องใดเป็นปัญหาได้อีก
“ได้!”
ไป๋มู่พยักหน้า “ข้าจะไปแจ้งพวกเขาเดี๋ยวนี้!”
จากนั้น เขาออกจากที่แห่งนี้เพื่อทำการส่งข่าวอย่างรวดเร็ว
โมงยามนี้เวลานับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ช้าหรือเร็วไม่สำคัญ พรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไปยังทะเลต้องห้าม จึงยังมีอีกหลายเรื่องต้องสั่งการลงไป
เขาต้องเตรียมการทุกอย่างให้เสร็จก่อนไปทะเลต้องห้าม!
“ท่านปู่เมิ่ง คุณชายให้โยเกิร์ตกับเค้กจำนวนหนึ่งกับพวกเรา ท่านปู่เมิ่งอยากลองชิมดูหรือไม่”
อ้ายฉานหยิบโยเกิร์ตและเค้กออกมาส่วนหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้เมิ่งจี
ทั้งหมดนี้ท่านเซียนบอกให้พวกเขาติดตัวมาด้วยก่อนเดินทาง
“นี่เป็นของที่ท่านเซียนให้พวกเจ้ามา พวกเจ้าเก็บไว้กินเถิด”
เมิ่งจีคลี่ยิ้ม “พวกเจ้ามีน้ำใจเช่นนี้ ปู่เมิ่งดีใจมาก!”
ทั้งโยเกิร์ตและเค้ก ต่างมีขุมปราณชีวิตมหาศาลเกินจินตนาการแผ่ซ่านอยู่ กลิ่นนั้นยิ่งยวนใจเข้าไปใหญ่ จนอดไม่ไหวอยากกัดสักคำ อยากดื่มสักอึก
ทว่าเมิ่งจีอดกลั้นไว้ มิได้รับโยเกิร์ตและเค้ก
อย่างที่เขาว่า นี่คือสิ่งที่ท่านเซียนให้พวกอ้ายฉาน เขาไฉนเลยจะกล้าสุ่มสี่สุ่มห้ารับมาดื่มกิน
แม้ว่าพวกอ้ายฉานเป็นฝ่ายยกให้เขา เขาก็มิบังอาจแตะต้อง
“ไปกันเถิด พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า!”
เมิ่งจีลูบหัวเล็ก ๆ ของอ้ายฉาน บอกกับพวกอ้ายฉานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ได้!”
พวกอ้ายฉานบอกลาเมิ่งจี กลับไปพักผ่อนในที่พักซึ่งมีผู้อาวุโสตระกูลไป๋เตรียมไว้ให้
…
ท่ามกลางมหาสมุทรสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด
ภายในทะเลต้องห้ามอันกว้างใหญ่ไพศาล บัดนี้เหลือจ้าวสมุทรแต่เพียงผู้เดียว
จ้าวสมุทรกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บกวาดความเรียบร้อย ทันใดนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น
“เหตุใดข้าถึงสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก”
เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ลางสังหรณ์ในใจรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ