ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ และตอบสนองความคิดต่างๆ นานาที่ผุดขึ้นมาในสมองของเฮ่อเหลียนเวยเวย มิหนำซ้ำเขายังยอมให้ความร่วมมือกับนางอย่างเต็มที่ด้วยการไม่ขัดขวางความสนุกในการ ’เอาใจภรรยา’ ของนาง เขาเพียงแค่ลูบศีรษะของนาง และส่งเสียงตอบรับนางเบาๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านางเป็นผู้ชนะในวันนี้ อย่างน้อยนางก็ประสบความสำเร็จในการฝึกให้เขาเชื่อฟังได้
ขณะนั่งอยู่บนรถม้า นางก็ยอมรับกับเขาว่าในอดีตนั้นนางเคย ’สารภาพรัก’ กับชื่อเหยียนมาก่อน นางถามเขาด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยว่า ”แล้วตอนนี้ข้าจะมองหน้าเขาอย่างไรดี”
“เจ้าไม่รู้หรือ” หลังจากฟังที่นางพูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงถามนางกลับอย่างช้าๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับขายาวทั้งสองข้างของนางขึ้นไขว่ห้าง พลางเคี้ยวขนมกุ้ยฮวาในปากพร้อมกับถามว่า ”ข้าควรรู้อะไรหรือ”
“คนจากตระกูลชื่อดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบสตรีเท่าใดนัก…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดกำกวม
ความเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยทันที จากนั้นนางจึงถามว่า ”ท่านหมายความว่าชื่อเหยียนเป็นชาวต้วนซิ่วหรือ อืม ก็มีความเป็นไปได้… ข้าเองก็เห็นว่าเขาไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่นเลย ถึงเขาจะเป็นคนมีอำนาจ แต่เขาก็ไม่มีข้ารับใช้เลยสักคน”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกินขนมไปกัดฟันไป พี่สามของเขาอ้างว่าชื่อเหยียนเป็นชาวต้วนซิ่วเพื่อทำให้พี่สะใภ้สามทิ้งความรู้สึกที่มีต่อเขาไป วิธีนี้ไม่น่าละอายใจเกินไปหน่อยหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เด็ก็ชายตัวน้อยจึงหันหน้ากลับไปมองพี่สามของตัวเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาอย่างใจเย็นและปล่อยให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจผิดกับคำพูดของเขาต่อไป
หากพิจารณาจากแง่มุมนี้แล้ว คำพูดขององค์ชายสามก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
ชื่อเหยียนไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนมากเกินไป แทบจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สามารถดึงดูดสายตาของเขาได้เลย
แต่วิธีที่เขาพูด…
“ดังนั้นจากนี้เจ้าก็เลิกกังวลว่าจะมองหน้าเขาอย่างไรได้เสียที เพียงแค่อยู่ให้ห่างจากเขา และอย่าพูดถึงเรื่องในอดีตที่จะทำให้พวกเจ้าสองคนรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาก็พอ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า และหาวขึ้นมาอย่างเกียจคร้านพร้อมกับเอ่ยว่า ”จากนี้ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ข้าสงสัยจริงๆ ว่าชาติที่แล้วข้าติดหนี้เขาไว้เท่าไหร่ แต่โชคดีที่เขาเป็นพวกต้วนซิ่ว”
“อืม…” ตราบใดที่พวกเขาไม่ติดต่อกัน ก็ย่อมไม่มีพื้นที่ให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้เติบโต… ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปล่อยให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนตัวลงพิงเขาระหว่างคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย เขาเพียงแค่เป็นคนชั่วร้ายลงไปจนถึงกระดูกดำก็เท่านั้น
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยยัดขนมสามก้อนในมือเข้าปากคำใหญ่ เขาคิดกับตัวเองทั้งที่สองแก้มยังอัดแน่นไปด้วยขนมพวกนั้นว่า ชื่อเหยียนช่างน่าสงสารจริงๆ ผู้หญิงที่เขาชอบคิดว่าเขาเป็นชาวต้วนซิ่วเสียอย่างนั้น เฮ้อ…
มีผู้หญิงอยู่ตั้งมากมาย แต่ทำไมเขาต้องตกหลุมรักพี่สะใภ้สามด้วยนะ
ฝีมือในการ ’ขุดหลุมฝังศพ’ ของพี่สามเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เขาสามารถทำให้คนคนหนึ่งหายไปได้อย่างไม่เหลือร่องรอยด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว
บางทีสุดท้ายแล้วชื่อเหยียนก็คงไม่มีวันทำความเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงแพ้ได้…
หยวนหมิงอยู่ในมิติสวรรค์ตอนที่เขาได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนขณะเอ่ยถามขึ้นมาว่า ”แม่นาง เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นหรือ เสี่ยวไป๋กับข้าเรียกเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ตอบเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าเกือบฉีกสัญญาณระหว่างพวกเราไปแล้วเชียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาลง นางตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเป็นอย่างมากว่า ”เป็นเพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนน่ะ ดูเหมือนนางคงจะชอบชื่อเหยียนมาก จนอยากกลับมาแทนที่ข้า”
“น่าแปลกทีเดียว” หยวนหมิงลูบคางพร้อมกับบอกว่า ”ความจริงนั้นเจ้าไม่ได้ครอบครองวิญญาณของร่างนี้อยู่ ’การครอบครองวิญญาณ’ หมายความว่าวิญญาณของเจ้าจะเข้าควบคุมร่างกายของนางในตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าสัมผัสได้ว่าร่างนี้ไม่มีวิญญาณคนเป็นอยู่ในร่างตั้งแต่ตอนที่เจ้ามาเข้าร่างนางแล้ว มันเป็นเพียงแค่เปลือกอันกลวงเปล่าปราศจากวิญญาณ เช่นนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนจะกลับมาได้อย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลง แล้วเอ่ยว่า ”แต่นางอยากกลับมาจริงๆ” ฝันร้ายที่หลอกหลอนนางมาตลอดหลายวัน และปฏิกิริยาก่อนหน้านี้คือเครื่องพิสูจน์ถึงความจริงข้อนี้
ตอนนั้นนั่นเองสุดท้ายเสี่ยวไป๋ที่เงียบมาตลอดจึงเอ่ยขึ้นว่า ”เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นวิญญาณคนตาย”
“วิญญาณคนตายหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วคิดกับตัวเองว่า นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน
หยวนหมิงหรี่ตาลงแล้วเสริมว่า ”ปกติแล้วคนธรรมดาย่อมไม่สามารถกลายเป็นวิญญาณคนตายได้”
“อย่าลืมสิว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนธรรมดา นางคือพระชายากลับชาติมาเกิด” เสี่ยวไป๋เอ่ยอย่างเย็นชา ”นางมีพลังของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณอยู่ในตัว”
หยวนหมิงเม้มปากเป็นเส้นตรง และทันใดนั้นเขาก็ยิ้มชั่วร้ายออกมา ”เพราะอย่างนี้ไงข้าถึงไม่ชอบคนจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณ พวกเขาตายยากอย่างกับแมลงสาบไม่มีผิด”
เสี่ยวไป๋เงียบ…
หยวนหมิงหรี่ตาลง จากนั้นจึงพูดต่อ ”ต่อให้เป็นวิญญาณคนตาย แต่ร่างของเวยเวยก็ไม่ควรที่จะถูกรุกล้ำได้ง่ายดายเช่นนี้ เพราะอย่างไรพลังวิญญาณของนางก็แข็งแกร่งทีเดียว จะต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้แน่”
“หยวนเสี่ยวหมิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ”มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องของข้ากับผู้ที่สร้างค่ายกลพลังปราณแห่งความโกรธแค้นขึ้นที่สำนักจะเป็นคนเดียวกัน”
หยวนหมิงกระตุกยิ้มชั่วร้ายพร้อมตอบว่า ”น่าจะสักเจ็ดส่วน”
“ข้าว่าน่าจะเก้าส่วนนะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะขึ้น แล้วบอกว่า ”โชคร้ายที่คนคนนั้นฉลาดเป็นกรด อีกทั้งผู้อาวุโสของสี่ตระกูลใหญ่ก็ให้การปกป้องเขาอยู่พร้อมกับปิดบังความลับนั้นเอาไว้ในความมืด ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องกำจัดผู้อาวุโสสี่คนนั้นออกไปเสียก่อน ถึงจะสามารถเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาออกมาได้ คนจากตระกูลเฮ่อเหลียนยังไม่เลือกที่จะยืนข้างข้า ดังนั้นสิ่งแรกที่ข้าต้องทำก็คือการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง จากนั้นข้าจะได้เอาของของข้ากลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์ จบเรื่องนั้นเมื่อใดข้าจึงจะไปจัดการกับเขา”
หยวนหมิงเลิกคิ้ว และถามว่า ”เจ้าตัดสินใจที่จะลงมือแล้วหรือ”
“อีกฝ่ายไม่ต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่” ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสื่อสารกับพวกเขาผ่านทางกระแสจิต นางก็เหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งอยู่ข้างกัน แล้วจึงเอ่ยต่อ ”แต่ข้าต้องอยู่ต่อ ข้าเองก็มีเหตุผลของข้าเหมือนกัน”
หยวนหมิงสังเกตเห็นสายตาของนาง เขาจึงเตือนสตินางเบาๆ ว่า ”ระวังอย่าให้ใจกับเขาไปเสียล่ะ สุดท้ายมันอาจจะทำให้ตัวเจ้าแตกสลายได้”
“ถ้าเป็นเขาก็คุ้มค่าพอ” แค่คำพูดนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างแทนนางได้จนหมด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้นานเกินไป นางเอียงศีรษะแล้วคิดกับตัวเองว่า ข้ามีเวลาเหลืออีกเพียงแค่เดือนเดียว ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ ข้าจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้อย่างไรกัน
นอกเสียจากว่า… จะถูกส่งตัวไปนอกเมืองหลวง!
ในยุคปัจจุบัน แม้นางจะมีหน้าที่ในกองกำลังทหารรับจ้าง แต่นางก็ยังต้องรับมือกับคนในแวดวงการเมืองมากมายด้วย
หลังเข้าสู่แวดวงการเมืองแล้ว ลูกหลานที่มีนิสัยสุจริตชอบธรรมของข้าราชการระดับสูงมักจะออกจากเมืองหลวงเพื่อไปสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง
ไม่ว่าจะอยู่ในยุคโบราณหรือยุคสมัยปัจจุบัน ศิลปะของการเป็นนักการเมืองนั้นย่อมไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก
ทำไมนางไม่ลองย้ายไปที่อื่นดูล่ะ
แต่นางไม่ใช่ลูกหลานจากตระกูลที่มีอิทธิพล ทั้งยังไม่ใช่ผู้ชายอีกด้วย…
ดูเหมือนว่านางคงต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเสด็จปู่ และขอให้เขามอบฐานะที่จะสามารถทำให้นางถูกส่งตัวออกไปนอกเมืองหลวงได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเล่าความคิดของตัวเองให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังก่อน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเสียงเบา แล้วตอบว่า ”ในเมื่อเจ้าจะย้ายไปนอกเมือง เช่นนั้นเจ้าคงจำเป็นต้องมีผู้ให้คำปรึกษาด้านการทหารไปด้วยสักคน”
“อืม ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะให้ชื่อเหยียนไปกับข้าด้วย แต่…” เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมา นางไม่คิดเลยว่านางจะต้องเสียแม่ทัพฝีมือเยี่ยมไปในเวลาสำคัญเช่นนี้
มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระชับถ้วยชาในมือแน่น จากนั้นเขาจึงขยับตัวเข้าไปหยิกแก้มของนางเบาๆ พร้อมกับบอกว่า ”เจ้าหมายความว่าเจ้าอยากทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วออกจากวังไปคนเดียวหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดลิ้นพร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างจริงใจที่สุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้หาความจริงกับคำตอบของนางอีก เขาทำเพียงแค่จูบเข้าที่ริมฝีปากของนาง แล้วกล่าวว่า ”เจ้าสามารถที่จะ…”