ตอนที่ 485 วันช้อปปิ้ง
พี่สะใภ้ใหญ่ตักไข่คนเข้าปากพลางพูดเย้ยหยันขึ้นมาว่า “ฉันแค่ลองพูดหยั่งเชิงดูว่าอยากแนะนำใครสักคนให้เขารู้จัก หัวหน้าหลูไม่ใช่คนโง่ เขาหรือจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันหมายถึง? เขาตอบลื่นไหลมากทีเดียว บอกว่าเขาคงไม่ชอบผู้หญิงที่ฉันจะแนะนำให้รู้จักแน่ แถมยังบอกด้วยว่าไม่ต้องแนะนำใครให้เขาหรอก ช่วยเป็นสะพานให้เขากับเถาจืออวิ๋นก็พอแล้ว จากนั้นก็อ้างว่าตัวเองเป็นอดีตเพื่อนร่วมงาน แถมยังอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันมานานหลายปี แน่นอนว่ารู้จักกันดีอยู่แล้ว ถ้าสองครอบครัวได้ดองกัน ชีวิตคู่หลังแต่งงานคงมีความสุขมากแน่ ๆ ได้ยินแบบนั้นฉันก็เลยโกรธขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ฉันบอกใบ้เป็นนัย ๆ แล้วว่าอย่าคิดมายุ่งกับน้องสาวสามีฉัน แต่เขาก็ยังกล้า!”
เถาจืออวิ๋นกำลังยื่นตะเกียบออกไปคีบซี่โครงหมูตุ๋นให้ฉีฉี
พอได้ยินแบบนั้นก็ชะงักตะเกียบค้างกลางทาง แสดงสีหน้าเหลือเชื่อ “คุณหลูพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง ก่อนหน้านี้ฉันเคยปฏิเสธเขาต่อหน้าอย่างชัดเจนแล้วนะ”
แม่เถารีบถาม “ลูกปฏิเสธเขาเหรอ? ทำไมแม่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เถาจืออวิ๋นจึงเล่าให้ทุกคนฟังว่าเรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร
ทุกคนโกรธมากเมื่อได้ยินแบบนั้น
โดยเฉพาะพี่สะใภ้ใหญ่ที่โกรธจัด ก่นด่าอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันล่ะชื่นชมคนแซ่หลูนี่จริง ๆ จื่ออวิ๋นเคยปฏิเสธเขาต่อหน้าอย่างชัดเจนแล้วแท้ ๆ เขายังกล้ามาพูดแบบนั้นกับฉัน!”
พี่ใหญ่เถาพูดขึ้นบ้าง “นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดที่สุด ที่น่าเกลียดยิ่งกว่าคือคนแซ่หลูยังมีลูกติดอีกตั้งสี่คนที่ต้องเลี้ยงดู เป็นภาระที่หนักหนาสาหัสสำหรับจืออวิ๋นมากเกินไป ที่เขาอยากแต่งงานกับจืออวิ๋นจะเป็นเพราะอะไรไปได้ นอกจากจะให้ไปจุนเจือครอบครัวยากจนของเขา”
ตอนแรกแม่เถายังพอมีความหวังอันริบหรี่ต่อหัวหน้าหลูอยู่บ้าง ดังนั้นจึงให้เขาเป็นตัวเลือกเบอร์หนึ่งเสมอมา แต่นางก็รู้สึกอยู่บ่อยครั้งว่าลูกสาวตัวเองอาจไม่ชอบเขา
พอหลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกชายและลูกสะใภ้คนโตพูด ในใจของนางก็ไม่เหลือความหวังสำหรับหัวหน้าหลูอีกต่อไป แถมยังชิงชังรังเกียจเขาด้วยซ้ำ
สภาพครอบครัวย่ำแย่ขนาดนั้นแท้ ๆ ยังกล้ามาเทียวไล้เทียวขื่อลูกสาวคนอื่นอีก
ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่เถาค่อนข้างจะเป็นคนหัวสูงอยู่พอประมาณ แม่คนไหนก็อยากให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนดี ๆ เพื่อที่จะได้มีชีวิตสุขสบายในอนาคตกันทั้งนั้น
ใครจะอยากให้หล่อนแต่งงานกับพ่อหม้ายเพื่อแบกรับภาระของครอบครัวเขากัน?
นางพูดด้วยสีหน้ามืดมน “หน้าด้านเกินไปแล้ว! พวกเธอจัดการกับเขายังไงบ้างล่ะ?”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาตอบกลับอย่างเย็นชา “จัดการยังไงน่ะเหรอ? ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายทำตัวไร้ยางอายก่อน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาอีกต่อไป พูดตรง ๆ ไปเลยว่าเขาไม่คู่ควรกับน้องสาวสามีฉัน ที่ฉันซื้อของขวัญมาขอบคุณเขาในครั้งนี้ ก็เพราะไม่อยากให้คนนอกเข้าใจผิดกันไปเอง นอกจากนี้ยังเตือนให้เขาล้มเลิกความคิดจะจีบจืออวิ๋นไปซะ”
แม่เถาถาม “แล้วคนแซ่หลูว่ายังไง?”
พี่ใหญ่เถาเหยียดหยาม “พูดไปชัดเจนขนาดนี้แล้ว คนอย่างเขายังจะพูดอะไรได้อีก? ผมก็เลยพูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง”
เถาจืออวิ๋นเงยหน้ามองพี่ชายคนโต “พี่พูดอะไรอีก?”
“บอกว่า ฉันดูออกว่าเขาพยายามจะเข้าหาเธอโดยมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ อย่าคิดว่าพวกเราจะโง่จนมองไม่เห็น”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาเบะปาก “”นอกจากคนแซ่หลูจะปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว เขายังกล่าวหาว่าพวกเราใส่ร้ายเขาอีก พวกเราอุตส่าห์หลุดพ้นมาจากหม่าเทาได้แล้ว ยังจะเอาไม้กวาดตีหัวตัวเองให้เจ็บซ้ำเป็นครั้งที่สองอีกทำไม”
เถาจืออวิ๋นพูดอย่างไม่สนใจ “ต่อให้พูดแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ หัวหน้าหลูก็จะอ้างว่าพวกเราด่วนตัดสินเขาไปก่อนเองจนได้”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาจ้องมองหล่อนพลางถามว่า “ฉันถามเขากลับด้วยซ้ำว่าเขาเป็นหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยประสาอะไรถึงปล่อยให้ภัยคับขันเข้าใกล้ตัวขนาดนี้? อย่างน้อยก็ควรคำนึงถึงชีวิตคนเป็นหลัก คนธรรมดาทั่วไปเขายังไม่คิดจะคว้าไม้มาฟาดท้ายทอยหม่าเทาเลย แต่เขาเป็นถึงหัวหน้ารปภ. กลับทำร้ายร่างกายหม่าเทาแบบเกินกว่าเหตุ เล่าให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อกันทั้งนั้น!”
พ่อเถาถาม “คนแซ่หลูว่ายังไงต่อ?”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาตอบ “เขาจะพูดอะไรได้อีก? ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับเท่านั้นแหละ”
หลังมื้ออาหาร พี่สะใภ้ใหญ่เถาคืนเครื่องอัดเสียงขนาดเล็กของเยอรมันที่เถาจืออวิ๋นยืมมาจากหลินม่ายในตอนเที่ยงให้กับน้องสาวสามี บอกให้หล่อนบันทึกสำเนาเทปไว้สักสองสามชุด
เถาจืออวิ๋นกดปุ่มเล่นเพื่อฟังบทสนทนาระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้ใหญ่และหัวหน้าหลู เมื่อเห็นว่าเนื้อหาการสนทนานั้นตรงกันกับที่พี่ชายและพี่สะใภ้ใหญ่เล่าให้ฟังทุกประการ หล่อนก็รู้สึกโล่งใจ
จนกระทั่งหลินม่ายกลับมาจากวิลล่า ในที่สุดเธอก็จำได้ว่าตัวเองลืมทำอะไรไป
นั่นก็คือการเล่าให้เฉินเฟิงฟังว่าเมื่อคืนนี้ร้านขายส่งเสื้อผ้าของเธอถูกกลั่นแกล้งและคุกคามโดยการปามูลสัตว์และอีกสารพัดอย่าง
แต่พอเธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นเตรียมจะโทรหาเฉินเฟิง จู่ ๆ ก็เกิดความลังเลขึ้นมา
ตอนแรกเธอเป็นคนพาเฉินเฟิงออกมาจากเงามืด ทำให้บรรดาลูกน้องของเขาได้ประกอบอาชีพสุจริตเหมือนคนทั่วไป
แต่ตอนนี้เธอกลับต้องการให้เฉินเฟิงพาลูกน้องไปสั่งสอนบทเรียนกับเกาจื้อหยวนเพื่อตัวเอง นั่นไม่ถือเป็นการฉุดดึงเขากลับลงไปสู่ความดำมืดอีกครั้งหรอกเหรอ?
อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ถ้าเฉินเฟิงถูกจับได้คงไม่พ้นต้องติดคุกแหง ๆ
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ท้ายที่สุดหลินม่ายก็วางหูโทรศัพท์ลง
แต่เธอจะไม่ยอมถูกเกาจื้อหยวนรังแกฝ่ายเดียวอีกต่อไป
เธอครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็หาวิธีที่ดีได้
นั่นก็คือให้ติงไห่เฟิงพาสหายน้องชายสองสามคนไปตระเวนตรวจสอบร้านค้าส่งบนถนนฮั่นเจิ้งในวันพรุ่งนี้
ถึงแม้เฉินเฟิงจะล้างมือจากบทบาทมาเฟียใต้ดินแล้ว แต่หลินม่ายเชื่อว่าชื่อเสียงของเขายังคงอยู่
เธอหวังว่าเกาจื้อหยวนอาจหวั่นกลัวบ้างเมื่อเห็นติงไห่เฟิงกับคนอื่น ๆ เขาจะได้เลิกทำชั่วเสียที รวมถึงหยุดกลั่นแกล้งร้านค้าส่งของเธอลับหลัง ถ้าจะสู้ก็ให้สู้กันเรื่องธุรกิจแค่อย่างเดียว
ถ้าแบบนี้แล้วเกาจื้อหยวนยังไม่กลัว ยังคิดจะสร้างปัญหาลับหลังต่อไป เมื่อนั้นเธอถึงจะขอให้ลูกพี่ใหญ่ของวงการใต้ดินออกมาจัดการ สรุปสั้น ๆ ก็คือ เธอจะพยายามให้เฉินเฟิงมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด
…
พอตื่นเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เป็นวันไหว้พระจันทร์แล้ว
ถึงโจวฉายอวิ๋นจะกลับมาจากชนบท แต่ช่วงจังหวะดันตรงกับเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี ดังนั้นโครงการเปิดโรงงานผักดองของเธอจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน
หลินม่ายอนุญาตให้หล่อนกลับบ้านในวันไหว้พระจันทร์
หลี่หมิงเฉิงเคยกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งหนึ่งตั้งแต่เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย หลินม่ายเลยจัดให้เขาได้หยุดงานในวันไหว้พระจันทร์ เพื่อที่เขาจะได้กลับบ้าน
ก่อนหน้านี้โจวฉายอวิ๋นไปอยู่ที่บ้านของคุณยายเถียนเป็นเวลานานก็จริง แต่ก็มีเวลากลับไปเยี่ยมพ่อแม่แค่ครั้งเดียว
ยิ่งกว่านั้นยังไปเยี่ยมและกลับมาในวันเดียวกัน ยังไม่ทันได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอย่างหนำใจด้วยซ้ำ
ดังนั้นหล่อนจึงมีความสุขมากที่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับบ้านในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ถึงสองวันเต็ม
เที่ยงเมื่อวานนี้หล่อนใช้เวลาว่างออกไปซื้อของขวัญให้พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานชายกับหลานสาว
เช้าวันไหว้พระจันทร์ โจวฉายอวิ๋นตื่นนอนก่อนหกโมงเช้าเสียอีก ตั้งใจว่าจะขึ้นรถไฟเที่ยวแรกเพื่อกลับบ้าน
ถึงจะเป็นวันหยุดเทศกาลก็จริง แต่หลินม่ายก็ไม่กล้าตื่นสายจนเกินไป
โจวฉายอวิ๋นตื่นนอนแล้ว เธอเองก็ต้องตื่นบ้าง
พอช่วยโจวฉายอวิ๋นเก็บสัมภาระเสร็จก็เดินลงไปส่งหล่อนที่ชั้นล่าง
หลี่หมิงเฉิงมารออยู่นอกสนามหลังบ้านแล้ว
หลินม่ายกลัวว่าโจวฉายอวิ๋นเดินทางคนเดียวแต่เช้าอาจไม่ปลอดภัย จึงขอให้หลี่หมิงเฉิงตื่นแต่เช้าจะได้เดินทางกลับบ้านเกิดด้วยกัน
เมื่อเห็นว่ายังเช้าอยู่ หลินม่ายเลยชวนทั้งสองแวะกินอาหารมื้อเช้าที่ร้านเปาห่าวซือก่อนจะออกเดินทาง หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับขึ้นไปอ่านหนังสือเรียนต่อ
ราว ๆ แปดโมงเช้า เธออ่านหนังสือจนถึงจุดอิ่มตัว จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปที่วิลล่า
วันหยุดเทศกาลแบบนี้ คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางที่นอนน้อยเพราะอายุมากแล้วก็ตื่นแต่เช้าตรู่ กำลังเดินรดน้ำพรวนดินดอกไม้ ต้นไม้ และพืชผักในสวน
โต้วโต้วและฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งเมื่อคืนต่างคนต่างนอนดึก และแม้แต่ฟางจั๋วหรานที่ไม่ค่อยได้นอนพักที่วิลล่าก็ยังไม่ตื่นเช่นเดียวกัน
พอคิดว่าคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ ต้องกินอาหารจากร้านเปาห่าวซือทุกวันก็เดาว่าคงเริ่มเบื่อกันบ้างแล้ว
หลินม่ายจึงวางแผนว่าจะเปลี่ยนเมนูอาหารเช้าของวันนี้
เมื่อวานนี้เธอซื้อผักชีมาเป็นจำนวนมาก พอเปิดดูตู้เย็นของคุณย่าฟางก็เห็นว่ายังมีขาหมูอยู่ขาหนึ่ง
หลินม่ายจัดการห่อแผ่นเปาะเปี๊ยะด้วยผักชี วุ้นเส้น และเนื้อขาหมูอย่างช่ำชอง พร้อมกันนั้นก็ทำโจ๊กพุทราแดงอีกอย่างหนึ่ง
กลิ่นหอมโชยมาจากในครัว ขณะที่หลินม่ายกำลังทอดเปาะเปี๊ยะ
ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนอนหลับอยู่บนชั้นสองได้กลิ่นหอมก็วิ่งลงมาชั้นล่างโดยที่ยังไม่ได้แปรงฟันหรือล้างหน้า ยื่นมือออกไปหยิบเปาะเปี๊ยะมากินชิ้นหนึ่ง
คุณย่าฟางขึ้นไปปลุกโต้วโต้วจนตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ทำกิจวัตรประจำวันอย่างแต่งตัว แปรงฟัน ล้างหน้าราวกับว่าตัวเองยังไม่ตื่นนอน
พอถูกพาไปที่โต๊ะอาหารเพื่อกินข้าวมื้อเช้า กลิ่นหอมของเปาะเปี๊ยะทอดพลันทำให้หล่อนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
ระหว่างมื้ออาหาร คุณย่าฟางเสนอขึ้นมาว่าวันนี้ทั้งครอบครัวควรออกไปช้อปปิ้งด้วยกัน
หลินม่ายลังเลเล็กน้อย
วันนี้ร้านเปาห่าวซือและร้าน Unique สาขาใหม่เปิดอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก เธอตั้งใจว่าจะแวะไปเยี่ยมชมกิจการสักหน่อย
แต่เนื่องจากคุณย่าฟางเป็นคนชวนด้วยตัวเอง เธอก็เลยไม่อยากขัดใจ
แต่ถ้าตามใจอีกฝ่ายเธอก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลินม่ายก็ขอโทษ “เกรงว่าวันนี้ฉันคงออกไปซื้อของกับคุณปู่คุณย่าไม่ได้ค่ะ เพราะฉันยังต้องไปตรวจสอบกิจการร้านสาขาใหม่อีกหลายที่”
คุณย่าฟางซดโจ๊กหนึ่งคำก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปเยี่ยมชมร้านกับเธอด้วย ระหว่างนั้นจะได้ซื้อของตามร้านรายทางเพื่อไม่ให้เสียเวลา”
หลังมื้ออาหาร สมาชิกทุกคนในครอบครัวจึงแยกย้ายไปแต่งตัว ก่อนจะออกไปเที่ยวพร้อมกัน
ยังไม่ทันก้าวขาออกจากบ้าน เสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น
โต้วโต้วซอยขาสั้น ๆ วิ่งไปรับโทรศัพท์ จากนั้นก็หันมาหาฟางจั๋วหรานแล้วบอกว่า “คุณอาคะ มีคนโทรหาคุณอาค่ะ”
ฟางจั๋วหรานเดินไปรับโทรศัพท์หลังจากนั้น
สายนั้นโทรมาจากโรงพยาบาล แจ้งว่าลูกชายของเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์กับคู่กรณีตั้งแต่เช้าตรู่
ฝ่ามือของเขาถูกบดขยี้จนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ และตอนนี้เขากำลังรอรับการปลูกถ่ายอวัยวะอย่างเร่งด่วน
การปลูกถ่ายอวัยวะจากแขนขาที่ขาดออกจากกันถือเป็นกระบวนการผ่าตัดใหม่ของวงการศัลยกรรมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ไม่ต้องพูดถึงประเทศจีน แม้แต่ประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาที่พัฒนาแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าวก็ยังไม่อยู่ในจุดที่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก
ภายในโรงพยาบาลผู่จี้ทั้งหมด มีแค่ฟางจั๋วหรานคนเดียวที่สามารถทำหัตถการประเภทนี้ได้
ฟางจั๋วหรานวางโทรศัพท์ แล้วรีบตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายและคนอื่น ๆ ก็ยังออกไปช้อปปิ้งตามแผนเดิม
ตอนแรกฟางจั๋วเยวี่ยไม่ค่อยอยากออกไปซื้อของ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย ไม่ถูกโฉลกกับการช้อปปิ้งอยู่แล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ เพราะถูกคุณย่าฟางลากออกไปให้เขาช่วยดูแลโต้วโต้วอีกแรงหนึ่ง
โต้วโต้วเองก็รบเร้าให้เขาไป เพราะอยากให้คุณอาเล็กของหล่อนช่วยอุ้มตัวเองตอนเหน็ดเหนื่อยจากการซื้อของ
ส่วนคุณย่าฟางต้องการให้เขาเป็นกุลีจำเป็น
การหอบข้าวหอบของที่ได้จากการช้อปปิ้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับคนชราและเด็กน้อย คงไม่สะดวกจะหิ้วของด้วยตัวเองสักเท่าไร
ถึงจะมีหลินม่ายอีกคนที่ยังอายุน้อย แต่เธอก็เป็นผู้หญิง คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาไม่อยากให้เธอต้องมาแบกรับภาระในเรื่องนี้เพิ่มเติม ดังนั้นจึงหันไปใช้งานฟางจั๋วเยวี่ยแทน
กลุ่มคนเดินทางไปยังถนนฮั่นเจิ้ง
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางมีโอกาสได้มาที่ถนนฮั่นเจิ้ง
ตามท้องถนนมีผู้คนสัญจรพลุกพล่านมากเกินไป ด้วยกลัวว่าโต้วโต้วอาจพลัดหลง คุณปู่ฟางจึงสั่งให้ฟางจั๋วเยวี่ยอุ้มโต้วโต้วขึ้นไปนั่งอยู่บนบ่าทันทีที่มาถึงถนนฮั่นเจิ้ง
โต้วโต้วสนุกสนานมาก ในขณะที่ฟางจั๋วเยวี่ยผู้หล่อเหลาได้แต่ทำหน้าเหยเก
สินค้าหลากหลายอย่างที่วางขายอยู่ตามถนนฮั่นเจิ้ง ทำให้สองสามีภรรยาชรารู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก
พวกเขาเดินเล่นไปตามทางจนกระทั่งมาถึงร้านค้าส่งเสื้อผ้าUniqueของหลินม่าย
เมื่อมองจากระยะไกล ก็เห็นว่าติงไห่เฟิงกำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่รอบ ๆ ร้านพร้อมกับสหายน้องชายอีกสองสามคน
แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ เกาจื้อหยวนไม่ได้อยู่ที่ร้านของเขา
หลินม่ายเดาว่าเขาอาจจะไม่เข้ามาที่ร้านในช่วงเทศกาลวันหยุดก็ได้ หมายความว่าติงไห่เฟิงกับคนอื่น ๆ มาเดินลาดตระเวนอย่างเสียเปล่า
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็วางแผนให้ติงไห่เฟิงและคนอื่น ๆ ลาดตระเวนต่อไปอีกสักสองสามวัน จนกว่าเกาจื้อหยวนจะมาเห็นพวกเขา
ผู้ค้ารายย่อยต่างมาซื้อสินค้าที่ร้านค้าส่งเสื้อผ้า Unique กันอย่างล้นหลาม ภายในร้านแออัดจนคนล้นออกมาข้างนอก
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางดีใจแทนหลินม่ายเมื่อเห็นว่าธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าของเธอกำลังไปได้สวยทีเดียว
สองสามีภรรยาชราต่างก็มุ่งความสนใจไปที่ร้านของหลินม่ายแค่ที่เดียว
ในขณะที่หลินม่ายกำลังจ้องเขม็งมองไปยังร้านค้าส่งเสื้อผ้าซีม่านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ไม่น่าเชื่อเลย เสื้อผ้าในร้านตัวแทนจำหน่ายของซีม่านมีรูปแบบที่ไม่ต่างไปจากเสื้อผ้าคอลเลคชันใหม่ต้อนรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ซึ่ง Unique เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อไม่กี่วันมานี้
หลินม่ายขบกรามแน่นอย่างโกรธจัด
สิ่งที่ทำให้เธอโกรธยิ่งกว่า คือกิจการของร้านตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าซีม่านมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อยเพราะเสื้อผ้าที่ตัวเองลอกเลียนแบบมาจากร้าน Unique อีกทีหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่เงียบเหงาเท่าเมื่อวาน
ถึงจะโกรธแค่ไหน แต่หลินม่ายก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้า
วันหยุดแบบนี้ เธอมีโอกาสพาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางออกมาช้อปปิ้งเปิดหูเปิดตาทั้งที อย่าให้อารมณ์ด้านลบมากระทบกับกิจกรรมในวันนี้เลย ปล่อยใจให้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ก่อนดีกว่า
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จั๋วเยวี่ยกลายเป็นผู้ใช้แรงงานไปแล้ว ทั้งแบกโต้วโต้วทั้งแบกของ เหนื่อยแทนเขานะคะ
ทองแท้ไม่กลัวไฟ ออริจินอลอย่างเราจะกลัวอะไรล่ะม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)