ตอนที่ 486 ตามจับโจร
หลังจากเดินไปรอบ ๆ ถนนฮั่นเจิ้งแล้ว หลินม่ายก็ซื้อเสื้อผ้าและกางเกงขายาวสำหรับสวมใส่ในฤดูใบไม้ร่วงให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางหลายชุด มีทั้งแบบหนาและแบบบาง พร้อมด้วยถุงเท้าอีกจำนวนมาก
ตอนนี้อากาศอาจจะยังร้อนอยู่ก็จริง แต่หลังวันชาติเป็นต้นมา อุณหภูมิจะค่อย ๆ ลดต่ำลง
ถึงตอนนั้นสองสามีภรรยาชราทั้งสองควรมีลองจอน(1)อย่างบางเอาไว้สวมใส่บ้าง ไม่อย่างนั้นอาจเสี่ยงต่อการเป็นหวัดและปวดตามข้อ
แน่นอนว่าเธอซื้อเสื้อโค้ตและกางเกงสำหรับฟางจั๋วหรานและโต้วโต้วมาด้วย
ขณะที่ซื้อเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงและกางเกงขายาวให้ฟางจั๋วหราน หลินม่ายก็อดรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะกลัวว่าฟางจั๋วหรานอาจจะหึงหวง
ใครจะเชื่อว่าศาสตราจารย์ที่อ่อนโยนและหล่อเหลาราวกับหยกชั้นดีคนนี้จะเป็นคนขี้หึงเอามาก ๆ หึงไปเสียทุกอย่าง หึงแม้กระทั่งน้องชายของตัวเอง
แต่เมื่อคิดว่าฟางจั๋วเยวี่ยยอมออกมาเดินแบกข้าวของให้กับพวกเขา โดยที่ตัวเองไม่ได้ซื้ออะไรเลย หลินม่ายก็อดรู้สึกผิดไม่ได้จนต้องตัดสินใจซื้อให้เขาสักตัว
พอเดินผ่านร้านค้าส่งเครื่องประดับศีรษะไป๋เหอ หลินม่ายก็ชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยเพื่อสังเกตความคล่องตัวของกิจการ
เนื่องจากเธอยังไม่ได้เชิญนักออกแบบมา ภายในร้านจึงยังไม่มีเครื่องประดับอื่นขายนอกจากหมวก
ถึงอย่างนั้นกิจการก็ยังรุ่งเรืองมาก มีผู้ค้ารายย่อยแวะเวียนมารับซื้อสินค้าอยู่เนือง ๆ
เหตุผลหลักคงเป็นเพราะบนถนนฮั่นเจิ้งมีธุรกิจค้าส่งเครื่องประดับศีรษะอยู่แค่ไม่กี่ราย
หมวกของร้านอื่นสวยและทันสมัยไม่เท่ากับร้านไป๋เหอ ด้วยเหตุนี้กิจการของร้านไป๋เหอจึงยังไปได้สวย
หลังจากเดินเที่ยวที่ถนนฮั่นเจิ้งจนพอใจแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ร้านค้าในเครือUniqueอีกหลายสาขา
จากคำขอพิเศษของหลินม่าย เจิ้งซวี่ตงทำให้ร้านค้าในเครือUniqueทั้งหมดได้รับการตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรปแบบเดียวกันทั้งหมด
ยุคสมัยนี้มีแค่ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีการตกแต่งภายใน บ้านพักอาศัยของคนทั่วไปแทบไม่มีการตกแต่งเพิ่มเลย
การตกแต่งร้านเป็นสไตล์ยุโรปแบบธรรมดา ๆ ของร้านUniqueจึงส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ภายนอกดูมีระดับมาก
ไม่ว่าจะเป็นโคมระย้าคริสตัลที่ห้อยลงมาจากเพดาน ผนังสีขาวราวหิมะ หรือกระเบื้องปูพื้นหินอ่อนที่ขัดวาววับจนสามารถสะท้อนเงาของผู้คนได้ ทำให้ลูกค้าที่พกเงินสดติดตัวมาไม่มากนึกหวั่น ๆ กับราคาอยู่บ้าง ทำเพียงมองดูเสื้อผ้าจากนอกตัวร้านเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าอีกไม่น้อยเลยที่เดินเข้าไปในร้านเพื่อลองชุด
ลูกค้าประเภทนี้ต่างก็แสดงสีหน้าราวกับตัวเองเป็นคนที่เหนือกว่า
คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ เข้าไปในร้านเพื่อเดินเล่นนิดหน่อย
พนักงานขายที่ได้รับการฝึกสอนมาอย่างดียิ้มกว้างอย่างสดใส พร้อมกับโค้งคำนับสี่สิบห้าองศา “ยินดีต้อนรับค่ะ”
คุณย่าฟางเหลือบไปเห็นป้ายราคาของเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ทันใดนั้นก็รีบชักมือออกทันทีราวกับจับโดนของร้อนเข้า
จากนั้นก็กระซิบบอกหลินม่าย “เสื้อผ้าแต่ละตัวของเธอนี่แพงจริง ๆ ทำให้ฉันตกใจแทบแย่!”
หลินม่ายหัวเราะพลางพูดติดตลก “คุณย่าคะ คุณเป็นสาวสังคมผู้ร่ำรวยแท้ ๆ จะพ่ายแพ้ให้กับราคาของแค่ไม่กี่หยวนได้ยังไง?”
คุณย่าฟางได้ยินแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข
หันไปหยิบเสื้อสไตล์ยุโรปแบบย้อนยุคมาตัวหนึ่ง แล้วลองทาบกับร่างกายหลินม่ายดู “ถ้าเธอใส่เสื้อตัวนี้คงดูดีไม่หยอก”
หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “พี่เถาตัดเสื้อตัวนี้ให้ฉันแล้วค่ะ”
คุณย่าฟางจึงแขวนเสื้อกลับคืนที่เดิม จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากร้านไปโดยที่ไม่ซื้ออะไรติดมือมา
ยังไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ล่วงไปถึงเที่ยงวันแล้ว
หลินม่ายพาคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านเปาห่าวซือสาขาใหม่
ร้านเปาห่าวซือตกแต่งเป็นสไตล์จีนโบราณ ถึงจะเรียบง่ายแต่ก็ยังคงความหรูหรามีระดับ
ลูกค้าแวะเวียนมาอุดหนุนกันจนเต็มร้าน
หลินม่ายและคนอื่น ๆ ต้องรออยู่ครู่หนึ่งถึงจะได้โต๊ะนั่ง
พนักงานเสิร์ฟเอาเล่มเมนูมาให้พร้อมกับยิ้มแย้มแจ่มใส แนะนำว่าวันนี้มีเปาะเปี๊ยะรสชาติพิเศษหลายอย่าง ถามว่าพวกเขาอยากลองชิมไหม
หลินม่ายรักผู้ใต้บังคับบัญชามากความสามารถของเธอคนนี้จริง ๆ
ก่อนหน้านี้เธอเคยเปรยกับเจิ้งซวี่ตงว่าสายเกินไปแล้วที่จะเปิดตัวเปาะเปี๊ยะรสชาติใหม่ให้ทันวันไหว้พระจันทร์ อาจจะช้าไปด้วยซ้ำสำหรับวันชาติ
เผลอแป๊บเดียวเท่านั้น ในระหว่างที่เขากำลังยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับการเปิดสาขาใหม่ เขากลับวางแผนเปิดตัวเปาะเปี๊ยะรสใหม่ตามความตั้งใจเดิมออกมาได้อย่างทันเวลา
ถึงเช้านี้เธอเพิ่งจะกินเปาะเปี๊ยะไป แต่เพราะลิ้มรสแล้วติดใจในความอร่อยของมัน หลินม่ายจึงยังอยากกินอีกครั้งในมื้อนี้
คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ สั่งเปาะเปี๊ยะไส้ขึ้นฉ่าย ไส้เห็ด และไส้วุ้นเส้น รวมกันสามอย่าง
พอเวียนมาถึงหลินม่าย เธอเห็นว่าในเมนูมีเปาะเปี๊ยะทอดไส้จิงเจี้ยะด้วย
เธอสั่งเปาะเปี๊ยะไส้จิงเจี้ยะโดยแทบไม่ต้องคิด
จิงเจี้ยะเป็นพืชเมล็ดเผ็ดร้อนที่มีกลิ่นหอมของมณฑลเหอหนาน ส่วนตัวหลินม่ายคิดว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลูกผักชีกับจิงเจี้ยะแทบไม่ต่างกันเลย
ชาติที่แล้ว สมัยที่เธอยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีดอกอิงฮวาเบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เธอมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งที่มาจากเมืองซินหยาง มณฑลเหอหนาน
ครั้งหนึ่งในช่วงวันหยุดฤดูร้อน เพื่อน ๆ ของเธอนัดหมายว่าจะไปเที่ยวซินหยางด้วยกัน หลินม่ายเองก็ตามไปด้วย
เพื่อนร่วมชั้นชักชวนไปกินฮุ่ยเมี่ยน (บะหมี่ตุ๋น) ที่ขึ้นชื่อในมณฑลเหอหนาน
ฮุ่ยเมี่ยนชามนั้นถูกปรุงโดยใส่จิงเจี้ยะลงไปด้วย ตอนนั้นหลินม่ายจำได้ว่าตัวเองประทับใจมาก
เธอไม่คิดมาก่อนว่าจะได้กินอาหารที่มีรสชาติอร่อยแบบนั้นอีกครั้ง จึงไม่รู้ว่าเปาะเปี๊ยะไส้จิงเจี้ยะจะมีรสชาติเป็นอย่างไร
นอกจากเปาะเปี๊ยะแล้ว คุณย่าฟางและคนอื่น ๆ ก็สั่งของว่างอีกหลายอย่าง
ถึงลูกค้าภายในร้านจะมีจำนวนมาก แต่พ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟในร้านก็มีหลายคนเช่นกัน ไม่นานอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายรออาหารแค่ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ อาหารจานหลักและของว่างทั้งหมดก็ถูกยกมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ
หลินม่ายชิมเปาะเปี๊ยะไส้จิงเจี้ยะเป็นครั้งแรก พบว่ามันอร่อยมาก ทำให้อารมณ์ดีจนยิ้มไม่หุบ
น่าเสียดายที่เครื่องเทศอย่างจิงเจี้ยะมีขายเฉพาะฤดูกาล เดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบแค่สามเดือนเท่านั้น
ตอนนี้เข้าสู่ช่วงท้ายของฤดูกาลแล้ว จากนี้คงไม่มีเมนูที่ว่าไปอีกพักใหญ่ ๆ
ถ้าอยากมีจิงเจี้ยะไว้ประกอบอาหารตลอดทั้งปี คงต้องปลูกต้นของมันไว้ในเรือนกระจก
หมายความว่าควรจัดการสร้างโรงเรือนกระจกสำหรับปลูกผักโดยเร็วที่สุด
หลังจากกินดื่มกันจนอิ่มหนำสำราญ พวกเขาก็ออกไปช้อปปิ้งกันต่อ
ทุกคนยังคงยิ้มแย้มอย่างสดใส เว้นก็แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกุลีจำเป็นเพียงคนเดียว
มือทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยถุงสินค้าน้อยใหญ่
พอไปถึงห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว ก็เห็นว่าลูกค้ากลุ่มหนึ่งต่างมารุมล้อมอยู่หน้าร้านเสื้อผ้าUniqueสาขาในห้างของหลินม่าย ธุรกิจดำเนินไปอย่างคึกคัก
ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันสังเกตบรรจุภัณฑ์ของขนมไหว้พระจันทร์ที่ร้านUniqueนำมาส่งเสริมการขาย แต่ตอนนี้หลินม่ายมองเห็นมันอย่างชัดเจน
ถึงพวกมันจะเป็นแค่ของแจกฟรี แต่กล่องบรรจุภัณฑ์ก็สวยสะดุดตามาก ส่งเสริมให้ขนมไหว้พระจันทร์ร้านเธอยิ่งดูโดดเด่น
หลินม่ายจำได้ว่าขนมไหว้พระจันทร์ที่ฝ่ายบุคคลส่งไปที่ไซต์งานก่อสร้างก่อนหน้านี้ บรรจุอยู่ในกล่องที่มีลักษณะเรียบง่าย แต่ของขวัญสำหรับลูกค้าบรรจุอยู่ในกล่องที่มีลักษณะประณีต
เจิ้งซวี่ตงนี่ชักจะคำนวณเก่งเกินไปแล้ว
เมื่อลูกค้าหลายคนได้รับขนมไหว้พระจันทร์แล้วก็ถามพนักงานส่งเสริมการขายด้วยความประหลาดใจ “ขนมไหว้พระจันทร์พวกนี้มาจากร้านเปาห่าวซือจริง ๆ เหรอ?”
พนักงานขายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รับรองว่าเป็นความจริงค่ะ ร้านเปาห่าวซือก็เป็นร้านของคุณหลินเหมือนกัน ทางเราไม่มีวันเอาสินค้าปลอมมาแจกแน่ค่ะ”
ลูกค้าได้ยินก็ปลื้มปริ่มกันถ้วนหน้า
หลินม่ายอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ ร้านเปาห่าวซือมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้แล้วหรือนี่ บรรดาลูกค้าถึงได้อิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษเมื่อรู้ว่าขนมไหว้พระจันทร์มาจากร้านเปาห่าวซือ!
หลังจากเยี่ยมชมกิจการของตัวเอง หลินม่ายก็ไม่ลืมชายตาไปมองกิจการของร้านซีม่าน
ร้านซีม่านครองทำเลทองซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในห้างสรรพสินค้าแท้ ๆ แต่ธุรกิจกลับซบเซายิ่งกว่าร้านตัวแทนจำหน่ายเสียอีก แทบจะถูกทิ้งร้าง
หลินม่ายเดาว่าอาจเป็นเพราะกิจกรรมส่งเสริมการขายของร้านเธอนั่นเอง ที่ทำให้ร้านซีม่านถูกกลบจนอยู่ในสภาวะเงียบเหงา
หลินม่ายซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้กับทุกคนเพิ่มอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ออกจากห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว พร้อมตรงกลับบ้าน
พวกเขาใช้เวลาช่วงเช้าไปหกถึงเจ็ดชั่วโมง หลินม่ายกับฟางจั๋วเยวี่ยอาจยังแข็งแรงและพอเดินเที่ยวต่อได้อีกหน่อยก็จริง แต่คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง รวมถึงโต้วโต้วที่เป็นผู้สูงอายุและเด็กน้อยต่างก็เหนื่อยล้าเต็มที ต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านสักหน่อย
คราวนี้ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ทำหน้าตาขมขื่นอีกต่อไป เหตุผลแรกคือดีใจที่กำลังจะได้กลับบ้านเร็ว ๆ นี้แล้ว หมดสิ้นหน้าที่กุลีจำเป็นกันเสียที
เหตุผลที่สองเป็นเพราะหลินม่ายซื้อรองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบอย่างละหนึ่งคู่ ซึ่งพวกมันมีราคาแพงเป็นอันดับสองของห้างสรรพสินค้าให้เขา
ส่วนคู่ที่แพงที่สุดในห้าง หลินม่ายสงวนไว้ให้ฟางจั๋วหราน
เด็กผู้ชายทุกคนเป็นเหมือนกันหมดทั้งโลก นั่นคือมีจุดอ่อนเรื่องรองเท้า
อีกฝ่ายอายุยี่สิบกว่าแล้ว ที่จริงเธอควรเรียกอีกฝ่ายว่าชายหนุ่มถึงจะถูก ไม่ใช่เรียกเขาว่าเด็กผู้ชาย
แต่เคยมีคำกล่าวหนึ่งบอกว่าผู้ชายเป็นเพศที่มีความเป็นเด็กไปจนตายไม่ใช่หรอกเหรอ?
ฟางจั๋วเยวี่ยเองก็เป็นคนประเภทนั้น แค่ซื้อรองเท้าอย่างดีให้เขาสักสองคู่ เขาก็มีความสุขมากจนตัวลอยแล้ว
บางทีความสุขของมนุษย์ก็เรียบง่ายกว่าที่คิด
หลินม่ายอุ้มโต้วโต้วที่เริ่มปวดขาจากการเดินเป็นเวลานาน พร้อมกันนั้นก็พูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไปด้วย
ส่วนฟางจั๋วเยวี่ยเดินตามหลังพวกเขาเหมือนเป็นคนรับใช้ หอบหิ้วถุงใบเล็กใบใหญ่พะรุงพะรัง
ขณะที่เดินอยู่นั้น เขาก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
จนเหลือบไปเห็นเถาจืออวิ๋นที่ออกมาช้อปปิ้งกับฉีฉีและพ่อแม่ของหล่อนโดยบังเอิญ
โจรคนหนึ่งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายของหล่อน แต่หล่อนกลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ฟางจั๋วเยวี่ยรีบก้าวขายาว ๆ เข้าไปหาอีกฝ่ายทันที จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบข้างหลังโจรคนนั้น “พี่ชาย นายช่วยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ได้ไหม? อย่าขโมยเงินของพี่สาวฉันเลย”
โจรคนนั้นหันขวับกลับมา พอเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ จึงมองเขาด้วยความไม่พอใจ แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ
ท่ามกลางฝูงชน แก๊งโจรล้วงกระเป๋าอีกหลายคนที่เดินปะปนอยู่ต่างหันมามองฟางจั๋วเยวี่ยด้วยสายตาดุร้าย จากนั้นก็เดินห่างออกไปโดยไม่พูดอะไร
ฟางจั๋วเยวี่ยเห็นทุกอย่างตั้งแต่แรก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ร้องตะโกนเสียงดังออกมา แต่แค่ทำให้คนพวกนั้นกลัว
โจรพวกนี้ก่ออาชญากรรมกันเป็นกลุ่ม ถ้ารีบร้อนเกินไปอาจถูกใครสักคนในพวกมันชักมีดออกมาแทงเข้า
………………………………………………………………………………………………………………
ลองจอน คือชุดกันหนาวที่เอาไว้สวมใส่ด้านในสุด ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย
สารจากผู้แปล
ดีที่จั๋วเยวี่ยหูตาไว ไม่งั้นโดนขโมยของไปแล้ว
ไหหม่า(海馬)