“ปัญหานี้สามารถแก้ได้หรือเจ้าคะ ถ้ามันทำให้ปัญหานี้คลี่คลายได้ ข้าก็พร้อมทำทุกสิ่งเจ้าค่ะ! แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ตาม!” หญิงสาวคนนั้นรีบร้อนขอร้องออกมาพร้อมกับดึงแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงยิ้มออกมาแล้วปลอบนางว่า ”เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลกหรอก แต่ข้ามีเรื่องที่ต้องให้เจ้าช่วย ตามข้าเข้ามาในศาลาว่าการได้แล้ว เราต้องบันทึกอาการบาดเจ็บบนร่างของเจ้าเอาไว้เป็นหลักฐาน”
นานมากแล้วที่หญิงสาวไม่ได้ยินคำว่า ’หลักฐาน’ นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างซาบซึ้งพร้อมกับเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วถามว่า ”ข้าลืมถามไป คุณชายเป็นใครหรือเจ้าคะ”
“ข้าแซ่เว่ย เป็นนายอำเภอคนใหม่ของเมืองฟู่ผิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดเสียงดังฟังชัด ”ข้าเพิ่งมาถึงฟู่ผิง ก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าเข้าพอดี”
หญิงสาวตกตะลึง นางย้อนถามว่า ”นาย… นายอำเภอหรือเจ้าคะ” นางมองสำรวจเฮ่อเหลียนเวยเวยพลางคิดกับตัวเองว่า เป็นนายอำเภอได้ทั้งที่อายุยังน้อยแค่นี้น่ะหรือ
“ใช่” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม และพยักหน้าให้นาง
หญิงสาวยังไม่ปักใจเชื่อนางนัก แต่นางก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะได้ยินที่ปรึกษาจางเรียกนางว่า ’ใต้เท้าเว่ย’
ขณะที่นางกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ในที่สุดพวกนางก็เดินเข้ามาถึงด้านในของศาลาว่าการ
เฮ่อเหลียนเวยเวยสั่งให้คนไปชงชา จากนั้นนางจึงถือถ้วยชาไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างจับแขนของหญิงสาว จากนั้นนางก็กระชากมันอย่างแรง!
“โอ๊ย!” หญิงสาวกรีดร้องลั่น เหงื่อเย็นๆ ซึมชื้นไปทั่วระหว่างที่นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยผละมือออกจากนาง แล้วหันหน้ากลับไปอีกทางราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เงียบมาตลอดดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่นำติดตัวมาด้วยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเขาก็คว้ามือของนางขึ้นมาเช็ด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม การมีองค์ชายสามคอยบริการเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกชอบกล
หญิงสาวคนนั้นเพิ่งสังเกตเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อในทันที
นาง… นางไม่เคยเห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาขนาดนี้มาก่อนเลย
รูปร่างหน้าตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าจนตาแทบบอด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางเมื่อนางสังเกตได้ถึงสายตานั้น แล้วเอ่ยว่า ”คนผู้นี้คือที่ปรึกษาหลง เอ่อ… เขาแต่งงานแล้ว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มเมื่อเขาได้ยินประโยคสุดท้าย แล้วยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา
สีหน้าของหญิงสาวแข็งจนแทบกลายเป็นหิน ทำไมนางถึงรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายอำเภอคนใหม่กับที่ปรึกษาส่วนตัวคนนี้มีอะไรแปลกๆ อยู่ล่ะ…
“ใต้เท้าดูจะมีความสัมพันธ์อันดีกับที่ปรึกษาส่วนตัวของตัวเองยิ่งนัก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มพลางตอบว่า ”พวกเราเป็นเพื่อนร่วมสำนักกัน”
“เพื่อนร่วมสำนักหรือ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านทั้งสองจะสนิทกันถึงเพียงนี้” หญิงสาวขยับข้อมือ อาการปวดหนึบที่เคยมีก่อนหน้าดูจะหายไปแล้ว จากนั้นนางก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างสำนึกในบุญคุณอย่างมาก แล้วถามขึ้นจากใจว่า ”ใต้เท้าเว่ย ข้าขอถามได้หรือไม่เจ้าคะว่าท่านมาที่เมืองฟู่ผิงได้เพราะเส้นสายของใครหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงยิ้มแล้วตอบว่า ”เปล่า”
“เช่นนั้นใต้เท้าเว่ยอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยจะดีกว่าเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนนั้นหลุบตาลง ก่อนจะเสริมว่า ”ข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องเสียตำแหน่งเพราะปัญหาของข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชา แล้วถามว่า ”ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ หากข้าจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้วข้าจะถูกถอดออกจากตำแหน่งได้อย่างไร”
“ข้าเชื่อว่าเมื่อครู่นี้ใต้เท้าเว่ยเองก็คงได้ยินแล้วเหมือนกันว่าจวนเยี่ยนมีอำนาจมากมายเพียงใด ที่ปรึกษาจางข้องเกี่ยวกับพวกเขามาเป็นเวลานานหลายปีจนตอนนี้ตัดกันไม่ขาดแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวคนนั้นหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่เสียงที่หลุดออกมาจากปากนางกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเย้ยหยันอย่างชัดเจน
เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนจะไม่ประหลาดใจกับเรื่องที่นางได้ยินแต่อย่างใด นางเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยว่า ”ดูเหมือนเจ้าคงจะลืมไปว่านายอำเภอมียศสูงกว่าที่ปรึกษาส่วนตัว”
“ที่ปรึกษาจางเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเจ้าค่ะ!” หญิงสาวเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เอาคำพูดของตัวเองไปคิดจริงจังนัก นางจึงเอ่ยต่อด้วยความกระวนกระวายว่า ”จวนเยี่ยนมีเส้นสายมากมายในเมืองหลวง ตำแหน่งของคนพวกนั้นสูงเสียจนไม่มีใครกล้าเสียมารยาทต่อพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียวเจ้าค่ะ ใช่ว่าจะไม่เคยมีขุนนางซื่อสัตย์สุจริตมาที่เมืองฟู่ผิงมาก่อน แต่หลังจากมาที่นี่ พวกเขาเหล่านั้นก็กลายเป็นคนคดโกงไปภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนดี มิหนำซ้ำยังขู่ว่าจะฆ่าทุกคนที่ขวางทางพวกเขาอีกด้วยเจ้าค่ะ! ถ้าท่านไม่มีเส้นสายเป็นคนระดับสูง ท่านก็จะตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของพวกมันถ้าคิดจะยืนหยัดเพื่อปกป้องข้า ทุกวันนี้หาคนจิตใจดีก็ว่ายากแล้ว แต่การหานายอำเภอดีๆ สักคนนั้นยากยิ่งกว่า ข้าไม่อยากให้ท่านต้องมาลำบากเพราะข้าเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยดูจะเด็กกว่าตัวเองมาก น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับน้องชายของนางเลยก็ว่าได้
น้องชายของนางถูกตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรงตอนที่เขาพยายามต่อสู้กับอันธพาลพวกนั้น และจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนท่าทาง พร้อมกับวางถ้วยชาลง นางเอ่ยว่า ”หน้าที่ของขุนนางในราชสำนักคือการรับใช้ประชาชน ถ้าข้าเมินเฉยต่อปัญหาของเจ้า ข้าจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีหรือเป็นขุนนางที่ดีได้อย่างไร”
“ใต้เท้าเว่ย ท่านคงไม่รู้เพราะท่านยังเด็กอยู่ มีเด็กสาวจำนวนไม่น้อยที่ถูกนายท่านเยี่ยนหมายตาเอาไว้เช่นเดียวกับข้า ผู้เคราะห์ร้ายส่วนหนึ่งถึงกับจับกลุ่มกันเพื่อจะไปร้องทุกข์ พวกนางรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเตรียมตัวไปที่เมืองหลวงเพื่อร้องเรียนต่อฮ่องเต้ แต่พวกนางกลับถูกคนของทางการขัดขวางเอาไว้ก่อนที่จะทันได้ออกจากเมืองเสียอีก เส้นสายของคนพวกนั้นกว้างขวางยิ่งนัก คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้หรอกเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิมขณะกล่าวว่า ”ไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่จีรังยั่งยืน ข้าเพียงเชื่อว่ามีถูกก็ต้องมีผิด จริงสิ คุยกันมาตั้งนานข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย”
“ข้าชื่อหลิวอินเจ้าค่ะ” ความกังวลและความหวาดกลัววาบขึ้นในดวงตาของหญิงสาวขณะที่นางเอ่ยเสริมว่า ”ใต้เท้า เชื่อคำแนะนำของข้าเถอะเจ้าค่ะ ทำไมเราไม่รีบออกไปจากที่นี่กันเสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะเจ้าคะ นายท่านเยี่ยนคงยังไม่ตื่น ถ้าเราไปกันตั้งแต่ตอนนี้ เขาย่อมไม่ทันสังเกตเห็น ท่านอาจจำเป็นต้องอยู่ที่เมืองฟู่ผิงสักระยะหนึ่งก็จริง ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แต่ในเมื่อข้าเจอเรื่องแบบนี้ ก็คงทำได้เพียงโทษตัวเองที่โชคร้ายเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทนางด้วยรอยยิ้ม ”หลิวอิน ข้าพอจะมองสถานการณ์ทั้งหมดในเวลานี้ออกแล้ว ข้าสั่งให้ที่ปรึกษาหลงช่วยบันทึกมันเอาไว้แล้วด้วย เจ้ากลับไปก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้อาจจะมีคนจากศาลาว่าการไปหาเจ้าเพื่อสอบถามอะไรเพิ่มนิดหน่อย แต่เจ้าไม่ต้องตกใจ แค่บอกทุกอย่างไปตามความจริงก็พอ ในเมื่อเวลานี้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบของที่นี่ ดังนั้นข้าขอสัญญาว่าข้าจะพลิกโฉมเมืองฟู่ผิงแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ จะไม่มีการกล่าวโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นโชคร้ายของใครบางคนอีก จำคำพูดของข้าไว้ ขุนนางในราชสำนักมีหน้าที่รับใช้ประชาชน”
หลิวอินรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อนางเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ขุนนางนิสัยเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางดูน่าเชื่อถือยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มก็ตาม
“ต้าสง” เฮ่อเหลียนเวยเวยกดเสียงต่ำลงอย่างกะทันหัน
ก่อนที่หลิวอินจะทันได้มีปฏิกิริยา เงาสีดำก็พุ่งปราดมาอยู่ตรงหน้านาง
ชายคนนี้สูงกว่านางมากทีเดียว ไม่ใช่แค่ตัวใหญ่ แต่ยังผ่านการฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี แขนขาของเขาคล่องแคล่วว่องไว เขาสะพายไม้ท่อนยาวสีดำที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรเอาไว้บนบ่า นางสัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนที่ควรหาเรื่องด้วย เพราะเขาดูน่ากลัวและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกอันธพาลที่จวนเยี่ยนเลี้ยงไว้เสียอีก!
“นายน้อย” ต้าสงยิ้ม แล้วเอ่ยว่า ”เรียกข้าหรือขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองหลิวอิน แล้วสั่งว่า ”ตามแม่นางหลิวอินกลับไป ถ้าใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับนาง ไม่ว่ามันจะเป็นคนจากจวนเยี่ยนหรือคนจากศาลาว่าการ ข้าอนุญาตให้ใช้กำลังตอบโต้ได้เต็มที่!”
“นายน้อยโปรดวางใจขอรับ บุรุษที่กล้าลงมือกับสตรีล้วนแต่เป็นความอัปยศของพวกข้าทั้งสิ้น! ข้าจะอัดพวกมันให้น่วมจนต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่เชียว!” ต้าสงทุบอกตัวเองเป็นการยืนยัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเชื่อในความสามารถของเขา ดังนั้นนางจึงส่งทั้งสองกลับไปด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ แต่แล้วในเวลาไม่กี่อึดใจต่อมา เจ้าพนักงานคนหนึ่งของศาลาว่าการก็รีบวิ่งเข้ามาแล้วรายงานด้วยเสียงอันดังว่า ”ใต้เท้าขอรับ มีจดหมายเชิญมาจากจวนเยี่ยนขอรับ พวกเขาต้องการให้ท่านไปพบพวกเขาที่หอเทียนฟาง…”