นึกถึงหนิงเซ่าชิง ก็นึกถึงเรื่องไม่รื่นรมย์เมื่อคืน อารมณ์ที่เดิมคึกคักก็หม่อนหมองทันที
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่
คิดถึงนางหรือไม่
“พี่เชียนเสวี่ย ท่านดูนี่สิ”
ถงจื่อจิ้งสังเกตมั่วเชียนเสวี่ยตลอดเวลา เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเพราะอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ก็รีบนำงานแกะสลักของตนเองที่สอดไว้ในเสื้อออกมา ยื่นไปตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะแค่ขมวดคิ้ว แต่ก็ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่าเอามีดมากรีดหัวใจเขา
มั่วเชียนเสวี่ยก้มหน้ามอง ก็เห็นกระต่ายตัวน้อยน่ารักนอนอยู่ใจกลางฝ่ามือที่แบออกมาของถงจื่อจิ้ง!
“นี่คือ…”
“ข้าแกะสลักเองขอรับ พี่เชียนเสวี่ยชอบหรือไม่ จื่อจิ้งให้ท่านดีไหม”
ความจริงแล้ว รูปทรงของกระต่ายที่แกะสลักชิ้นนี้ เดิมถงจื่อจิ้งตั้งใจจะให้มั่วเชียนเสวี่ย แต่เมื่อวานถูกการมาอย่างกะทันหันของหนิงเซ่าชิงขัดเสียก่อน
หลังจากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงก็ทะเลาะแล้วแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้แกะสลักต่อไป เมื่อแกะเสร็จแล้ว ย่อมไม่ได้นำออกมามอบเป็นของขวัญ
มั่วเชียนเสวี่ยรับรากไม้แกะสลักจากมือถงจื่อจิ้งมา วางไว้กลางฝ่ามือตนเอง ท่าทางของกระต่ายตัวนี้น่ารัก มีชีวิตชีวามาก
ในใจมั่วเชียนเสวี่ยเกิดความรู้สึกอ่อนไหว
ไม่เอ่ยถึงน้ำใจที่ถงจื่อจิ้งมีให้กับตนเอง แค่กระต่ายตัวนี้ตัวหนึ่ง ก็เป็นของดีแล้ว!
แม้ว่าก่อนหน้านี้มั่วเชียนเสวี่ยจะรู้ว่า ถงจื่อจิ้งมีพรสวรรค์ทางด้านการแกะสลักสูงมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของเขาจะสูงขนาดนี้!
เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
การแกะสลักก็คือจิตวิญญาณ เพื่อกระต่าย รูปทรงอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่กลับมีชีวิตชีวาคล้ายกับมีจิตวิญญาณ
“จื่อจิ้งตั้งใจจะให้พี่สาวจริงๆ หรือ อย่างนั้นพี่สาวจะรับไว้จริงๆ แล้วนะ! อย่ามาเสียใจภายหลังนะ”
ส่วนลึกในจิตใจมั่วเชียนเสวี่ยยังคงเห็นถงจื่อจิ้งเป็นเด็กออทิสซึมเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นตอนที่สนทนากับถงจื่อจิ้ง ล้วนใช้เสียงนุ่มๆ เบาๆ ไม่เคยเข้มงวดเลยสักนิด
เอ่ยจบ ก็ยื่นมือออกไปแหย่กระต่ายตัวน้อยในมืออย่างอดไม่อยู่ “เจ้ากระต่ายน้อย เจ้าต้องเป็นเด็กดี อย่าวิ่งไปทั่วนะ ติดตามพี่สาว มีแครอทกิน มีอาภรณ์งดงามสวมใส่…คิกๆ…”
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแย้มอีกครั้ง ใช้น้ำเสียงเด็กน้อยหยอกล้อ ถงจื่อจิ้งก็รู้สึกพึงพอใจมาก
พวกเขาสองคนนั่งอยู่ในตัวรถโดยสารอย่างพึงพอใจ และมีความสุข กุ่ยซาที่ตามอยู่ด้านหลังได้ยินวาจาทั้งหมดโดยไม่ตกหล่นสักคำ
กุ่ยซาแสดงออกว่าหัวหน้าตระกูลของเขานั้นน่าเศร้าจริงๆ
เมื่อวานทั้งสองคนทำสงครามเย็นใส่กันเพราะเห็นต่างกันไปคนละทาง เขาสามารถจินตนาการท่าทางตอนนี้ของหัวหน้าตระกูลได้เลย แต่คุณหนูใหญ่มั่วกลับออกมาเที่ยวเล่น คุยเรื่องตลกกับถงจื่อจิ้งที่เป็นตัวก่อเรื่องอย่างอารมณ์ดี
กุ่ยซาแสดงออกจากชัดเจนว่าเห็นอกเห็นใจหัวหน้าตระกูลของตนเองมาก
เช่นน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของเด็กน้อยแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยได้ยินคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วเอ่ยต่อหน้าหัวหน้าตระกูลของพวกเขา
ถงจื่อจิ้งผู้นี้ โชคดีจริงๆ!
แต่ที่กุ่ยซาคิดก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน
ต่างคน ต่างวิธีการปฏิบัติ
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยใช้น้ำเสียงโอ๋เด็กน้อยต่อหน้าหนิงเซ่าชิงจริงๆ แต่วาจาออดอ้อน ดีใจนั้นเอ่ยกับหนิงเซ่าชิงไม่น้อย
หลังหนิงเซ่าชิงอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็นำเตาหนูออกจากจวนไป
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับมั่วเชียนเสวี่ย!
ถงจื่อจิ้งมักจะดึงดูดความสนใจจากมั่วเชียนเสวี่ย
แม้จะเอ่ยว่า ขอแค่หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ที่เขา ไม่มีความรู้สึกระหว่างบุรุษและสตรีต่อถงจื่อจิ้งสักนิด นางมีเพียงแค่ความรู้สึกระหว่างพี่สาวน้องชายเท่านั้น เขาก็ไม่ต้องกลัวการกระทำลับหลังของถงจื่อจิ้ง
ไม่กลัวเรื่องที่คาดการณ์ได้ แต่กลัวเรื่องที่คาดไม่ถึง
รู้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ทำได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หนิงเซ่าชิงจึงอดหึงหวงไม่ได้!
อารมณ์หึงหวงที่บ่มมานานหลายปีนั้นทำให้รู้สึกแย่มากที่สุด
หนิงเซ่าชิงไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่นมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในวัดเซียงกั๋วก็อยู่ถึงห้าปี ในภายหลังก็ไปดินแดนอันรกร้าง
แม้ว่าจะอยู่ในเมืองหลวง ส่วนใหญ่ก็ใส่หน้ากาก เขามีฐานะเป็นหัวหน้าตระกูลหนิง และมีเพียงแค่คนที่ตำแหน่งสูงส่ง มีอำนาจมากพวกนั้นรู้
ชาวบ้านทั่วไปจะรู้ได้เช่นไรว่า บุรุษหนุ่มที่อ่อนโยนผู้นี้เป็นหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่?
คนที่หันไปมองไม่ใช่แค่คนสองคน
ยังมีกระทั่งคนที่เดินไปเดินมาเดินชนกัน
ทว่า หนิงเซ่าชิงกลับไม่ปรายตามองเลยสักนิด
แม้จะไม่สนใจสายตาคนอื่น หนิงเซ่าชิงกลับหงุดหงิดอยู่บ้าง จึงถามเตาหนูที่ตามอยู่ด้านหลัง “รู้ไหมว่าพวกเขาไปที่ไหนกัน”
เมืองหลวงกว้างขนาดนี้ ถ้าตามหาโดยไม่มีเป้าหมาย ก็หาพวกเขาไม่พบ
เตาหนูมองหนิงเซ่าชิงอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนอาซานมา บอกกำหนดการเดินทางของพวกคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วกับหัวหน้าตระกูลแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมหัวหน้าตระกูลยังจะถามอีก
แต่แม้ว่าในใจจะประหลาดใจ แต่เตาหนูก็บอกหนิงเซ่าชิงอย่างตรงไปตรงมา ก่อนอื่นพวกมั่วเชียนเสวี่ยจะไป อี้ผิ่นเซวียนในเมืองหลวง จากนั้นค่อยไปตามหากระจก
หนิงเซ่าชิงได้ยินแล้วก็พยักหน้า เดินนำไปยังอี้ผิ่นเซวียน
เตาหนูรู้เสียที่ไหนว่า ตอนที่อาซานบอกกำหนดการเดินทางของพวกมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิง หนิงเซ่าชิงกำลังคิดเรื่องง้อมั่วเชียนเสวี่ยให้หายงอน คิดถึงความประหลาดใจที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขากะทันหัน จึงปิดการรับรู้วาจาที่อาซานเอ่ยเหล่านั้นไปโดยปริยาย
มีประโยคหนึ่งที่ไม่ได้ปิดการรับรู้ นั่นก็คือมั่วเชียนเสวี่ยออกมาข้างนอกกับถงจื่อจิ้ง
เพียงแค่คิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยถึงกับออกมาข้างนอกกับถงจื่อจิ้ง หนิงเซ่าชิงก็รู้สึกแย่มาก! เจ็บปวดเสียจนอยากจะกำจัดถงจื่อจิ้งที่เป็นหนามยอกอกนี้ออกไป!
ช่างทำให้คนโมโหเกินไปแล้วจริงๆ!
สวี่หยวนหยวนทะลวงวงล้อมของเหล่าคนที่ไร้ความสามารถในการต่อสู้ของคฤหาสน์สวี่พวกนั้นสำเร็จ จากนั้นก็ยืนอยู่บนถนนอย่างมีความสุข
ในที่สุดนางก็ออกมาได้แล้ว! ถูกท่านพ่อขังอยู่ในคฤหาสน์หลายวัน ในที่สุดก็ได้สูดอากาศสดชื่นแห่งความมีอิสระแล้ว!
แต่ตอนนี้นางมีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งที่ต้องไปทำ! ไม่สามารถยืนหายใจอยู่ตรงนี้ตามใจชอบได้
บุรุษรูปงามที่ใจเฝ้าคิดถึงคนนั้น นางจะต้องคว้าเขามาไว้ในมือให้ได้!
จากนั้น…อิอิ…
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่สวี่หยวนหยวนรู้สึกลำบากใจ
เรื่องครั้งที่แล้วเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป นางจำได้เพียงแค่รูปร่างหน้าตาของบุรุษที่โดดเด่นเหนือผู้คน แต่ไม่ได้สอบถามชื่อแซ่ บ้านอยู่ที่ใด แล้วจะตามหาอย่างไร
สวี่หยวนหยวนเป็นคนตรงไปตรงมาแต่กำเนิด เรื่องที่คิดไม่ออก ก็ไม่คิดอีก
นางคิดว่า ในเมื่อสามารถพบกับบุรุษผู้นั้นที่ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว นั่นก็หมายความว่าระหว่างพวกเขามีพรหมลิขิตต่อกัน! และเมื่อมีพรหมลิขิต จะที่ใดก็สามารถพบได้!
ดังนั้น นางจึงตัดสินใจเดินตรงไปตามเส้นทางด้านหน้านี้! จะต้องได้พบกับคนงามของนางแน่นอน!