ตอนที่ 492 ตำรวจรวบรวมหลักฐาน
ขณะที่หลินม่ายพาเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางก็ไม่ได้ดึงดูดแค่สายตาของเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังทำให้พนักงานร้านเปาห่าวซือและร้านเหรินเจียนเยียนหั่วตกตะลึงอีกด้วย
ทุกคนต่างคาดเดาในใจ หัวหน้าหลินทำผิดกฎหมายงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนจะเดินตามประกบเธอมาติด ๆ แบบนี้ได้อย่างไร?
เสี่ยวหม่านวิ่งออกมาจากร้านเพื่อถามหลินม่ายว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย ฉันก็เลยกลับมาที่บ้านเพื่อเอาหลักฐานมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ทุกอย่างยังเรียบร้อยดี”
เสี่ยวหม่านส่งเสียงตอบรับ แล้วยืนนิ่งมองดูพวกเขาเดินจากไป
พอมาถึงที่บ้าน หลินม่ายหยิบใบเสร็จรับเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องข้องกับการรับสินค้าจากกรมศุลกากรส่งให้ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองต่างรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่ารายละเอียดในใบเสร็จรับเงิน สามารถพิสูจน์ได้ว่าหลินม่ายนำเข้าตู้เย็นจำนวนมากมาจากกรมศุลกากรจริง ๆ
ผู้ประกอบการหลินคนนี้มีอำนาจสูงมากถึงขึ้นขอซื้อตู้เย็นจากกรมศุลกากรได้เชียวหรือนี่
ในเมื่อตู้เย็นพวกนี้ถูกซื้อมาจากด่านศุลกากรอย่างถูกต้อง อาหารแปรรูปนำเข้าก็น่าจะซื้อมาด้วยวิธีเดียวกัน
ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่อาหารแปรรูปนำเข้าในตลาดฝูตัวตัวจะเป็นสินค้าที่ถูกลักลอบนำเข้ามา
ถึงแม้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองจะตัดสินเองในใจแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถสรุปสำนวนคดีได้โดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองรวบรวมใบเสร็จรับเงินที่ได้จากหลินม่ายแล้วขอตัวจากไป
เมื่อหลินม่ายเดินไปส่งพวกเขา เธอก็ถามว่าจากนี้จะสามารถเปิดใช้โกดังของตลาดสดฝูตัวตัวได้ตามปกติแล้วหรือยัง เพราะนอกจากอาหารแปรรูปนำเข้าแล้ว ยังมีเส้นบะหมี่และน้ำมันที่ต้องขายอีกเป็นจำนวนมาก
ตำรวจนายหนึ่งตอบกลับอย่างสุภาพ “จนกว่าคดีจะคลี่คลาย พวกคุณจะยังเปิดโกดังไม่ได้ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากส่งตำรวจกลับไปแล้ว หลินม่ายก็กลับไปที่โรงงานตัดเสื้อ เธอวางเครื่องบันทึกเทปมือสองทิ้งไว้ในสำนักงาน จึงต้องย้อนกลับไปเอามัน
เฉินเฟิง จ้าวเลี่ยง และคนอื่น ๆ ออกไปกันหมดแล้ว แม้แต่เหรินเป่าจูก็ไปที่ถนนฮั่นเจิ้งเพื่อตรวจสอบกิจการของร้านค้าส่งเสื้อผ้า Unique
โฮ่วซินอี้ เถาจืออวิ๋น และคนอื่น ๆ เห็นหลินม่ายกลับมา จึงรีบมารวมตัวกันเพื่อถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี
หลินม่ายบอกพวกเขาทั้งหมดว่า “ไม่ต้องกังวลไป เจ้าหน้าที่ตำรวจเอาใบเสร็จรับเงินทั้งหมดไปตรวจสอบกับทางกรมศุลกากรแล้ว เดี๋ยวความจริงก็เปิดเผย ความบริสุทธิ์ของฉันจะได้รับการยืนยัน ไม่เป็นไรหรอก“
แค่นั้นทุกคนก็รู้สึกโล่งใจ
หลินม่ายไปที่ห้องทำงานของเธอแล้วนำเครื่องบันทึกเทปมือสองไปที่ร้านค้าส่งบนถนนฮั่นเจิ้ง
แม้เทศกาลไหว้พระจันทร์จะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังมีร้านรวงอีกมากมายที่ตั้งแผงขายของบนถนนฮั่นเจิ้ง บรรยากาศโดยรอบยังคึกคัก ลูกค้าสัญจรไปมาไม่ขาดสาย
ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงประตูร้าน หลินม่ายก็หันไปมองร้านตัวแทนจำหน่ายของซีม่าน พบว่าติงไห่เฟิงกำลังคุยกับเกาจื้อหย่วนอยู่
คนหนึ่งโกรธเป็นฟืนไฟ อีกคนหนึ่งเอาแต่คร่ำครวญ
พอเห็นแบบนี้แล้วหลินม่ายก็แอบดีใจ
ดูเหมือนว่าเธอเดาถูก แม้เฉินเฟิงจะถอนตัวออกจากวงการใต้ดินแล้ว แต่ชื่อเสียงและอิทธิพลของเขายังคงอยู่
ไม่อย่างนั้นเกาจื้อหย่วนคงไม่แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาทันทีที่เขาเห็นติงไห่เฟิงหรอก
เธอเดินเข้าไปถามติงไห่เฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นายกำลังคุยเรื่องอะไรกับเถ้าแก่เกาอยู่เหรอ?”
เกาจื้อหย่วนไม่รอให้ติงไห่เฟิงตอบ เขารีบพูดด้วยความกลัว “คุณหลิน ผมขอโทษจริง ๆ เป็นเพราะผมตาบอดมองไม่เห็นภูเขาไท่ซาน ผมไม่รู้ว่าคุณกับพี่เฟิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แถมยังเผลอทำให้คุณขุ่นเคืองอีก ผมหวังว่าคุณจะใจกว้างยอมปล่อยผมไป”
หลินม่ายโบกมือและตอบกลับอย่างใจดี “ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือสาคนไม่รู้หรอก!”
ในที่สุดเกาจื้อหย่วนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะอธิบาย “ผมไม่รู้ว่าร้านซีม่านกับร้าน Unique ของคุณเป็นคู่แข่งกัน ถ้าผมรู้แต่แรก ผมไม่มีทางดีลเป็นตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าจากร้านซีม่านแน่”
หลินม่ายยิ้ม ขณะที่มองดูคนปากแดงฟันขาวกำลังพูดแก้ต่างให้ตัวเอง
ไม่รู้ว่าซีม่านและ Unique เป็นคู่แข่งกันเนี่ยนะ?
เมื่อไม่นานมานี้ เธอกับกวนหย่งหัวมีคดีความกัน นอกจากนี้หนังสือพิมพ์ยังรายงานข่าวเกี่ยวกับความคับข้องใจระหว่างทั้งสองแบรนด์เป็นระยะ ๆ ทำให้เกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง คนอย่างเขาจะไม่รู้เลยเหรอ?
คิดว่าตัวเองกำลังโกหกใครกัน!
เขาไม่ยอมเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้ารายอื่น แต่กลับเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับร้านซีม่านที่ลอกเลียนแบบสไตล์เสื้อผ้าของร้านUnique ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่ซีม่านลอกเลียนแบบมาจากUniqueขายดิบขายดีหรอกเหรอ คุณเลยตัดสินใจร่วมมือทางการค้ากับซีม่าน?
รักใคร่กลมเกลียวกันไว้ จะได้อยู่ด้วยกันอีกนานสินะ
พอท่าทางของเกาจื้อหย่วนอ่อนลง หลินม่ายก็ไม่คิดจะตีกระหน่ำซ้ำเติมหมาที่ตกน้ำอีกต่อไป
เธอยังพูดด้วยความใจกว้าง “ในเมื่อเถ้าแก่เกาตัดสินใจเป็นตัวแทนของซีม่านไปแล้ว ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะ ตราบใดที่คุณไม่มาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ก็ไม่มีอะไร จากนี้พวกเราจะได้แข่งขันทางธุรกิจกันอย่างเปิดเผย”
เธอมั่นใจมากว่าตราบใดที่เป็นการแข่งขันทางธุรกิจที่ยุติธรรม เกาจื้อหย่วนจะไม่สามารถเอาชนะเธอได้อย่างแน่นอน
เกาจื้อหย่วนพูดอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณกับกวนหย่งหัวเป็นศัตรูกัน ถ้าผมยังยืนยันจะเป็นตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าร้านซีม่าน คิดว่าผมยังมีความเป็นคนอยู่ไหม? ผมจะไปยกเลิกสัญญากับกวนหย่งหัวเดี๋ยวนี้” พูดจบแล้วเขาก็เดินจากไป
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเกาจื้อหย่วนที่เขาแสดงละครราวกับว่าเป็นเรื่องจริง
ตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าซีม่านถูกร้านUniqueของเธอกดลงกับพื้นจนจมดิน กำไรหดหายจนแทบไม่เหลือ ถึงจะพอมีรายได้เข้ามาบ้างแต่ก็น้อยนิดเต็มกลืน
สำหรับเกาจื้อหย่วนซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าซีม่าน เขาคิดว่ามันเป็นแค่โครงไก่ชิ้นหนึ่งที่กินไปก็ไม่อร่อย แต่ก็น่าเสียดายถ้าโยนทิ้งไป
เกาจื้อหย่วนจึงต้องการยุติความร่วมมือกับซีม่าน เพื่อยุติความเสียหายไว้แต่เพียงเท่านี้
ผู้ชายคนนี้ยอมโยนโครงไก่ชิ้นนี้ทิ้งไปแค่เพราะไม่ต้องการทำให้เฉินเฟิงขุ่นเคือง ทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรมและน่าเกรงขาม มีศีลธรรมทางการค้าขาย ช่างมีพรสวรรค์จริง ๆ
ในเมื่อเขาอยากเล่นละครนัก ถ้าอย่างนั้นเธอจะจัดให้อย่างสมปรารถนา
แม้แต่คนดีอย่างหลินม่ายยังเสแสร้งแสดงละครกับเขาเลย
เธอแย้งเขาอย่างรวดเร็ว “เถ้าแก่เกา อย่าทำอะไรโง่ ๆ นะคะ การยกเลิกสัญญาถือเป็นการละเมิดสัญญา และคุณต้องยอมรับผลที่ตามมาจากการฉีกสัญญาในครั้งนี้ด้วย”
เกาจื้อหย่วนโบกมือ “ถ้าการที่ผมยกเลิกสัญญากับซีม่าน จะทำให้พี่เฟิงหายโกรธผม ไม่ว่าราคาสูงแค่ไหนผมก็ยอมจ่าย” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ติงไห่เฟิงมองตามแผ่นหลังของเขาขณะที่กำลังเดินจากไปแล้วพูดว่า “ผู้ชายคนนี้ฉลาดจริง ๆ!”
หลินม่ายถาม “เมื่อกี้นายยืนเถียงอะไรกับเถ้าแก่เกา?”
“ไม่ได้เถียงอะไรหรอก ผมแค่ตำหนิความน่าเกลียดของเขาที่ทำธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายของซีม่าน ซึ่งเป็นศัตรูทางการค้ากับร้านเสื้อผ้าของเรา”
หลินม่ายตักเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “นายจะหาเรื่องทะเลาะกับเถ้าแก่เกายังไงก็ได้ แต่พยายามอย่าใช้วิธีสามหาวแบบอันธพาลเหมือนเมื่อก่อนเพื่อไปข่มขู่หรือคุกคามคนอื่น ในเมื่อนายรอดออกมาจากวงการใต้ดินแล้ว ก็อย่าหวนกลับไปทำอะไรแบบนั้นอีก”
ติงไห่เฟิงพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว”
เมื่อบรรลุเป้าหมาย ติงไห่เฟิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องลาดตระเวนอยู่แถวหน้าร้านขายส่งเสื้อผ้าUniqueอีกต่อไปแล้ว
หลินม่ายสั่งให้พวกเขากลับไปทำงานตามเดิม
ตอนแรกเธอตั้งใจซื้อเครื่องบันทึกเทปมา เพราะต้องการใช้มันเป็นเครื่องกระจายเสียงเผยแพร่เรื่องอื้อฉาวของแบรนด์ซีม่าน เรื่องที่พวกเขาแจกผ้าพันคอด้อยคุณภาพให้กับลูกค้า เพื่อให้ร้านตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าซีม่านได้รับผลกระทบโดยตรง
เพราะเหตุผลดังกล่าว หลินม่ายจึงตั้งใจบันทึกเสียงที่บ้านเป็นพิเศษ
แต่ตอนนี้มันคงไร้ประโยชน์แล้วล่ะ
หลินม่ายหยิบเทปเสียงแฉเรื่องอื้อฉาวของแบรนด์ซีม่านที่บันทึกไว้ในเครื่องออกมา จากนั้นก็ใส่เทปเพลงของเติ้งลี่จวินเข้าไปแทนที่ เปิดลำโพงให้ดังสุด แล้วเปิดประตูร้านให้กว้าง
ช่วงหลายปีมานี้ เพลงของเติ้งลี่จวินได้รับความนิยมสูงสุดในจีนแผ่นดินใหญ่
อย่างไรก็ตาม มีไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่มีเครื่องเล่นเทปอยู่ในบ้าน ผู้คนจำนวนมากจึงเหมือนยังเข้าไม่ถึงอิสระในการฟังเพลง
เมื่อหลินม่ายเปิดเครื่องเล่นเพลงของเติ้งลี่จวินไว้หน้าประตูร้านแบบนี้ พ่อค้าแม่ค้าที่เดินผ่านไปมาหลายคนก็ถูกเสียงเพลงดึงดูดให้เข้ามาดูสินค้าในร้านมากขึ้น
ผู้ค้าบางคนที่ทำอาชีพขายเสื้อผ้าสตรีอยู่แล้ว พอเห็นว่าสไตล์เสื้อผ้าในร้านทั้งสวยและทันสมัยก็จะแวะเข้าไปดูและสอบถามราคา
พอใช้วิธีนี้ ธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าUniqueก็จะยิ่งดีขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจของร้านตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าซีม่านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเงียบเหงาเข้าไปอีก
หลังจากนั้นหลินม่ายก็จากไปด้วยความพึงพอใจ
สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อกลับถึงบ้านคือโทรหาเถาจืออวิ๋น
มอบหมายงานให้อีกฝ่ายเดินทางไปทำธุรกิจที่เซี่ยงไฮ้ในวันพรุ่งนี้ ลองดูว่าเธอพอจะเชิญช่างทำพร็อพที่เกษียณอายุแล้วจากสตูดิโอภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้มาออกแบบเครื่องประดับให้ได้หรือเปล่า
ถ้าไม่สามารถเชิญใครได้เลย ก็ให้เบนเป้าหมายใหม่ไปที่สตูดิโอภาพยนตร์ปายี่
ตอนแรกเธอวางแผนไว้ว่าจะแจ้งให้ทุกคนทราบในที่ประชุม แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันอย่าง ‘คดีลักลอบนำเข้า’ หลินม่ายจึงลืมพูดถึงเรื่องนี้ไปสนิท ทันทีที่นึกขึ้นได้เลยรีบโทรแจ้งเถาจืออวิ๋นเป็นการส่วนตัว
พอวางสายแล้ว หลินม่ายก็ต่อสายโทรหาเคอจื่อฉิง สอบถามว่าช่วงนี้โกดังของหล่อนพอมีผลิตอาหารแปรรูปเข้ามาบ้างไหม
ไม่ใช่แค่จ้าวเลี่ยงที่อยากรับซื้ออาหารแปรรูปนำเข้ามาขายต่อ เธอเองก็ต้องการสินค้าที่ขายดีและทำกำไรก้อนโตให้กับผลประกอบการเหมือนกัน
เคอจื่อฉิงตอบว่า “ช่วงนี้อากาศเย็นลง อาหารไม่เน่าเสียง่าย ทันทีที่กรมศุลกากรรับสินค้าพวกผลิตภัณฑ์อาหารเข้ามาก็โดนคนรู้จักของหัวหน้าแย่งซื้อไปตลอด กว่าสินค้าจะเหลือมาถึงมือฉันก็ยากแล้ว”
หลินม่ายแอบผิดหวังนิดหน่อย
ถึงอย่างนั้นเคอจื่อฉิงก็พูดมาจากปลายสาย “ถ้าเป็นของจำพวกเครื่องสำอางก็จะเก็บไว้ง่ายหน่อย แต่เสียดายที่เธอไม่อยากได้”
หัวใจของหลินม่ายถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ
จวนจะถึงวันชาติแล้ว ถ้าเธอใช้เครื่องสำอางนำเข้าเป็นของขวัญในกิจกรรมส่งเสริมการขาย ยอดขายเสื้อผ่าน่าจะพุ่งสูงกว่าเดิมอีก
เธอถาม “เครื่องสำอางที่ว่ามีอะไรบ้างล่ะ?”
“กล่องใส่เครื่องสำอาง แป้งรองพื้นอัดแข็ง ลิปสติก แล้วก็อีกหลายอย่างเลย”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ลิปสติกมีสีอะไรบ้าง ราคาขายส่งอยู่ที่เท่าไหร่? มีทั้งหมดกี่แท่ง แล้ววันหมดอายุคือเมื่อไหร่?”
“ลิปสติกมีหลายยี่ห้อ อย่างต่ำห้าหมื่นแท่งโน่นแหละ มีมากกว่าหนึ่งสีแน่ ๆ ดูเหมือนจะมีห้าถึงหกเฉดเชียวนะ เพราะเป็นของค้างสต๊อกราคาก็เลยถูกมาก มีตั้งแต่ห้าเหมาไปจนถึงแท่งละหนึ่งหยวน ส่วนวันหมดอายุ อายุการเก็บรักษาที่สั้นที่สุดยังเหลืออีกตั้งหนึ่งปี”
ในเมื่อพวกมันมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานพอ เธอก็รับซื้อได้โดยไม่ต้องกลัวของเสื่อมคุณภาพ
หลินม่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ขอให้เคอจื่อฉิงช่วยเก็บลิปสติกยี่ห้อตี้ห่าวเอาไว้ทั้งหมด เพราะมันเป็นลิปสติกแบรนด์ใหญ่ที่สุดในบรรดาลิปสติกยี่ห้ออื่น ๆ ที่หล่อนนำเสนอมา
เคอจื่อฉิงเงียบไป “พวกมันมีตั้งหนึ่งแสนแท่งเชียวนะ เธอจะขายหมดจริงเหรอ?”
ถ้าใช้เป็นของขวัญแจกฟรี หลินม่ายก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถแจกลิปสติกหนึ่งแสนแท่งได้สบายมาก
ถึงยังไงมันก็มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน ต่อให้เธอไม่สามารถแจกให้หมดภายในวันชาติ ก็ยังมีวันปีใหม่และเทศกาลฤดูใบไม้ผลิอีกตั้งสองงาน
เธอไม่เชื่อหรอกว่าในช่วงสามเทศกาลสำคัญที่ว่ามา ร้านUniqueจะไม่สามารถทำยอดขายเสื้อผ้าได้ถึงหนึ่งแสนตัว
ตอนนี้แบรนด์Uniqueไม่ได้ตีตลาดแคบ ๆ แค่ในเจียงเฉิงเท่านั้น แต่ยังมีแพลนจะขยายสาขาออกไปในระดับประเทศ
หลินม่ายตอบกลับ “ฉันจะซื้อไปทำโปรโมชั่นแจกฟรี เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าจะขายหมดไหม”
เคอจือสิ่งได้ยินแล้วก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็บอกข่าวด่วนให้เธอรับรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นับว่าอยู่เป็น เอาตัวรอดได้ดีค่ะ
ไหหม่า(海馬)