“เลี่ยวจือฝู่กับนายท่านเยี่ยนก็เพิ่งเดินทางไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลเหมือนกันขอรับ ตอนนี้พวกเขาคงกำลังพูดคุยเรื่องการก่อสร้างถนนกับใต้เท้าเฉินอยู่กระมัง จริงสิ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ ใต้เท้าเว่ยคงไม่รู้สินะขอรับว่าใต้เท้าเฉินเป็นใคร…”
“เขาเป็นใครรึ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามทีเล่นทีจริง
“เขาเป็นผู้ว่าการสามมณฑลที่เมืองหลวงส่งมาขอรับ ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ใต้เท้าเฉินกับเลี่ยวจือฝู่นั้นสนิทสนมกันมากทีเดียว จากความเห็นของข้า โครงการก่อสร้างถนนในครั้งนี้จะต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอนขอรับ! เมื่อเป็นเช่นนั้น ตราบใดที่ท่านอยู่เงียบๆ และไม่สร้างปัญหาให้กับเลี่ยวจือฝู่ละก็ พวกเราก็อาจจะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นกันด้วยนะขอรับ!” ที่ปรึกษาจางพูดราวกับว่าเขาได้เห็นมาด้วยตาตัวเองว่าผู้ว่าการเฉินกับเลี่ยวจือฝู่นั้นสนิทกันเพียงใด
เฉินเหลียงสบถขึ้นเงียบๆ ว่า บัดซบ!
แน่นอนว่าข้าต้องรู้อยู่แล้วว่าพ่อตัวเองสนิทกับใคร!
ท่านพ่อของเขาเกลียดชังคนแซ่เลี่ยวเป็นที่สุด เขาเพียงยอมพบกับอีกฝ่ายเพราะไม่สามารถหักหน้าของเขาได้เท่านั้น พวกเขาจะไปสนิทกันได้อย่างไร
ถ้าพวกเขาสนิทกันจริง แล้วมีหรือที่ข้ารับใช้คนนี้จะจำข้าที่เป็นบุตรชายของผู้ว่าการเฉินไม่ได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเจ้าเล่ห์
เฉินเหลียงมองนางด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แล้วเอ่ยว่า ”ลูกพี่ อย่าห้ามข้าขอรับ ให้ข้าจัดการมันซะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตบบ่าเขาเป็นการปลอบให้เขาใจเย็นลง
จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร คนพวกนี้กำลังใส่ร้ายป้ายสีท่านพ่อของเขาอยู่ชัดๆ!
“ลูกพี่ ช่วยบอกองค์ชายสามด้วยนะขอรับว่าท่านพ่อของข้าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตอย่างแน่นอน แม้เขาจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก แต่เขาก็แตกต่างจากคนพวกนี้ลิบลับขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากหัวเราะเมื่อนางเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่บนดวงตาของอีกฝ่าย แต่สถานการณ์ในเวลานี้ไม่เอื้อให้นางสามารถทำเช่นนั้นได้ นางทำได้เพียงชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสาวเท้าเดินเข้ามาหาพวกนาง พร้อมใช้น้ำเสียงที่มีเพียงเฉินเหลียงที่ได้ยินบอกกับเขาว่า ”ถ้าเจ้าทำให้นางตบบ่าเจ้าอีกรอบละก็ เชื่อหรือไม่ว่าเจ้าจะได้ออกไปจากที่นี่ในสภาพคนพิการแน่”
เฉินเหลียงรีบยืนตัวตรงทันที แต่เขาก็รู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ลูกพี่เพียงแค่ปลอบใจข้าเท่านั้นมิใช่หรือ องค์ชายสามจะขี้หวงเกินไปหรือเปล่า…
ที่ปรึกษาจางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาคิดว่าผู้ติดตามของเฮ่อเหลียนเวยเวยคงแค่กำลังปรึกษาหารือบางอย่างกันเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเริ่มพูดต่ออย่างภาคภูมิใจว่า ”ใต้เท้าเว่ยเชื่อฟังคำแนะนำของข้าดีกว่าขอรับ ข้าอยู่ที่เมืองฟู่ผิงมาหลายปีแล้ว สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ในตอนนี้ล้วนแต่เสียแรงเปล่า ทำไมท่านไม่เชื่อฟังเลี่ยวจือฝู่และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองแทนล่ะขอรับ ทำเช่นนั้นท่านจะได้เลื่อนตำแหน่งเร็วขึ้นด้วย”
“สรุปว่าจากความคิดของที่ปรึกษาจาง การเป็นขุนนางคือการเลื่อนขั้น ไม่ใช่การรับใช้ประชาชนหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยโยนคำถามกลับไปให้เขาอย่างสบายๆ
สีหน้าของที่ปรึกษาจางดำทะมึน เขาฝืนปั้นรอยยิ้มอันเสแสร้งออกมาพร้อมกับตอบว่า ”เรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใต้เท้าเว่ยจะคิดอย่างไรขอรับ นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้ายังมีอย่างอื่นที่ต้องทำอยู่ ใต้เท้าเว่ยไปพักผ่อนก่อนเถิด บางทีอาจจะมีคนเอาเงินมาให้ท่านในฝันก็ได้”
คำพูดของเขาเต็มไปการเสียดสี เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการสื่อว่าสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังพยายามทำอยู่นั้นไม่สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ และมันเป็นได้เพียงแค่การฝันกลางวันของคนโง่เท่านั้น
พูดจบ ที่ปรึกษาจางก็ไม่รอฟังคำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขารีบพาข้ารับใช้ของตัวเองออกไปอย่างรวดเร็วพลางสะบัดแขนเสื้อของตัวเองไปด้วย
เฉินเหลียงโกรธจนควันออกหู ”ข้าอยู่มาก็นาน แต่ก็เพิ่งเคยเห็นที่ปรึกษากล้าพูดจาสามหาวกับนายอำเภอเช่นนี้ เมืองฟู่ผิงช่างไร้กฎระเบียบเสียจริง! ลูกพี่ขอรับ ท่านทนได้อย่างไรกัน”
“ข้ายังไม่มีตัวตนที่นี่ จึงเป็นธรรมดาที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้” เฮ่อเหลียนเวยเวยสั่งให้ข้ารับใช้ในศาลาว่าการไปเตรียมน้ำชา เมื่อเขาออกไป นางจึงเอ่ยต่อ ”วันหนึ่งข้าจะกำจัดคนพวกนี้ออกไป แต่มันจะไปสนุกอะไรถ้าเรากำจัดพวกมันแค่คนเดียว สู้กำจัดพวกมันพร้อมกันในคราวเดียวจะดีกว่า”
เฉินเหลียงกำลังหงุดหงิดอยู่ก็จริง แต่ความโกรธที่แล่นพล่านอยู่ในเลือดของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดเช่นนั้น เมื่อเขาหวนกลับไปนึกถึงวิธีการที่ลูกพี่เคยใช้มาในอดีตแล้วก็พบว่าทุกวิธีล้วนแต่ชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก เขานึกสงสัยขึ้นมาว่าคราวนี้นางตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
“ลูกพี่ ท่านจะลงมือเมื่อใดหรือ ข้าขอช่วยด้วยคนขอรับ! สายตาของพวกมันจดจ้องอยู่แต่กับเงินทอง พวกมันไม่มีค่าพอที่จะทำงานเพื่อประชาชนหรอกขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาเป็นคนมีความยุติธรรมในจิตใจ ประกายแห่งความเย็นชาเรืองแสงวาบขึ้นในดวงตาของนาง จากนั้นนางจึงกล่าวพร้อมกับลูบแหวนที่นิ้วว่า ”อย่าเพิ่งร้อนใจไป คนที่ควรร้อนใจคือพวกมันต่างหาก…”
เลี่ยวจือฝู่กับนายท่านเยี่ยนกำลังร้อนใจอย่างมากอยู่จริงๆ พวกเขาทำตัวเหมือนแมวที่วิ่งอยู่บนสังกะสีร้อนๆ ไม่มีผิด พวกเขารู้ว่างบประมาณกำลังจะมาถึงในไม่ช้า แต่คนขนเงินพวกนั้นกลับแจ้งกับพวกเขาว่าเบื้องบนมีคำสั่งให้เขานำมันไปที่เมืองฟู่ผิง
ผู้ว่าการเฉินเป็นคนมีไหวพริบดีมาก เขามักทำตัวเหมือนไม่สนใจไยดีเรื่องพวกนั้นและเป็นคนที่อ่านยากอยู่เสมอ เขาไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยเรื่องสำคัญให้ใครรู้ง่ายๆ
เรื่องนี้ทำให้เลี่ยวจือฝู่รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ทันทีที่เขากลับมาถึงเมืองฟู่ผิง เขาก็ส่งคนไปเชิญเฮ่อเหลียนเวยเวยมาร่วมรับประทานอาหารด้วยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คนที่มาร่วมโต๊ะอาหารกลับเต็มไปด้วยจือฝู่จากเมืองข้างเคียงหลายคน เขาเอ่ยถึงเรื่องนั้นอย่างอ้อมๆ โดยไม่ได้เอ่ยชื่อของใครออกมาเป็นพิเศษ แต่เพียงสื่อว่าใครบางคนควรจะหัดมองภาพใหญ่ให้ออก และเลิกเป็นกังวลกับรายละเอียดยิบย่อยพวกนั้นเสียที จากเมืองฟู่ผิงไปจนถึงหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการก่อสร้างถนน และมีเพียงแค่การทำเช่นนั้นเท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ร่ำรวยขึ้นได้!
“พวกเจ้าวางใจได้ ข้าในฐานะจือฝู่ย่อมไม่ใช่คนเดียวที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เมื่อถนนสร้างเสร็จ ประชาชนและราชสำนักก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น ทำใจให้สบายก็พอ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจงใจทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขาพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะหมุนถ้วยชาในมือ
เลี่ยวจือฝู่ใช้หางตาเหลือบมองนาง แล้วเสริมว่า ”ใต้เท้าเว่ย ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้หรือ”
“ความคิดเห็นของข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยดื่มชาอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วตอบว่า ”เมื่อคราวก่อนข้าก็บอกเลี่ยวจือฝู่ไปแล้ว ภัยแล้งระลอกสองกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ข้าเพียงแค่กำลังคิดหาวิธีที่จะป้องกันมันเท่านั้น”
เลี่ยวจือฝู่เอ่ยเหน็บแนมว่า ”ใต้เท้าเว่ยช่างเป็นขุนนางที่ดีจริงๆ ที่เลือกประชาชนก่อนตัวเอง แต่บางครั้งท่านก็ต้องรู้จักมองโลกให้กว้างๆ เสียบ้าง ที่จริงแล้วอาจไม่ได้มีใครสักคนอยากให้ท่านทำเช่นนั้นก็ได้”
บรรดาขุนนางคนอื่นๆ ต่างร่วมหัวเราะผสมโรงไปกับเขา เลี่ยวจือฝู่บอกเป็นนัยๆ ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยประเมินตัวเองเอาไว้สูงเกินไป ในสายตาของพวกเขา นางไม่มีค่าพอให้พูดถึงเสียด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงหรี่ตาแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก ”นั่นพวกเราก็ต้องรอดูกันต่อไป”
พวกเขาระเบิดหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกเขายังได้ยินมาว่านายอำเภอคนใหม่ผู้โง่เขลาคนนี้ดั้นด้นไปถึงเมืองหลวงประจำมณฑลทั้งที่ไม่มีเส้นสายใดๆ และสุดท้ายก็ผิดหวังกลับมาโดยที่ไม่ได้เข้าพบใครแม้แต่คนเดียว อะไรกันที่ทำให้เขามั่นใจว่าจะต่อต้านเลี่ยวจือฝู่ได้ เขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากพอจะพลิกเกมทั้งกระดานได้หรือ ฮ่าๆๆ เจ้าคนบ้านนอกคนนี้ช่างไร้สมองเสียไม่มี!
แต่พวกเขาไม่รู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ ผู้ว่าการเฉินเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงประจำมณฑลตอนที่เขาได้รับจดหมายสำคัญฉบับหนึ่ง
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!” เด็กรับใช้ยืนอยู่หน้าประตู เขารีบสิ่งจดหมายให้ใต้เท้าเฉินแล้วบอกว่า ”จดหมายจากที่ปรึกษาส่วนตัวคนหนึ่งที่เป็นสหายของนายน้อยขอรับ เขาบอกให้ข้านำมันมาส่งให้กับท่าน”
“ที่ปรึกษาส่วนตัวที่เป็นสหายกับลูกชายข้าหรือ” ใต้เท้าเฉินคิดกับตัวเองว่าช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเสียนี่กระไรขณะคลี่จดหมายฉบับนั้นออก บนนั้นมีคำพูดเขียนเอาไว้เพียงไม่กี่คำว่า ’มังกรทะยาน ปักษาร่ายรำ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแลความสง่างามอันกึกก้องเกรียงไกร’
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับไม่ใช่คำพูดประโยคนี้!
สิ่งสำคัญก็คือชื่อผู้ส่งที่อยู่ด้านล่างสุดของกระดาษต่างหาก!