สืออีเหนียงยิ้มอย่างเอือมระอา
กลับมาถึงเรือน นางก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ไม่รู้ว่าทำไมพี่สะใภ้สามถึงถูกใจข้า ให้คนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างข้าไปเป็นแม่สื่อให้ฉินเกอ” นางยิ้มแล้วพยายามเล่าเรื่องนี้โดยไม่ให้ตึงเครียด
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีประสบการณ์? เจ้าก็เป็นแม่สื่อให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กับสือเอ้อร์เหนียงไม่ใช่หรือ หากแม้แต่เจ้ายังไม่มีประสบการณ์ แล้วใครจะกล้าบอกว่าตัวเองมีประสบการณ์เล่า!”
“นั่นมันไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงแก้ต่าง “ข้าแค่เป็นสะพานให้ สำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตของพวกเขา แต่พี่สะใภ้สามบอกให้ข้าไปเป็นแม่สื่อ ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าต้องใช้ใบชามากเท่าไรถึงจะถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่? เสื้อผ้ากี่ชุดถือว่าสินสอดเยอะ? เมื่อข้าไปพูดเรื่องพวกนี้กับแม่สื่อของสกุลฟัง ข้ายังจะพาป้าซ่งไปด้วย พอแม่สื่อของสกุลฟังพูดมาประโยคหนึ่ง ข้าก็ต้องหันไปปรึกษากับป้าซ่งเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินนางพูดเช่นนี้เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
มีสาวใช้ก็ยกยาเข้ามา
สืออีเหนียงไม่สนใจเขา นางยกถ้วยสีฟ้าดื่มยาจนหมด จากนั้นก็อมมะกอกเค็มไว้ในปาก
สวีลิ่งอี๋ถามนาง “ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง” ด้วยท่าทีที่อ่อนโยน
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
สวีลิ่งอี๋มองไปที่นางด้วยท่าทีที่อ่อนโยน
แม่นมกู้ก็อุ้มจิ่นเกอที่ทานอิ่มแล้วเข้ามา
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้เขาก็ยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ อุ้มจิ่นเกออย่างระมัดระวัง
จิ่นเกอหัวเราะทันที อีกทั้งยังชี้ไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยความดีใจ
สวีลิ่งอี๋หอมแก้มจิ่นเกอ เดินไปนั่งบนเตียงเตาแล้วเตือนสืออีเหนียง “เจ้าไปอาบน้ำเถิด วันนี้นอนเช้าหน่อย พรุ่งนี้จะได้ไปหาท่านแม่แต่เช้า ในเมื่อพี่สะใภ้สามคิดเช่นนี้ พรุ่งนี้นางคงจะตื่นไปบอกท่านแม่แต่เช้ากระมัง ยอมลำทายวัดแห่งหนึ่งดีกว่าทำลายงานแต่งงาน แต่เจ้ายังไม่สบาย ถึงตอนนั้นหากท่านแม่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย…ก็ล้วนแต่ทำให้ทุกคนลำบากใจ”
สืออีเหนียงคิดเช่นนี้ตั้งนานแล้ว
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าให้ท่านป้าที่เฝ้ายามสังเกตการเคลื่อนไหวของพี่สะใภ้สามแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าเช่นไรเราก็ต้องไปหาท่านแม่ก่อนที่พี่สะใภ้สามจะไปคารวะท่านแม่ให้ได้!”
“ฉลาดจริงๆ!” เขายิ้ม
สืออีเหนียงเดินเข้าไปในห้องชำระ
จิ่นเกอร้องตะโกนโวยวายอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋
“เจ้าก็ฉลาดเช่นกัน!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วหอมแก้มเขาอีกครั้ง อุ้มเขาลงไปจากเตียงเตาแล้วเดินไปรอบๆ ห้อง ประเดี๋ยวก็หยุดดูดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ประเดี๋ยวก็ไปดูโคมลูกปัดสีแดงที่แขวนอยู่ในห้องโถง ประเดี๋ยวก็ไปดูบอนไซองุ่นหยกบนโต๊ะยาว
จิ่นเกอสงบลง เขาเบิกตากว้างมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้
*****
ฝั่งคุณชายสามและฮูหยินสามนอนพักผ่อนแล้ว
“สืออีเหนียงไม่ตอบตกลงเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ “เรื่องนี้จะทำเช่นไรดี”
คุณชายสามไม่เห็นด้วย “มีอะไรต้องกังวล ในเมื่อน้องสะใภ้สี่ไม่ตอบตกลง เช่นนั้นก็เชิญหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเดิมของเจ้ามาเป็นแม่สื่อก็ได้! เจ้าเคยบอกว่า หลานสะใภ้ใหญ่ของเจ้าฉลาดแล้วมีความสามารถไม่ใช่หรือ ให้นางมาช่วย เจ้าไม่วางใจอย่างนั้นหรือ “ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เขาหาวขึ้นมา “เจ้ารีบนอนเถิด! พรุ่งนี้ไปคารวะท่านแม่อย่าลืมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังล่ะ” เขาพึมพำ จากนั้นก็นอนลง “สกุลฟังเชิญฮูหยินของรองเจ้ากรมหลิวของกรมอาญามาเป็นแม่สื่อ เรามาถึงเมื่อหลวงแล้ว แล้วเจ้าก็ยังบอกว่าคุณหนูสกุลฟังหน้าตาสวยงาม ไม่ซื่อบื้อเหมือนคุณหนูสกุลขุนนางข้าหลวงไม่ใช่หรือ…” เขาพูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ เมื่อฮูหยินสามหันหน้าไปมอง เขาก็กรนเบาๆ แล้ว
ฮูหยินสามอดไม่ได้ที่จะโมโห
นางอดไม่ได้ที่จะผลักคุณชายสาม “อย่าพึ่งหลับสิ! ข้ายังมีเรื่องจะพูดอีก!”
คุณชายสามถูกนางผลัก เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย “มีเรื่องอันใด พรุ่งนี้ก็ค่อยพูดเถิด!”
“คุณชายสาม!” ฮูหยินสามพูดเสียงดัง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของฉินเกอ ท่านจะสนใจหรือไม่”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็เบิกตากว้าง “ทำไมข้าจะไม่สนใจเล่า! เจ้าพูด เจ้าพูดสิ ข้าฟังอยู่!”
สีหน้าของฮูหยินสามเคร่งขรึมขึ้น นางพูดเบาๆ “นึกถึงตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะว่าขุนนางข้าหลวงบอกว่าคะแนนท่านอยู่ในขั้น ’ย่ำแย่’ ข้าจะไปขอร้องฮูหยินของขุนนางข้าหลวงได้เช่นไร แล้วหากข้าไม่ไปขอร้องฮูหยินของขุนนางข้าหลวง จะเจอกับฮูหยินของนายอำเภอฟังได้เช่นไร” พูดถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงท่าทีดูถูกคนอื่นของฮูหยินขุนนางข้าหลวง นางอดไม่ได้ที่จะกัดฟัน “หากฮูหยินขุนนางข้าหลวงยอมพูดกับข้าดีๆ ข้าจะไปทักทายฮูหยินนายอำเภอฟังทำไมกันเจ้าคะ หากไม่ใช่เพราะเข้าไปทักทายฮูหยินนายอำเภอฟัง แล้วจะพูดถึงเรื่องแต่งงานได้เช่นไร ฮูหยินนายอำเภอฟังก็คงจะไม่บ่นให้ฟังว่านายอำเภอฟังหัวสูง ให้บุตรสาวอยู่ที่จวนจนถึงอายุสิบหก ข้าก็คงจะไม่พูดถึงฉินเกอ บอกว่าเขาถูกไท่ฮูหยินเรียกกลับไปที่เยี่ยนจิง แล้วอยากเป็นคนรับรองให้ฉินเกอด้วยตัวเอง”
เรื่องพวกนี้ คุณชายสามฟังมาหลายครั้งแล้ว
ภรรยาของตนไปขอร้องฮูหยินของขุนนางข้าหลวงด้วยท่าทางหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ทำให้ฮูหยินของขุนนางข้าหลวงไม่พอใจ เมื่อส่งฮูหยินของนายอำเภอฟังออกไปแล้วก็ออกความคิดให้ภรรยาของเขาด้วยเจตนาที่ไม่ดี บอกว่าพี่ชายของนายอำเภอฟังกับใต้เท้าขุนนางข้าหลวงไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมงานกัน แล้วยังเป็นเพื่อนสนิทกันมานานหลายปี แทนที่จะขอร้องให้นางไปพูดกับใต้เท้าขุนนางข้าหลวง ไม่สู้เชิญนายอำเภอฟังออกหน้าพูดแทนดีกว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของบุรุษ เกลี้ยกล่อมเขาใช่ว่าจะได้ผล แล้วยังบอกว่านายอำเภอฟังเป็นคนซื่อ ไม่มีทางมาพูดเรื่องนี้กับเขาแน่นอน แต่ว่านายอำเภอฟังมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือกลัวภรรยา แค่เป็นคำพูของฟังฮูหยิน นายอำเภอฟังก็ไม่กล้าคัดค้าน แล้วฟังฮูหยินก็เป็นคนฉลาด เรื่องของขุนนาง นางไม่เคยเข้ามายุ่ง หากเป็นเมื่อก่อน แน่นอนว่าไม่มีทาง แต่ตอนนี้ฟังฮูหยินมีเรื่องกังวลใจ นั่นก็คือเรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนโต…หากทั้งสองสกุลแต่งงานกัน เช่นนั้นคงแตกต่างออกไป…คงจะพูดประชดประชันว่า ‘สกุลเราถูกใจเขา ใช่ว่าเขาจะถูกใจเรา’
นึกถึงนิสัยและหน้าตาของบุตรสาวสกุลขุนนางข้าหลวง ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนตอนที่อยากให้บุตรสาวตัวเองแต่งงานกับฉินเกอ ยิ่งไปกว่านั้น สกุลฟังเป็นสกุลนักปราชญ์ แล้วยังมีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าฉินเกอจะดีแค่ไหน แต่เขาก็ไม่มีความดีความชอบที่บรรดานักปราชญ์ให้ความสำคัญ ก็ยังถือว่าไม่ดีพอ นี่คือหลักการที่สามีภรรยาอย่างพวกเขาเข้าใจหลังจากที่ถูกปฏิเสธเรื่องแต่งงานของบุตรชายทั้งสองคนในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
ภรรยารู้ว่าฮูหยินขุนนางข้าหลวงถือโอกาสนี้ดูถูกนาง นางจึงกลับบ้านมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวลือที่ว่า ‘นายอำเภอสวีอยากจะสู่ขอบุตรสาวคนโตของนายอำเภอฟังให้บุตรชายคนโต แต่กลับถูกฮูหยินนายอำเภอฟังปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า’ แพร่กระจายออกมา…
พวกเขาสองคนรู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวนี้ออกมา แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้
แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินของนายอำเภอฟังจะมาหาพวกเขาถึงจวน มาอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง
ต่อมาสองสกุลถึงได้ไปมาหาสู่กัน…และเมื่อภรรยาเจอกับบุตรสาวคนโตของนายอำเภอฟัง คิดไม่ถึงว่านางอยากจะสู่ขอจริงๆ และสิ่งที่ทำให้คนยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ เรื่องราวจะราบรื่นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นคะแนนของเขาหรือเรื่องแต่งงานของบุตรชาย
คุณชายสามหลับตาลง
คิดดูแล้ว ตนพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสกุลญาติหรือว่าภูมิหลังของลูกสะใภ้
หากงานแต่งของบุตรชายคนโตเป็นไปได้ด้วยดี งานแต่งของบุตรชายคนรองก็จะดีตามไปด้วย
ตนไม่อยากให้เกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น อยากแต่งลูกสะใภ้เข้ามาให้เร็วที่สุด!
แต่ฮูหยินสามที่เอนตัวอยู่บนหัวเตียงกลับไม่สังเกตเห็นพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของสามี นางพูดต่อ “สองสามวันที่ผ่านมาข้าคิดตั้งนาน ถึงแม้ว่าสกุลฟังจะเป็นสกุลที่มีศีลธรรม แต่สกุลที่มีศีลธรรมก็ต้องทานข้าวสวมเสื้อผ้าใช่หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านลุงของสกุลญาติก็หมดประโยชน์ตั้งนานแล้ว สกุลฟังตอบตกลงเรื่องงานแต่งครั้งนี้ พวกเขาคงจะเห็นแก่ชื่อเสียงของจวนหย่งผิงโหว ตอนนี้ยังไม่ทันได้แต่ง คนเหล่านั้นก็บอกว่าคุณหนูสกุลฟังแต่งงานกับคนต่ำต้อย หากแต่งงานแล้ว ฉินเกอของเรายังจะมีศักดิ์ศรีของการเป็นสามีต่อหน้าภรรยาได้เช่นไร สืออีเหนียงเป็นคนพูดเป็น หากนางเป็นแม่สื่อให้ หนึ่งคือ เมื่อพูดถึงเรื่องสินเดิม เราไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน แล้วบางทีก็อาจจะกดสกุลฟังได้ สองคือจะได้ให้คนของสกุลฟังเห็นว่า ฉินเกอของเราเป็นที่รักของไท่ฮูหยินจวนหย่งผิงโหว สกุลฟังเห็นเช่นนี้ก็จะต้องเห็นแก่หน้าฉินเกอ” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็มีความตื่นเต้น “คุณชายสาม ข้าจะบอกอะไรท่าน ครั้งก่อนที่ข้าไปงานแต่งงานสกุลนายอำเภอหลี่ ได้ยินนายอำเภอหลี่บอกว่า สกุลฟังจะแต่งบุตรสาวด้วยเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ฮูหยินของนายอำเภอหลี่เป็นคนซื่อสัตย์ ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง ท่านคิดว่า หากสืออีเหนียงรู้ว่าลูกสะใภ้ของเรามีสินเดิมตั้งหนึ่งหมื่นตำลึง นางก็คงจะเห็นแก่หน้าลูกสะใภ้ของเราใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินสามพูดจบ นางรอตั้งนานก็ไม่ได้รับคำตอบจากสามี
นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
คุณชายสามผล็อยหลับไปแล้ว
ฮูหยินสามผลักคุณชายสามสองสามครั้ง “คุณชายสาม คุณชายสามเจ้าคะ…”
คุณชายสามพลิกตัว เขาหลับลึกกว่าเดิมเสียอีก
“พูดเรื่องสำคัญอะไรกับเขาก็หลับตลอด!” ฮูหยินสามจึงเป่าตะเกียงแล้วพึมพำในความมืด “เช่นไรฉินเกอก็เป็นหลานชายคนโต พรุ่งนี้ต้องไปคุยกับไท่ฮูหยิน! “
*****
เช้าวันต่อมา ชิวอวี่รับใช้สืออีเหนียงล้างหน้าแปรงฟัน
“ฮูหยินสามยังไม่ออกไปเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า ทานข้าวต้ม หอมแก้มบุตรชายที่กำลังเล่นกับสวีลิ่งอี๋บนเตียง จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
“เหตุใดวันนี้ถึงมาเช้าเช่นนี้” ไท่ฮูหยินบอกให้คนนำนมแพะมาให้นางดื่ม
สืออีเหนียงไม่ปิดบังไท่ฮูหยิน เล่าเรื่องที่ฮูหยินสามขอร้องให้นางเป็นแม่สื่อให้สวีซื่อฉินให้ไท่ฮูหยินฟัง “…อาสะใภ้อย่างข้า เดิมทีควรจะช่วยเขา แต่ว่ามันกลับผิดเวลาเจ้าค่ะ”
“นางแค่อยากได้หน้า” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยปลอบใจ “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ถึงแม้ว่าเจ้าจะช่วยเป็นแม่สื่อให้ฉินเกอไม่ได้ แต่ถึงตอนนั้นให้คุณชายสี่เป็นเจ้าภาพให้นางก็ได้ สำหรับเรื่องแม่สื่อ หากนางมาขอร้องข้า ข้าก็จะช่วยนางเชิญคุณนายสามสกุลหวงมาช่วย นางก็เป็นคนพูดจาเป็นเหมือนกัน”
สืออีเหนียงสบายใจแล้ว
ไท่ฮูหยินถามถึงอาการของนาง รู้ว่านางดีขึ้นแล้ว ก็บอกให้นางรักษาตัวให้ดี จากนั้นก็เชิญนางทานข้าวเช้าด้วยกัน
ทันทีที่วางชามลง ฮูหยินสามก็มาพอดี
เห็นสืออีเหนียง นางก็ตกใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่อยู่ที่จวนสามปี คิดไม่ถึงว่ากฎของจวนเปลี่ยนไปแล้ว น้องสะใภ้สี่ไม่ได้มาคารวะท่านแม่ยามเฉินเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงยิ้มแต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วถามนาง “ทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน “ไม่ได้เจอท่านแม่นาน จึงอยากมาทานข้าวเช้ากับท่านเจ้าค่ะ!”