ตอนที่ 497 เสี่ยงชีวิตช่วยคน
หลังจากที่หลินม่ายขอตัวออกไปแล้ว เถาจืออวิ๋นก็เริ่มเอาแบบเสื้อที่หลินม่ายออกแบบไปสร้างแพทเทิร์น ปรับแก้รายละเอียดและสัดส่วนอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว
หล่อนเก็บข้าวของ สะพายกระเป๋า แล้วออกไปรับฉีฉีจากโรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็แวะไปที่ตลาดฝูตัวตัวเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเช่นทุกครั้ง ก่อนจะจูงมือฉีฉีเดินกลับบ้าน
ระหว่างมื้ออาหารภายในครอบครัวก่อนถึงวันไหว้พระจันทร์ พี่ใหญ่เถาได้เล่าอะไรให้เธอฟังบางอย่าง
เขาบอกว่าวันนี้จะแวะไปที่โรงงานของหม่าเทา เรียกเขามาคุยโดยให้หัวหน้างานของเขาช่วยเป็นสักขีพยาน ตักเตือนหม่าเทาอย่างเข้มงวดไม่ให้เขาคิดรังแกหรือล่วงเกินหล่อนอีก
วันนี้หล่อนเลยกะว่าจะกลับไปที่บ้านเสียหน่อย เพราะอยากรู้ว่าพี่ใหญ่เถาไปขู่สัตว์ร้ายแซ่หม่าว่าอย่างไรบ้าง แล้วสัตว์ร้ายแซ่หม่ามีปฏิกิริยาอย่างไร
สองแม่ลูกเดินคุยกันพลางหัวเราะอย่างมีความสุขเป็นระยะ ๆ
ในขณะที่กำลังจะข้ามถนน มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งทะยานฝ่าไฟแดง ตรงไปหาเถาจืออวิ๋นและลูกชายของหล่อน
มอเตอร์ไซค์คันนี้ขับมาด้วยความเร็วเกินพิกัด ถึงอยากเบี่ยงตัวหลบก็เหมือนจะสายเกินไปแล้ว
เถาจืออวิ๋นหันหลังให้กับมอเตอร์ไซค์คันนั้นโดยสัญชาตญาณ กอดฉีฉีไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา
ช่วงเวลาวิกฤตนี้ ชายคนหนึ่งกลับพุ่งตัวเข้ามา ผลักสองแม่ลูกจนกระเด็นออกไปพ้นจากรัศมีของการถูกชน
ทำให้รถมอเตอร์ไซค์พุ่งชนผู้ชายคนนั้นอย่างจัง
ชายหนุ่มคนนั้นโดนชนจนตัวปลิวขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนที่ร่างกายจะร่วงลงกระแทกกับพื้นถนนอย่างรุนแรง
มอเตอร์ไซค์เสียหลักล้มครูดไปกับพื้นถนนทั้งคนทั้งรถ
เมื่อเห็นว่าตัวเองชนคนเข้า คนขับก็รีบลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของตัวเอง ยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นควบแล้วบิดหนีไปทันที
ชายคนนั้นพยายามลุกขึ้นจากพื้นเหมือนกัน แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
เห็นผู้ก่อเหตุชนคนบิดคันเร่งด้วยความเร็วสูงจนจากไปไม่เห็นฝุ่น ชายคนนั้นจึงได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความโมโห
เถาจืออวิ๋นกับลูกชายถูกผู้ชายคนดังกล่าวผลักออกไปให้พ้นทางจนล้มลงไปกองพื้น ขณะเดียวกันพวกเขาสามารถลุกขึ้นจากพื้นได้แล้วโดยความช่วยเหลือจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา
หล่อนไม่สนใจตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉีฉีด้วยซ้ำ รีบดึงแขนฉีฉีเข้าไปอยู่ด้านข้างของชายคนนั้น ถามด้วยความเป็นห่วง “สหายฟางจั๋วเยวี่ย คุณเป็นอะไรมากไหมคะ?”
เป็นฟางจั๋วเยวี่ยนั่นเองที่ช่วยชีวิตเถาจืออวิ๋นและลูกชายเอาไว้
เขากำลังเดินกลับบ้านหลังจากเลิกงาน ทำให้บังเอิญเหลือบไปเห็นฉากนาทีชีวิตเมื่อกี้นี้เข้าพอดี เขาไม่เสียเวลาหยุดคิดด้วยซ้ำ รีบพุ่งตัวเข้าไปผลักสองแม่ลูกออกไปให้พ้นทาง
เขาล้มลงกระแทกพื้นถนนจนจุกก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังพอทนได้
ฟางจั๋วเยวี่ยแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “ผมสบายดี คุณกับฉีฉีได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า จะได้ไปโรงพยาบาลกัน”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ถอยออกไปยืนอยู่ข้างถนน
ฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ช่วยกันตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉีฉี
ฉีฉีหกล้มเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกโล่งใจที่อาการบาดเจ็บของเขาไม่ร้ายแรงมาก แค่กลับไปทายาที่บ้านก็หายแล้ว
เถาจืออวิ๋นหันไปขอบคุณฟางจั๋วเยวี่ย จากนั้นก็ก้มหยิบวัตถุดิบที่ร่วงกระเด็นกระดอนตอนที่หล่อนล้มลงเมื่อครู่
ไข่ไก่กับเต้าหู้แตกเละ ไม่อาจเก็บไปใช้งานได้อีก
โชคดีที่ยังมีผักใบเขียว แอปเปิล และเนื้อปลาอยู่
ฟางจั๋วเยวี่ยก็ช่วยหล่อนก้มหยิบขึ้นมาด้วย
ทันใดนั้นฉีฉีก็ดึงกระตุกแขนเสื้อของเถาจืออวิ๋น แล้วชี้ไปที่ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งกำลังก้มเก็บแอปเปิลโดยหันหลังเอียงเข้าหาพวกเขา พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “แม่ฮะ หลังคุณอามีเลือดออก”
เถาจืออวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองตาม ก็เห็นว่าบริเวณหลังศีรษะของฟางจั๋วเยวี่ยแตก เลือดไหลทะลักออกมา แต่เขากลับไม่รู้ตัว
เถาจืออวิ๋นไม่สนใจหยิบอะไรขึ้นมาทั้งนั้น รีบวิ่งไปหยุดการกระทำของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณหัวแตก ต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”
ฟางจั๋วเยวี่ยยกมือขึ้นแตะบริเวณหลังศีรษะ พอชักมือกลับมาก็เห็นว่าเปื้อนเลือดจริง ๆ มิน่าล่ะ เขายังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมตัวเองถึงปวดหัวและเวียนหัวขนาดนี้!
ไม่ว่าเขาจะพยายามแสร้งทำเหมือนไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขาปิดบังความเจ็บปวดของตัวเองไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงต้องไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับเถาจืออวิ๋นและลูกชายของหล่อน
เขาพยายามบอกว่าตัวเองโตแล้ว สามารถไปที่โรงพยาบาลคนเดียวได้ แต่เถาจืออวิ๋นยืนกรานปฏิเสธท่าเดียว เขาเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมให้สองแม่ลูกตามไปส่ง
ทันทีที่พวกเขามาถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็เห็นว่าอาการบาดเจ็บของฟางจั๋วเยวี่ยนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย ยิ่งเป็นเพราะถูกมอเตอร์ไซค์ชนยิ่งแล้วใหญ่
เขาออกเอกสารตรวจร่างกายออกมาหลายชุด ส่งตัวเขาไปตรวจเพิ่มเติมว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองหรือมีการบาดเจ็บภายในอื่น ๆ หรือไม่
ในขณะที่เถาจืออวิ๋นกับฉีฉีพาฟางจั๋วเยวี่ยไปเข้ารับการสแกนสมอง ก็บังเอิญเจอกับฟางจั๋วหรานที่มาเข้าเวรกะกลางคืนพอดี
ดวงตาเฉียบคมของเขาจ้องมองไปมาระหว่างเถาจืออวิ๋นกับฟางจั๋วเยวี่ย จากนั้นก็ถาม “ใครป่วยกันล่ะทีนี้?”
เถาจืออวิ๋นรีบอธิบาย “ไม่มีใครป่วยทั้งนั้นค่ะ แต่น้องชายของคุณได้รับบาดเจ็บ”
จากนั้นหล่อนก็เล่าให้ฟางจั๋วหรานฟังถึงสาเหตุการบาดเจ็บของฟางจั๋วเยวี่ย
ฟางจั๋วหรานผลักไหล่ของฟางจั๋วเยวี่ยไปอีกทางหนึ่งเพื่อให้แผ่นหลังอีกฝ่ายหันเข้าหาเขา เห็นว่าบริเวณหลังศีรษะถูกผ้าก๊อซสีขาวปิดรอยแผลเอาไว้
ฟางจั๋วหรานบอกให้ฟางจั๋วเยวี่ยไปตรวจร่างกายให้เสร็จ จากนั้นค่อยออกมาคุยกับเขา
ฟางจั๋วเยวี่ยตอบรับเสียงอ่อย
ผลการตรวจร่างกายต้องใช้เวลาประมาณสองวันถึงจะสรุปได้
คุณหมอเจ้าของไข้ฟางจั๋วเยวี่ยวินิจฉัยจากประสบการณ์ ขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักสองสามวันเพื่อดูอาการก่อน
เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะ ถึงแม้ผู้บาดเจ็บจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาโดยทันที แต่อาการของพวกเขาอาจแย่ลงอย่างกะทันหันภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งอาการที่ว่าอาจกลายเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
ที่ให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลก็เพื่อที่แพทย์จะสามารถเฝ้าสังเกตอาการได้อย่างสะดวก ทั้งยังสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
เมื่อผลตรวจร่างกายทั้งหมดออกมาแล้ว ค่อยพิจารณาอีกทีว่าควรให้รักษาตัวในโรงพยาบาลต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่มีความจำเป็น ก็สามารถทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลได้เลย
ถึงอย่างนั้นการรักษาเป็นผู้ป่วยในก็มีค่าใช้จ่าย ในขณะที่เถาจืออวิ๋นกำลังจะเดินไปจ่ายเงินค่านอนโรงพยาบาลให้กับฟางจั๋วเยวี่ย ฟางจั๋วเยวี่ยก็รีบหยุดหล่อนไว้อย่างดื้อรั้น
ถ้าผู้หญิงอย่างเถาจืออวิ๋นต้องมาควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขา เขาคงรู้สึกอับอายขายหน้ามาก
ต่อให้เขาจะได้รับบาดเจ็บเพราะเสี่ยงชีวิตช่วยเถาจืออวิ๋นกับลูกชายหล่อนก็เถอะ
เขาเห็นว่าเถาจืออวิ๋นเป็นเพื่อนที่ดีของพี่สะใภ้ ดังนั้นเขาจึงสมควรช่วยชีวิตสองแม่ลูกไว้ จะถือเป็นบุญคุณที่ต้องชดใช้ได้อย่างไร?
น่าเสียดายที่เขาไม่มีเงินสดติดตัว จึงต้องยอมให้คนอื่นออกค่ารักษาพยาบาลในที่สุด
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้หล่อนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตัวเองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าพี่สะใภ้รู้เรื่องทั้งหมดเข้า หล่อนคงโกรธเขาแน่ ๆ
ถ้าพี่สะใภ้โกรธ พี่ชายก็จะโกรธเขาอีกคนหนึ่ง คราวนี้ชีวิตของเขาจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่
หลังจากเกลี้ยกล่อมกึ่งบังคับให้สองแม่ลูกกลับไปแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยก็เดินไปที่ห้องทำงานของพี่ชายพร้อมกับใบเสร็จเรียกเก็บเงินของทางโรงพยาบาล
ฟางจั๋วหรานกำลังถือแผ่นฟิล์มเอกซเรย์เพื่อวิเคราะห์เคสกับนักเรียนแพทย์
เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยโผล่หน้าเข้ามาจากประตูห้องทำงาน เขาก็วางแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ในมือลง เดินออกไปหาพร้อมกับถามว่า “อาการบาดเจ็บรุนแรงมากไหม?”
ฟางจั๋วเยวี่ยยื่นใบรับรองการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในให้ฟางจั๋วหราน “ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงหมอก็ขอให้ผมนอนโรงพยาบาลอยู่ดี”
ฟางจั๋วหรานรู้จุดประสงค์ของการมาเยี่ยมของเขา ดังนั้นจึงหยิบเงินสดที่พกติดตัวออกมา ให้อีกฝ่ายเอาไปจ่ายค่ารักษาตัวในโรงพยาบาลซะ
ฟางจั๋วเยวี่ยพาสมองอันมึนงงเดินผ่านจุดลงทะเบียนผู้ป่วยในด้วยตัวเอง จากนั้นก็นอนอยู่คนเดียวบนเตียงอย่างว่างเปล่า เนื่องจากเขายังไม่ได้กินอาหารมื้อเย็น ท้องของเขาจึงส่งเสียงร้องด้วยความหิว
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะไปติดต่อเคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อขอยืมโทรศัพท์โทรหาพี่สะใภ้ ขอให้ช่วยนำอาหารมาส่งดีหรือไม่ พยาบาลตัวเล็กแสนสวยก็เดินเข้ามา
หล่อนเปิดปากถาม “ใครคือสหายฟางจั๋วเยวี่ยคะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยยกมือขึ้นอย่างเกียจคร้าน
พยาบาลตัวเล็กเห็นว่าน้องชายของคุณหมอฟางหน้าตาไม่ได้เลวร้ายไปกว่าคุณหมอฟางเลย
หล่อนวางกล่องอาหารและผลไม้ไว้บนโต๊ะข้างเตียงของฟางจั๋วเยวี่ย “คุณหมอฟางขอให้ฉันเอาอาหารพวกนี้มาส่งให้ค่ะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยากผุดลุกขึ้นนั่งทันที หยิบกล่องอาหารขึ้นมาเปิดฝา แล้วเริ่มกิน
ภายในกล่องอาหารมีทั้งซี่โครงหมูน้ำแดง ปลาทรายแดงนึ่งซีอิ๊ว… ทั้งหมดเป็นเมนูโปรดของเขาทั้งนั้น
อารมณ์ซาบซึ้งในใจระเบิดออกอย่างท่วมท้น สมแล้วที่เป็นพี่ชายเขา!
…
กว่าเถาจืออวิ๋นและลูกชายจะกลับมาถึงบ้านแม่ของหล่อนก็เป็นเวลาหกโมงเย็นพอดี พี่ชายและพี่สะใภ้ใหญ่ รวมถึงพี่ชายกับพี่สะใภ้รองต่างก็มาถึงนานแล้ว
ระหว่างที่กำลังเตรียมอาหารมื้อเย็น แม่เถาถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาช้านักล่ะลูก?”
เถาจืออวิ๋นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
แม่เถายกอาหารออกมาวางเรียง จากนั้นก็นั่งลง หยิบชามขึ้นมาเตรียมกินข้าว แต่พอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับวางชามลงทันที
“เดี๋ยวแม่จะเข้าครัวไปทำต้มยำปลาสักหน่อย จะได้ห่อไปเยี่ยมเสี่ยวฟางหลังมื้ออาหาร”
เถาจืออวิ๋นเห็นว่าแม่เถาเอื้อมไปหยิบปลาตะเพียนที่ตัวเองหิ้วกลับมาก็รีบพูดว่า “แม่คะ ปลาตัวนั้นหล่นลงพื้นแล้วค่ะ อย่าเอามันไปปรุงอาหารให้คนป่วยเลย เดี๋ยวพวกเราค่อยไปที่ตลาดฝูตัวตัวแล้วซื้อผลไม้ไปเยี่ยมสหายฟางจั๋วเยวี่ยดีกว่า”
แม่เถาจึงหย่อนก้นลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง
จากนั้นเถาจืออวิ๋นก็ถามเรื่องที่พี่ใหญ่เถาไปคุยกับหม่าเทาในวันนี้
พี่ใหญ่เถาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียด
เช้าวันนี้เขาขอลางานเป็นเวลาสองชั่วโมง จากนั้นก็รีบไปที่โรงงานของหม่าเทา และขอเข้าพบหัวหน้างานของหม่าเทาโดยตรง เพื่อขอให้หัวหน้าช่วยพาเขาไปเจออีกฝ่าย
หัวหน้างานแจ้งให้เขาทราบว่าหลังจากที่หม่าเทาถูกตัดสินจำคุกเป็นครั้งแรก เขาก็ถูกไล่ออกจากโรงงานตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
เถาจืออวิ๋นพูดด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดเลยว่าโรงงานของสัตว์ร้ายหม่าจะจัดการลงดาบเขาเร็วขนาดนี้ แค่รู้ข่าวก็ไล่เขาออกซะแล้ว แต่ครั้งล่าสุดที่เขามาหาฉัน เขาไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคำ”
พี่สะใภ้เถาแค่นเสียงเย้ยหยัน “คนสารเลวนั่นจะไม่มีทางพูดถึงเรื่องนี้แน่ เขาคงกลัวเธอจะรู้ว่าเขาตกงาน แล้วปฏิเสธที่จะกลับไปแต่งงานกับเขาอีกครั้ง”
เถาจืออวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “ต่อให้เขาจะยังมีงานคุ้มกะลาหัว ฉันก็ไม่มีวันกลับไปแต่งงานกับเขาแน่ จริงสิ พี่ใหญ่ พี่ได้ถามหรือเปล่าว่าหม่าเทากับรักแรกของเขาหย่ากันเพราะอะไร? หม่าเทาเป็นคนตัดสินใจหย่าขาดกับหล่อนจริง ๆ เหรอ?”
หม่าเทาทั้งรักทั้งหลงรักแรกของเขามากขนาดนั้น ให้ตายหล่อนก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างหม่าเทาจะมีความคิดริเริ่มอยากหย่ากับเวินหงเหมยจริง ๆ
พี่ใหญ่เถาตักข้าวเข้าปากพลางพยักหน้า พูดว่า “ถามแล้ว หม่าเทากับเวินหงเหมยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะหย่าร้างกันได้ยังไง? ว่ากันว่าพอเวินหงเหมยเห็นหม่าเทาโดนคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจ และรู้ว่าเขาถูกทางโรงงานไล่ออกหลังจากนั้น ก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตคู่กับเขาอีก วันที่สองหลังจากหม่าเทานอนคุก หล่อนก็กวาดเงินเก็บของครอบครัวทั้งหมดไป แล้วหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับลูกสาวของหล่อน ที่สัตว์ร้ายหม่าพูดแบบนั้น ก็แค่จะหว่านล้อมให้เธอยอมกลับไปเท่านั้นเอง”
เถาจืออวิ๋นแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
เห็น ๆ กันอยู่ว่าเวินหงเหมยเป็นฝ่ายทิ้งหม่าเทาไปแท้ ๆ แต่หม่าเทาก็ยังมีหน้ามาหลอกลวงหล่อนอีก อ้างว่าตัวเองถึงกับยอมทิ้งรักแรกของเขาเพื่อแสดงความจริงใจต่อหล่อน จะไม่ให้รู้สึกขยะแขยงได้อย่างไรกัน?
หล่อนพูดประชดประชัน “นี่น่ะเหรอรักแรกที่สัตว์ร้ายหม่าไม่เคยลืม ไหนว่าหล่อนเป็นคนน่ารักและมีเหตุผลมากยังไงล่ะ!”
พี่ใหญ่เถาเยาะเย้ย “หล่อนไม่เคยเป็นรักแรกที่น่ารักและมีเหตุผลของเขาด้วยซ้ำ!”
ทุกคนรอบโต๊ะอาหารถามด้วยความสนใจ “เวินหงเหมยยังทำอะไรให้สัตว์ร้ายหม่าเจ็บช้ำน้ำใจอีกงั้นเหรอ?”
นับตั้งแต่ได้ยินเถาจืออวิ๋นเรียกหม่าเทาว่าสัตว์ร้ายหม่า สมาชิกทั้งครอบครัวต่างก็เรียกเขาแบบนั้นไปโดยปริยาย
หม่าเทาใช้แซ่หม่า และเขาก็เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องต่ำช้าเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานพอดี เรียกเขาว่าสัตว์ร้ายหม่าก็เหมาะสมแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โอ๊ย จั๋วเยวี่ยเจ็บหนักซะแล้ว ว่าแต่เจอกับจืออวิ๋นบ่อยขนาดนี้นี่ถือว่าเป็นพรหมลิขิตได้ไหมนะ
ไหหม่า(海馬)