“ที่แท้เจ้าอยากให้ข้าอุ้มหรอกหรือ” น้ำเสียงทุ้มต่ำอันเย้ายวนดังก้องอยู่ในหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากดิ้นให้หลุด แต่วงแขนที่รัดอยู่รอบตัวนางกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ปรากฏอยู่บนริมฝีปาก รอยยิ้มนั้นมีความชั่วร้ายแฝงอยู่เล็กน้อย ”คราวหน้าถ้าเจ้าอยากให้ข้าอุ้ม ก็แค่บอกข้ามาตามตรง ข้าเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ไม่ปฏิเสธคำขอของเจ้าหรอก”
นางไม่เคยเห็นคนที่นอกจากจะเอาเปรียบคนอื่นเก่งแล้ว ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเก่งเช่นเขามาก่อน ช่างเป็นชายที่ชั่วร้ายเจ้าเล่ห์จริงๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยช้อนตาขึ้นมองเขา พลางคิดในใจว่าช่างหน้าตาดีจนแทบดูไม่เหมือนของจริง นางรู้ว่านางทำอะไรเขาไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายนางจึงเอนศีรษะเข้าหาแผ่นอกของชายหนุ่มพร้อมกับสูดกลิ่นไม้จันทน์เข้าสู่จมูก ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของนาง มันเป็นความรู้สึกอันขมปร่าแต่ก็หวานชื่นเป็นที่สุด…
แต่ฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับหยุดลงกะทันหันเมื่อเขาเดินมาถึงตรอกมืดๆ แห่งหนึ่ง
แม้กระทั่งเจ้าเจ็ดก็ยังหยุดกินซาลาเปาเนื้อเช่นกัน เขาจ้องมองเข้าไปในความมืดของตรอกแห่งนั้นอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ท่ามกลางความมืดมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่พร้อมกับถือท่อนไม้เอาไว้ในมือขณะจ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
พวกเขาได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายมาเมื่อตอนกลางวัน และยังถูกสั่งมาอีกว่าถ้าเห็นว่าการทุบตีพวกเขาเป็นเรื่องยุ่งยาก จะฆ่าทิ้งเสียก็ได้
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าคุณชายเฉินจะติดตามเจ้าคนบ้านนอกสองคนนี้มาจนถึงเมืองฟู่ผิงจริงๆ และนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะลงมือได้
แต่ในที่สุด สองคนนี้ก็ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังกับเด็กอีกแค่คนเดียว
ถ้าพวกเขาไม่ลงมือตอนนี้ แล้วจะต้องรอจนถึงเมื่อไหร่!
“ฆ่ามันซะ!” หัวหน้าของชายชุดดำสั่งการ
เขาจับไม้ในมือพลิกขึ้น ไม้ท่อนนั้นกลับกลายเป็นมีดยาวในทันใด มีดเล่มนั้นพุ่งตรงเข้าหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและกำลังจะถึงตัวเขาในเสี้ยววินาที
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาหาเรื่องกับเจ้านายของพวกข้า ตายซะเถอะ!” ชายที่ถือมีดอยู่ในมือคิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องตายอย่างแน่นอนหากถูกแทงเข้า
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับผิดไปจากความคิดของเขา!
เขากลับแทงไม่ถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
คนตรงหน้าเขาหายตัวไปในอากาศ
หัวหน้าของชายชุดดำแทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาหันหน้ากลับไปมองข้างหลังและเห็นว่าชายคนที่ควรจะอยู่ตรงหน้าเขากลับไปยืนอยู่ตรงนั้นแทน หัวหน้าของชายชุดดำนึกไม่ออกเลยว่าชายคนนั้นไปยืนอยู่ข้างหลังของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
ร่างสูงโปร่งของชายคนนั้นยืนอยู่ที่นั่น เขาอุ้มคนคนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน แต่ผมของเขากลับยังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อย เขาดูสูงส่งและสง่างามราวกับเทพเซียนที่กำลังเดินออกมาจากดวงจันทร์ ดวงตาของเขาลึกล้ำและเย็นชา ใครก็ตามที่สบเข้ากับตาคู่นั้นต่างก็พากันขนลุกเกรียว…
ในตอนแรกนั้นหัวหน้าของชายชุดดำค่อนข้างหวาดกลัวทีเดียว แต่เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงฐานะของทั้งสอง เจ้าหมอนี่แสร้งทำเป็นว่าตัวเองแข็งแกร่งนักหนา แต่ความจริงมันก็แค่หลอกให้เขาหลงกลเท่านั้น
เขายกยิ้มแล้วสบตากับชายที่ยืนอยู่ข้างหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ส่งสัญญาณบอกให้เขาเตรียมพร้อมลอบโจมตีไป๋หลี่เจียเจวี๋ย จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามว่า ”ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไปขอโทษนายน้อยเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าไม่เคยถามชาวบ้านในเมืองฟู่ผิงหรือว่าตระกูลของคุณชายยิ่งใหญ่แค่ไหน เจ้ามันก็เป็นแค่นายอำเภอตัวเล็กๆ เท่านั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะสู้กับเขาได้”
“หึ นายอำเภอตัวเล็กๆ หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้า
ชายคนที่กำลังรอจะจู่โจมไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่เห็นว่าได้จังหวะ เขาจึงเงื้อมีดขึ้นแล้วแทงเข้าที่หลังของเขาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นหัวหน้าของชายชุดดำก็เห็นร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า มีดเล่มนั้นแทงเข้าไปในแขนซ้ายของร่างนั้น!
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ควรจะถูกแทงจนสิ้นใจไปแล้วกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างปลอดภัย และยังคงสง่างามเช่นเคย
ความเจ็บปวดพุ่งปราดเข้ามาในร่างของเขาราวกับพายุอันบ้าคลั่ง หัวหน้าของคนชุดดำล้มลงไปกองกับพื้น เขามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ปราศจากรอยขีดข่วน ลึกลงไปในใจนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้น
ผู้ชายคนนี้ เขาเป็นใครกันแน่!?
อย่าว่าแต่จะเดาเลยว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด ข้ายังมองพลังปราณของเขาไม่ออกเลยด้วยซ้ำ!
ต่อให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน ก็ยังไม่ครณามือของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว!
ใบหน้าของหัวหน้าคนนั้นซีดเผือดเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัวเองขึ้นมานั่งพักอยู่บนพื้น พลางมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้น ดวงตาสับสนของเขาเริ่มกลายเป็นตื่นตระหนก
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ใครคนหนึ่งพยายามจะกระชากเด็กชายเข้าหาตัว แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจที่เขาไม่สามารถอุ้มเด็กชายได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปหยิบมีดสั้นขึ้นมาจ่อเข้าที่ลำคอของเด็กชายแทน แล้วกล่าวว่า ”ถ้าเจ้ากล้าเดินอีกก้าว ข้าจะฆ่าเขาซะ!”
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมหยุดเดิน แต่เขากลับมองชายคนนั้นด้วยแววตาเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า ”โง่”
คำพูดสั้นๆ เพียงคำเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายคนที่ถือมีดคนนั้นถึงกับโกรธจนควันออกหู ”เจ้าไม่เชื่อหรือว่าข้าจะทำ ข้าจะเอามีดเล่มนี้เชือดคอเขาให้เจ้าเห็นเองกับตา!”
พูดจบชายคนนั้นก็ยกมีดขึ้น แต่เขาก็ถูกกำปั้นอัดเข้ากลางท้องทันทีที่เขายกแขน
โครม!
ร่างของชายคนนั้นถูกยกขึ้น แล้วทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง
“อั้ก!”
เลือดซึมออกมาจากมุมปากของเขา
หัวหน้าของชายชุดดำแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งเห็นอะไรไป
ลูกน้องคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขากลับถูกเด็กอายุเพียงสี่ขวบอัดจนหมอบหรือ!
ในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวนี่น่ะหรือ!
สีหน้าของชายชุดดำทุกคนเปลี่ยนไปในทันที
ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือการหนีไปจากที่นี่!
แต่มันก็สายเกินไป เพราะไม่เคยมีใครสามารถรอดตัวไปได้ครบสามสิบสองหลังจากมาหาเรื่องกับองค์ชายสาม!
หลังจากเสียงอึกทึกครึกโครมนั้นจบลง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ทำเพียงแค่เช็ดมือตัวเองอย่างลวกๆ ในขณะที่เท้าข้างซ้ายยังเหยียบอยู่บนหลังมือของหัวหน้ากลุ่มคนนั้น หัวหน้ากลุ่มมองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนนักเพราะเขายืนอยู่ใต้แสงไฟ สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือแสงสีแดงในดวงตาเรียวของชายหนุ่มเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาเขา แล้วแนบมือของนางลงบนนิ้วเย็นยะเยือกของเขา
ทันใดนั้นความโกรธของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็สงบลง เขาหันหน้ากลับไปหานาง ”อะไรหรือ”
“หนาว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางกุมมือเขาเอาไว้ นิ้วของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดเข้าหากัน นางบอกกับเด็กชายตัวน้อยว่า ”เจ้าเจ็ด ข้ายกพวกเขาให้เจ้าจัดการ ให้พวกเขายืนเรียงแถวแล้วส่งไปเข้าคุกซะ พวกเขายังมีประโยชน์กับพวกเราอยู่ การลอบสังหารขุนนางในราชสำนักเช่นนี้ ต่อให้เป็นใต้เท้าเลี่ยวก็คงไม่สามารถปิดบังความผิดเช่นนี้เอาไว้ได้หรอก”
อืม! เด็กชายรับคำเขาดูแข็งแกร่งแต่ก็ไร้เดียงสายิ่งนัก เขาหยิบท่อนไม้ขึ้นมาจากพื้น เขาจะฟาดใครก็ตามที่ไม่ยอมยืนอยู่นิ่งๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และยังฟาดแรงเสียจนทำเอาสมองของคนพวกนั้นว่างเปล่าเลยทีเดียว
หัวหน้ากลุ่มที่ถูกไม้ฟาดจนเจ็บหนักกุมแขนอันร้าวระบมของตัวเองเอาไว้ เขาเหมือนจะเริ่มตระหนักได้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อีกฝ่ายแตกต่างจากที่พวกเขาคิดเอาไว้ พวกเขามีฝีมือเก่งกาจถึงเพียงนั้น พวกเขาจะไม่มีฐานะอันใดจริงๆ น่ะหรือ
ในขณะที่หัวหน้าของชายชุดดำกำลังสับสนอยู่นั้น คุณชายเลี่ยวก็เดินทางมาถึงเมืองฟู่ผิงพอดี เขาเริ่มระบายความไม่พอใจของตัวเองออกมาทันทีที่เขาเห็นเลี่ยวจือฝู่ แต่เขาไม่ได้พูดเรื่องที่ตัวเองส่งคนไปหาเรื่องเฮ่อเหลียนเวยเวยออกมาแม้แต่คำเดียว ”ท่านพ่อ ท่านคงไม่รู้นายอำเภอคนใหม่ที่ว่านั่นมันจองหองอวดดีขนาดไหน ข้ากำลังกินข้าวอยู่ที่เมืองหลวงประจำมณฑลอยู่ดีๆ เขาไม่เพียงแค่ชนข้าเท่านั้น แต่กลับบอกให้ข้าจ่ายค่าชดใช้ให้เขาเสียอีก”
เลี่ยวจือฝู่ตั้งใจจะสร้างปัญหาให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเขาได้ยินเรื่องที่บุตรชายสุดที่รักเล่าให้ฟัง ความมืดมิดที่อยู่ในดวงตาของเขาก็พลันมืดมนยิ่งขึ้น จากนั้นเขาจึงถามว่า ”เขารู้หรือเปล่าว่าเจ้าเป็นใคร”
“ข้าบอกชื่อตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นแล้วขอรับ ข้ายังพูดถึงท่านพ่อด้วย แต่เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว! เขาทำให้ข้าต้องเสียหน้าต่อหน้าคนในเมืองหลวงประจำมณฑลเชียวนะขอรับ!”
เลี่ยวจือฝู่กำถ้วยชาในมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ฟังคำพูดของบุตรชาย ”เจ้ารอดูก็แล้วกันว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะถลกหนังของคนแซ่เว่ยอย่างไร!”