ตอนที่ 500 สามพ่อแม่ลูกตระกูลหม่าหนีหัวซุกหัวซุน
ครอบครัวของหม่าเทาไม่รู้ว่าพายุกำลังมา จึงทำอาหารราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก่อนที่ข้าวในหม้อจะสุก เจ้าของบ้านเช่าก็เดินกลับมาด้วยความกระฉับกระเฉงพร้อมกับผู้ชายรูปร่างสูงหนาคนหนึ่ง
ชายแขนใหญ่เอวกลมคว้าคอหม่าเทาแล้วยกร่างเขาขึ้นเหมือนหิ้วปีกไก่ จนสองขาของหม่าเทาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ก่อนถามอย่างดุดัน “ได้ยินมาว่าเงินห้าร้อยหยวนกับแหวนทองหายไปจากบ้านนายงั้นเรอะ?”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคนนี้ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย หม่าเทาก็แทบปัสสาวะราดด้วยความตกใจ พูดจาตะกุกตะกัก “ไม่… ไม่มีอะไรหายทั้งนั้น พ่อแม่ฉันพูดจาไร้สาระไปเอง”
ชายร่างกำยำวางหม่าเทาลง จากนั้นก็ชี้ไปทางพ่อแม่ของเขาแล้วถามว่า “ไอ้แก่สองคนนี้น่ะเหรอที่พูดจาไร้สาระ?”
เพื่อปกป้องตัวเอง หม่าเทาจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างไม่ลังเล
ชายร่างกำยำจึงออกคำสั่ง “ตบหน้าไอ้แก่สองคนนั้นซะ ดูว่าหลังจากนี้พวกมันจะยังกล้าพูดจาไร้สาระอีกไหม!”
ทันใดนั้น ผู้ชายร่างใหญ่อีกสองคนก็ก้าวเข้าไปในบ้านแล้วเหวี่ยงฝ่ามือตบหน้าพ่อแม่ของหม่าเทาสุดแรงจนเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ทั้งสองถึงกับคุกเข่าลงเพื่อร้องขอความเมตตา
หลังจากจัดการพ่อแม่ของหม่าเทาเรียบร้อยแล้ว ชายกลุ่มนั้นก็หันกลับไปโยนข้าวของทั้งหมดในบ้านของหม่าเทาออกไปด้านนอก กระทั่งหม้อข้าวที่ยังไม่ทันจะหุงสุกก็ไม่ละเว้น
สาวใหญ่เจ้าของบ้านชี้หน้าสมาชิกตระกูลหม่าทั้งสามที่ตัวสั่นเทา ก่อนจะพูดว่า “พวกแกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภูมิหลังเดิมของฉันเป็นยังไง ถึงกล้าแบล็กเมล์ฉันอย่างออกหน้าออกตา ตอนแรกฉันกะจะปล่อยพวกแกไปแล้วเชียว ไม่เอาเงินค่าเช่าสามเดือนแล้วก็ได้ แต่ในเมื่อพวกแกเล่นแง่ ฉันก็ขอทวงค่าเช่าทั้งสามเดือนคืนมาให้ครบ ถ้าไม่มีให้ก็แลกด้วยชีวิต!”
ทั้งสามมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ต่อให้พวกเขาไม่อยากจ่ายค่าเช่าสามเดือนคืนให้อีกฝ่าย แต่ทุกคนก็กลัวการถูกทุบตีจนขึ้นสมอง
หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ทั้งสามคนก็ยอมนำเงินทั้งหมดออกมา จ่ายค่าเช่าที่ตัวเองค้างไว้เป็นเวลาสามเดือนในที่สุด
เมื่อเจ้าของบ้านได้รับเงินค่าเช่าแล้ว หล่อนก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฉันไม่สนว่าพวกแกจะเป็นร้ายตายดียังไง ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ อย่าให้ฉันเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของพวกแกอีก ไม่งั้นฉันฆ่าพวกแกทิ้งแน่!”
หม่าเทาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าของบ้านที่ดูใจอ่อนเหมือนรังแกได้ง่าย ๆ จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ด้วยความหวาดกลัวระคนตกใจ เขาจึงพาพ่อแม่ตัวเองวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย โดยที่ไม่ลืมเก็บข้าวของบางส่วนไปด้วย
ชาวบ้านเหล่านั้นต่างหัวเราะเยาะพวกเขาไล่หลัง
ทั้งสามเดินเลียบไปตามถนนในสภาพไม่ต่างจากสุนัขจรจัด
รอบนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่เงินที่จะเข้าพักในโรงแรมชั้นเลว สามพ่อแม่ลูกนั่งลงบนเก้าอี้ข้างทางด้วยความวิตกเป็นกังวล ก่อนจะถกกันถึงวิธีแก้ปัญหา
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง พวกเขาอาจทนนอนอยู่ข้างถนนได้ แต่ไม่มีใครสามารถทนหิวได้แน่นอน
ถ้าอย่างนั้นจะไปหาของกินจากที่ไหนล่ะ?
ที่แรกที่ทั้งสามคนนึกถึงคือกลับไปหาเถาจืออวิ๋น
หล่อนเป็นคนใจดีและร่ำรวย เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิกเฉยต่อความเป็นตายของคน
ถ้าหล่อนกล้าเพิกเฉยต่อความตายแล้วละก็ พวกเขาจะตราหน้าด่าหล่อนว่าโหดร้ายและเลือดเย็น
อย่างน้อยก็ให้หล่อนยอมรับพวกเขาทั้งสามในระยะสั้น ๆ ไปก่อน
ทว่าเมื่อพวกเขาทั้งสามคนไปถึงเขตชุมชนของโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ย ก็พบว่าการมาของตัวเองไร้ประโยชน์
ทั้งเถาจืออวิ๋นและฉีฉีต่างไม่อยู่บ้าน
หม่าเทาถามอดีตเพื่อนบ้านของเขา ซึ่งก็คือผู้หญิงที่บ้านอยู่ติดกันกับเถาจืออวิ๋นว่าทำไมเถาจืออวิ๋นกับลูกชายของหล่อนถึงไม่อยู่บ้าน
พวกเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว หรือแค่ยังไม่กลับมา
ผู้หญิงคนนั้นตอบด้วยความลังเล “บางทีหล่อนอาจจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านก็ได้ แต่ปกติพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่เป็นหลักนะ”
ครอบครัวของหม่าเทาจึงหันมาปรึกษาหารือกันอีกครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะไปหาเถาจืออวิ๋นถึงบ้านพ่อแม่
พอหัวหน้าหลูรู้ข่าว เขาก็รีบเสนอหน้าออกไปทันที เดินขวางครอบครัวของหม่าเทาเอาไว้ตรงบันได
จากนั้นก็เตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าคิดมารบกวนสหายเสี่ยวเถาอีก ไม่งั้นฉันจะส่งพวกคุณไปหาตำรวจ!”
ครั้งล่าสุดที่พวกเขาเจอหัวหน้าหลู คือตอนที่เขาพากลุ่มคนมาจับตัวหม่าเทาไปส่งสถานีตำรวจ ดังนั้นทั้งสามจึงหวาดกลัวเขาเล็กน้อย รีบคว้ากระเป๋าสัมภาระเดินออกไปทันที
ป้าเพื่อนบ้านหัวเราะครึ่ง ๆ กลาง ๆ พูดจาหยอกล้อเล่นกับหัวหน้าหลู “นี่ เหล่าหลู ทำไมคุณถึงอ่อนไหวกับเสี่ยวเถานัก แถมยังยืนหยัดเพื่อหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า?”
หัวหน้าหลูยิ้มอย่างเขินอาย “ครอบครัวของเสี่ยวเถาเป็นคนดี นิสัยหล่อนก็น่ารัก แถมยังหาเงินได้เดือนหนึ่งตั้งไม่รู้เท่าไหร่ คนอย่างผมคู่ควรจะเป็นคนรักของเธอเสียที่ไหนกันครับ?”
ป้าคนหนึ่งพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าเสี่ยวเถาจะสวยแค่ไหน ไม่ว่าครอบครัวของหล่อนจะดีแค่ไหนก็เถอะ หล่อนจะหาเงินได้มากมายแล้วยังไง? ผู้หญิงที่เคยหย่าร้างมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ แค่มีคนมาชอบก็เป็นบุญหัวของหล่อนตั้งเท่าไหร่!”
ป้าอีกคนหนึ่งตบหน้าอกตัวเองพลางพูดว่า “บอกความจริงมาเถอะน่า คุณชอบเสี่ยวเถาจริง ๆ ใช่ไหม? ถ้าคุณชอบเสี่ยวเถา ฉันจะคอยช่วยจับคู่ให้คุณเอง มั่นใจได้เลยว่าไม่นานพวกเธอสองคนได้แต่งงานกันแน่”
หัวหน้าหลูหน้าแดงเถือกเหมือนคนเมา “ชอบสิ ผมต้องชอบหล่อนแน่อยู่แล้ว”
เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตัวเองมีคุณป้าพวกนี้คอยออกหน้าให้อีกแรง เรื่องระหว่างเขากับเถาจืออวิ๋นอาจยังพอมีความหวัง
แค่คิดว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับเถาจืออวิ๋น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง
…
ครอบครัวของหม่าเทาวิ่งหนีออกมาจากเขตชุมชนของโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ย ตรงไปที่บ้านตระกูลเถา
พวกเขาบังเอิญชนเข้ากับครอบครัวของเถาจืออวิ๋นตรงปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี
ทันทีที่แม่หม่าเห็นเถาจืออวิ๋น หล่อนก็รีบก้าวออกไปข้างหน้าแล้วจีบปากจีบคอเรียก ‘ลูกสะใภ้’ ด้วยความรักใคร่ หมายจะจับมือหล่อน
แต่พ่อเถาเป็นคนดึงเถาจืออวิ๋นกับลูกชายของหล่อนไปหลบอยู่ข้างหลังเขากับคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว
พ่อเถาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ฉันรู้ว่าคนแซ่หม่าทำได้ทุกอย่างแม้แต่กินสิ่งปฏิกูลเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่อย่ามาพูดจาพล่อย ๆ จืออวิ๋นของฉันกับลูกชายของพวกคุณหย่าขาดจากกันแล้ว หล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหม่าอีกต่อไป หยุดแหกปากได้แล้ว!”
แม่หม่าทำตัวเป็นอันธพาล “ชิ่งเจีย คุณพูดถึงเรื่องอะไรกัน? คู่รักหนุ่มสาวแค่ทะเลาะกันเท่านั้น พวกเขาได้หย่าขาดจากกันตั้งแต่เมื่อไหร่? ลูกชายฉันกำลังจะได้กลับมาแต่งงานใหม่กับจืออวิ๋นของคุณอยู่แล้ว ถ้าไม่ให้ฉันเรียกจืออวิ๋นว่าลูกสะใภ้ แล้วจะให้ฉันเรียกหล่อนว่าอะไรล่ะ?”
พี่สะใภ้ใหญ่เถาก้าวพรวดไปข้างหน้าแล้วผลักแม่หม่าออกไปอย่างรุนแรง “ช่างมั่นใจซะเหลือเกินนะว่าพวกเขาจะกลับมาแต่งงานกันอีกครั้ง ถามน้องสาวสามีฉันก่อนไหมว่ายอมตกลงหรือยัง?”
แม่หม่าตะคอกอย่างเย็นชา “ทำไมจืออวิ๋นจะไม่ยอมล่ะ หล่อนกับเทาเทามีลูกด้วยกันนะ!”
“ลูกเป็นของฉันแค่คนเดียว พวกคุณไสหัวไปซะ!” เถาจืออวิ๋นพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แม่หม่าโกรธจัด “เธอพูดจากับผู้ใหญ่แบบนี้ได้ยังไง?”
พี่ชายทั้งสองคนของเถาจืออวิ๋นไม่สามารถอดทนฟังได้อีกต่อไป ก้มลงคว้าท่อนไม้สองอันขึ้นมาจากพื้น แล้วปรี่เข้าไปหาครอบครัวของหม่าเทาทันที
พี่ใหญ่เถาเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องมาสอนมารยาทจอมปลอมต่อหน้าน้องสาวผม วันนี้ผมจะทุบตีสัตว์ร้ายอย่างพวกคุณให้ตายกันไปข้าง!”
แม่หม่าสวนกลับ “เธอเรียกใครว่าสัตว์?”
พี่ใหญ่เถาเงื้อท่อนไม้ขึ้นสุดแขนแล้วฟาดลงมาที่แม่หม่า “พวกแกไงสัตว์ร้าย! แถมยังเป็นสัตว์ร้ายที่ไม่เข้าใจภาษาคนอีกด้วย!”
สมาชิกทั้งสามของตระกูลหม่าถูกสองพี่น้องตระกูลเถาทุบตีหนักเข้า ก็วิ่งเตลิดหนีไปโดยใช้สองแขนบังศีรษะตัวเองเอาไว้
เมื่อเห็นแบบนั้น เถาจืออวิ๋นถึงกับยกนิ้วโป้งให้พี่ชายทั้งสองคน
พี่รองเถาที่ในเวลาปกติมักจะสุภาพอ่อนโยน โยนไม้ในมือตัวเองทิ้งไป พูดด้วยความโกรธว่า “ฉันทนพูดคุยสื่อสารกับสัตว์ร้ายแซ่หม่าฝูงนี้ไม่ได้จริง ๆ พวกเขาหน้าด้านหน้าทนเกินไป! ต้องเอาไม้ไล่ตีซะให้มันจบ ๆ!”
สมาชิกทั้งสามของตระกูลหม่าวิ่งหนีออกไปไกลแล้ว จากนั้นก็มองย้อนกลับมาทั้ง ๆ ที่ความกลัวยังคงอยู่
เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องตระกูลเถาไม่วิ่งตามมาแล้ว หัวใจที่จุกตื้นขึ้นมาก็หดกลับไปอยู่ในช่องอกอีกครั้ง
แม่หม่าสลัดท่าทางที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นทิ้งไป กลับมาเป็นคนอวดดีเหมือนเดิม พ่นคำผรุสวาทด่าเถาจืออวิ๋นไม่หยุดปาก
แม้แต่เวินหงเหมยก็ถูกหยิบยกมาด่าทออย่างรุนแรง
ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงแพศยาคนนั้น ครอบครัวของพวกเขาคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
ส่วนความผิดของลูกชายที่ยืนกรานหัวชนฝาว่าจะแต่งงานกับหญิงแพศยาเวินหงเหมยให้ได้โดยไม่คำนึงถึงความลำบากของพ่อแม่ตัวเองที่จะได้รับหลังจากนั้น แม่หม่ากลับไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าลูกชายจะโกรธขึ้นมาอีก
ทั้งสามต้องเดินเตร่ไปตามถนนเหมือนสุนัขจรจัดอีกครั้งหนึ่ง
พ่อหม่าแสดงสีหน้าหวั่นวิตก “เทาเทาไม่มีงานทำในเมืองอีกต่อไป เงินเก็บทั้งหมดของครอบครัวก็ถูกนังแพศยาเวินหงเหมยขโมยไปจนหมด พวกเราคงอยู่ในเมืองต่อไปไม่ได้แล้ว เรากลับไปอยู่ที่ชนบทกันดีกว่า”
ในชนบท ครอบครัวของพวกเขายังมีบ้านอิฐหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยเงินของเถาจืออวิ๋น ถือเป็นบ้านหลังเดียวในหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
สภาพบ้านหลังนั้นดีกว่าบ้านหลังเก่าในหมู่บ้านกลางเมืองที่เช่าด้วยเงินของเถาจืออวิ๋นหลายพันเท่า
แม่หม่าเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของพ่อหม่า
หล่อนคุยโวเอาไว้มากมายตอนที่รู้ว่าตัวเองจะได้ตามลูกชายเข้าไปอยู่ในเมือง ถ้าตอนนี้หล่อนต้องแบกหน้ากลับไปอยู่ชนบทตามเดิม จะไม่โดนชาวบ้านหัวเราะเยาะแย่เหรอ
นอกจากนี้ สองสามีภรรยาอยู่กินอย่างสุขสบายในเมืองมานานหลายปี ถ้าต้องกลับไปทำไร่ไถนาจริง ๆ ฆ่าหล่อนให้ตายเสียเลยดีกว่า!
หม่าเทาเองก็ลังเลไม่อยากกลับไปอยู่ชนบท
เขากับแม่หม่ามีความคิดเหมือนกัน หนึ่งกลัวถูกหัวเราะเยาะ สองกลัวการทำไร่ไถนา
พ่อหม่าผายมือออก “แล้วถ้าไม่กลับชนบท พวกเราจะอยู่ในเมืองกันต่อไปได้ยังไง?”
แม่หม่าหันมองกลับไปในระยะไกลด้วยดวงตาที่ขุ่นมัว “หาทางกลับไปอาศัยอยู่กับจืออวิ๋นน่ะสิ! หล่อนอรวยออกปานนั้น จะเลี้ยงพวกเราสามคนไม่ได้เชียวหรือไง?”
หม่าเทายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะกลับไปอยู่กับเถาจืออวิ๋น
สมัยที่เขายังอยู่กับเถาจืออวิ๋น เขาจำได้ว่าแต่ละวันตัวเองแต่งตัวดีแค่ไหน จำได้ว่าอาหารทั้งสามมื้อในแต่ละวันอร่อยอย่างไร ถ้าเขายังอยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับไปอยู่กับเถาจืออวิ๋นให้ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าวยัยป้านี่สาระแนอยากเป็นแม่สื่อซะแล้ว ถามพ่อแม่ผู้หญิงเขาก่อนหรือยังว่าจะให้ลูกคบกับไอ้หนุ่มนี่หรือเปล่า
ส่วนพวกแซ่หม่านี่ ที่เดียวที่จะไปอยู่ได้ก็คือในคุกเท่านั้นแหละ มีทั้งที่ซุกหัวนอนและข้าวแดงร้อน ๆ กินนะไม่ดีเหรอ
ไหหม่า(海馬)