สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับนางไม่เห็นความประสบสอพลอของเลี่ยวจือฝู่และบรรดาขุนนางที่มาจากเมืองหลวงประจำมณฑล ทุกคนที่เข้ามาในสายตาของนางล้วนไม่แตกต่างกัน และของขวัญที่พวกเขานำมาก็ยังไม่สามารถทำให้นางไขว้เขวได้อีกด้วย
ที่ปรึกษาจางชักสีหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเกลียดชังว่า ”ทำเป็นวางท่า!”
สำหรับเขาแล้ว เจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้ช่างเป็นคนที่โง่จริงๆ บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลอุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งที แต่เขากลับยังเอาแต่ทำตัวสูงส่งราวกับอยู่บนหิ้งอยู่ได้ เขาไม่รู้จักทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยซ้ำ ก็สมควรแล้วที่จะโดนดี!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ทำตัวสูงส่งอย่างที่เขาว่า นางแค่ไม่ใช่คนประเภทที่จะประจบเอาใจคนที่ยศสูงกว่าตัวเองเหมือนคนอื่นๆ เท่านั้น การกระทำของนางเป็นไปอย่างสุภาพ ไม่ได้ถ่อมตัวและไม่ได้หยาบคายจนเกินไป
ทันทีที่เหล่าขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลนั่งลง พวกเขาก็เริ่มถามขึ้นว่า ”ทางราชสำนักจัดสรรงบประมาณลงมาแล้ว พวกข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้ามีโครงการก่อสร้างถนนเพิ่มที่เมืองฟู่ผิงแห่งนี้ พวกเจ้าวางแผนการสร้างเอาไว้อย่างไรบ้างหรือ”
“พวกข้าตั้งใจว่าจะใช้วิธีการเดียวกันกับที่เคยทำเมื่อปีก่อนๆ ขอรับ” เลี่ยวจือฝู่ถือถ้วยชาไว้ในมือพลางยิ้มออกมา แล้วตอบว่า ”ถ้าเราสามารถสร้างถนนที่ตรงมาถึงหมู่บ้านได้ก็คงดีขอรับ มันน่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางไปเมืองหลวงได้”
หลังจากได้ยินดังนั้น บรรดาขุนนางต่างก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย ”เมืองฟู่ผิงมีอาณาเขตกว้างขวาง หากการสร้างถนนเพิ่มสักสองสามเส้นจะสามารถช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกขึ้นละก็ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว” จากนั้นพวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปยังนายอำเภอคนอื่นๆ แล้วถามว่า ”พวกเจ้าทุกคนมีความเห็นว่าอย่างไร มีข้อแนะนำอันใดหรือไม่”
แน่นอนว่าบรรดานายอำเภอเหล่านั้นย่อมไม่มีความคิดอื่นใดอยู่ในหัว เพราะพวกเขากำลังตื่นเต้นกับโครงการก่อสร้างถนนที่ว่านี้! ระหว่างการสนทนานั้นพวกเขาเอาแต่สรรเสริญเยินยอเลี่ยวจือฝู่ไม่หยุดปาก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยที่มีสิทธิ์มีเสียงที่สุดกลับทำเพียงแค่ดื่มชาเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ
นางละมือออกจากถ้วยชาก็ตอนที่พวกเขาคุยกันเสร็จแล้ว จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสราวกับแก้วว่า ”ข้าไม่คิดว่าการสร้างถนนจะเป็นความคิดที่ดี”
ใบหน้ายิ้มแย้มของเลี่ยวจือฝู่หายวับไปกับตา เขาหันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
ขุนนางสองสามคนจากเมืองหลวงประจำมณฑลสบตากัน จากนั้นจึงขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน ”เช่นนั้นช่วยบอกให้พวกข้าขอทราบเหตุผลด้วย”
“เมืองฟู่ผิงมีถนนสายหลักประจำหมู่บ้านอยู่แล้วถึงสองเส้น และทั้งสองเส้นนั้นก็มุ่งตรงไปจนถึงเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องก่อสร้างเพิ่มอีก” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยฟังดูเยือกเย็น แต่ทุกประโยคกลับตรงประเด็น
เลี่ยวจือฝู่หัวเราะเสียงต่ำ ”ใต้เท้าเว่ย ท่านเพิ่งเข้ามาทำงานด้านนี้ จึงย่อมไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เราควรสร้างถนนให้กับประชาชน ตอนนี้ทั่วทุกหนแห่งต่างก็กำลังสร้างถนนอยู่ และเราจำเป็นต้องเชื่อมถนนเหล่านั้นเข้าหากันจนไปถึงเมืองหลวงประจำมณฑลเพื่อความเจริญของประชาชน มิฉะนั้นในภายภาคหน้าเมืองฟู่ผิงจะต้องเผชิญกับความยากจนและความล้าหลังอย่างแน่นอน นี่เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเราปรึกษาหารือกันอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอถามใต้เท้าเลี่ยวหน่อยก็แล้วกัน ตอนที่ท่านตัดสินใจเรื่องนี้ ท่านได้พิจารณาถึงความจริงที่ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองฟู่ผิงเป็นเรือกสวนไร่นาหรือไม่ การสร้างถนนย่อมทำให้พื้นที่เกษตรกรรมเหล่านั้นถูกแทนที่ ประชาชนทั้งหมดของที่นี่ปลูกพืชเพื่อยังชีพ แล้วพวกเขาจะเอาอะไรกินถ้าหากพื้นที่ทำกินของเขาหายไปหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
สายตาของเลี่ยวจือฝู่ลึกล้ำยิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา ”ใต้เท้าเว่ยถามได้ดี! ตอนแรกพวกข้าก็เป็นห่วงกับปัญหานี้เหมือนกัน แต่หลังจากคิดดูให้ดี การทำการใหญ่ย่อมต้องมีการเสียสละ หลังจากถนนสร้างเสร็จ ประชาชนของเราก็เพียงต้องรอให้ถึงฤดูการเก็บเกี่ยว จากนั้นพวกเขาก็จะได้สิ่งที่เสียไปทั้งหมดกลับคืนมา หากมันไม่ได้ผล พวกเราก็ยังมีอาหารแห้งอยู่ในยุ้งฉางเป็นจำนวนมากมิใช่หรือ เมื่อถึงเวลานั้นเรานำพวกมันออกมาใช้ก็ยังได้”
“ใต้เท้าเลี่ยวคงลืมไปแล้วว่าเมื่อสองวันก่อน ท่านเพิ่งสั่งให้ที่ปรึกษาจางนำอาหารแห้งพวกนั้นไปขายหมด หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ แล้วพวกเราจะเอาอะไรแจกจ่ายให้กับประชาชนในยามยากหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาในมือลง แล้วถามอย่างตรงประเด็น
เมื่อเลี่ยวจือฝู่ฟังจบ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ”ฟังดูแล้วใต้เท้าเว่ยไม่เห็นด้วยกับการสร้างถนนพวกนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่าการด่วนตัดสินใจของท่านจะทำให้ประชาชนของเมืองฟู่ผิงพลาดโอกาสอะไรไปบ้าง”
ราวกับเห็นด้วยกับคำพูดของเลี่ยวจือฝู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาแต่ไกลว่า ”พวกเราต้องการพบใต้เท้าเว่ย! พวกเราต้องการพบใต้เท้าเว่ย!”
เสียงดังโวยวายถึงเพียงนี้ย่อมได้ยินมาถึงหูของทุกคน บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลสบตากัน แล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า ”ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ใต้เท้าขอรับ มีชาวนาหลายคนส่งเสียงเอะอะโวยวายว่าจะขอเข้าพบใต้เท้าเว่ยขอรับ ดูเหมือนพวกเขามีเรื่องจะคุยกับเขา” คนที่ตอบคำถามคือที่ปรึกษาจาง เขาอ้าปากขึ้นอีกครั้งเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป การทำเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเขาลอบสบตากับเลี่ยวจือฝู่ นางเคาะนิ้วเรียวของตัวเองลงบนโต๊ะ แต่ยังคงเงียบไม่พูดจา
หนึ่งในขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลเอ่ยว่า ”ให้ชาวบ้านเข้ามา พวกข้าอยากรู้ว่าพวกเขาต้องการพูดเรื่องอะไร และพวกเขาต้องการถามอะไรกับใต้เท้าเว่ย”
“ขอรับ” ที่ปรึกษาจางก้มศีรษะลงพร้อมกับทำตามคำสั่งนั้น แล้วกระตุกยิ้มขึ้นมาราวกับมั่นใจว่าแผนการของตัวเองกำลังจะสำเร็จ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นำชาวบ้านเข้ามาในจวน
เห็นได้ชัดว่าสามัญชนเหล่านั้นย่อมไม่เคยได้เห็นขุนนางจำนวนมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน ดังนั้นบนใบหน้าของพวกเขาจึงเผยสีหน้าเกรงกลัวออกมา
ที่ปรึกษาจางลดเสียงลง แล้วบอกพวกเขาด้วยท่าทางใจดีผิดปกติว่า ”ไม่จำเป็นต้องกลัว เจ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาเสีย ใต้เท้าทุกคนที่อยู่ที่นี่มาจากเมืองหลวงประจำมณฑล พวกเขาย่อมสามารถช่วยเหลือประชาชนของพวกเราได้”
หลังจากได้ยินดังนั้น ในที่สุดหนึ่งในนั้นก็รวบรวมความกล้าตะโกนขึ้นว่า ”ข้าต้องการพบใต้เท้าเว่ย! นายอำเภอคนใหม่ของเมืองฟู่ผิงอยู่ที่ไหน!”
หลังจากสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงของชาวนาเหล่านั้น ขุนนางที่มาจากเมืองหลวงประจำมณฑลจำนวนหนึ่งจึงหันหน้าไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาตั้งคำถาม…
เลี่ยวจือฝู่ก้มหน้าลงจิบชา แต่การทำเช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะปิดบังริมฝีปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันน่ารังเกียจได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับใจเย็นอย่างคาดไม่ถึง นางลุกขึ้นยืนอย่างสบายๆ แล้วเอ่ยว่า ”ข้าคือนายอำเภอคนใหม่ของเมืองฟู่ผิง…”
“ขุนนางจอมละโมบที่ขัดขวางไม่ให้พวกข้าได้ทำมาหากินคือเจ้าเองรึ!?” ชายหนุ่มคนนั้นตะโกนขึ้นเสียงดังทั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันพูดจบ ”ทำไมเจ้าถึงได้ห้ามไม่ให้เลี่ยวจือฝู่สร้างถนน! ปากเจ้าบอกว่าทำเพื่อประชาชน แต่กลับขัดขวางไม่ให้พวกเราทำการเชื่อมถนนไปยังเมืองหลวง แล้วใช้งบประมาณก้อนนั้นไปกับการขุดดินวางระบบท่อส่งน้ำแทนน่ะหรือ!? ทุกคนต่างก็รู้ว่าตำแหน่งแม่น้ำในเมืองฟู่ผิงอยู่ต่ำกว่าไร่นา น้ำย่อมขึ้นมาไม่ถึงไร่นาอยู่แล้ว ถ้าเจ้าอยากทำก็ทำไปคนเดียวสิ แต่ทำไมเจ้าต้องใช้งบประมาณสำหรับการสร้างถนนไปกับเรื่องพรรค์นั้น แล้วขัดขวางไม่ให้พวกข้าหาเงินด้วย! เจ้าคนแซ่เว่ย เจ้าช่างเป็นขุนนางที่ไร้ยางอายและโลภที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย!” หลังจากถูกตะคอกใส่ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่ได้รู้สึกโมโหแม้แต่น้อย แต่กลับถามเขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า ”มีขุนนางเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องงบประมาณจากราชสำนัก พี่ชายท่านนี้ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนหรือ”
สายตาของชายคนนั้นเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ที่ปรึกษาจางโดยไม่รู้ตัว
ที่ปรึกษาจางกระแอมออกมาเสียงดัง!
ชายคนนั้นเอ่ยต่อ ”ใครจะสนกันล่ะว่าข้าจะไปได้ยินมาจากไหน! ความจริงในเวลานี้ก็คือเจ้ากำลังขัดขวางไม่ให้พวกข้าสร้างถนนก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองต่างหาก!”
“ใต้เท้าเว่ยคงมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ให้พวกข้าใช่หรือไม่” หลังจากได้ฟังสิ่งที่ชาวนาคนนั้นพูด บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลทุกคนก็หันหน้ามามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ”ราชสำนักไม่ต้อนรับการฉ้อโกง พวกข้าไม่มีทางยอมให้เงินก้อนนั้นตกอยู่ที่ขุนนางนิสัยคดโกงที่เป็นภัยต่อประชาชนอย่างเด็ดขาด!”