เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้แม้จะเผชิญหน้ากับคำใส่ร้ายป้ายสีนั้น นางไม่ได้หัวเสียจนอาละวาดอย่างที่เลี่ยวจือฝู่คาดเอาไว้ แต่กลับเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ ว่า ”ใต้เท้าทั้งหลายพูดถูกต้องแล้ว ไหนๆ ชาวบ้านก็ถามขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพวกเราก็ควรคุยเรื่องนี้กันให้รู้เรื่อง” นางเหลือบมองชาวนาคนนั้น แล้วเอ่ยต่อ ”พี่ชาย ทำไมท่านถึงมั่นใจล่ะว่าการสร้างถนนจะทำให้ท่านมีรายได้”
ชาวนาเหล่านั้นมองตากัน พวกเขาเผลอมองไปทางที่ปรึกษาจางอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า ”ทำไมพวกพี่ชายถึงเอาแต่มองที่ปรึกษาจางล่ะ เขามีความคิดอะไรดีๆ หรือ เช่นนั้นข้าก็มีคำถามจะถามเขาเหมือนกัน ภัยแล้งระลอกสองของฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือนในอีกไม่กี่วัน ในไร่นาจะไม่เหลือธัญพืชสักเมล็ดให้เก็บเกี่ยวทันทีที่มันมาถึง ถ้าไม่มีการเก็บเกี่ยว ท่านก็จะไม่สามารถขายผลผลิตได้ และถ้าขายของไม่ได้ ท่านจะสร้างรายได้ได้อย่างไรหรือ เช่นนั้นสร้างถนนไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาเล่า”
ที่ปรึกษาจางพูดไม่ออก เขาไม่สามารถตอบคำถามเป็นชุดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ เขาอ้าปากขึ้น พยายามจะหาคำอธิบาย แต่แล้วก็จบลงด้วยการพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“ดูเหมือนว่าที่ปรึกษาจางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อด้วยรอยยิ้ม ”ตอนนี้ข้าชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่าทำไมพวกพี่ชายถึงได้มั่นใจในเรื่องนี้นักหนาทั้งที่ไม่มีขุนนางคนใดให้การรับรองได้”
ที่นี่ไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบัน กล่าวได้ว่าคนในยุคโบราณนั้นเกรงกลัวเหล่าขุนนางยิ่งนัก ความหวาดกลัวของพวกเขายิ่งรุนแรงขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
มีชาวนาหลายคนที่กลัวว่าพวกเขาจะถูกลงโทษ และเอ่ยขึ้นด้วยความลังเลว่า ”ที่ปรึกษาจางรับประกันว่าพวกเราจะสามารถหาเงินมาให้ครอบครัวได้ทันทีที่ถนนสร้างเสร็จ”
ขุนนางทุกคนจากเมืองหลวงประจำมณฑลเงียบเสียงลงหลังจากได้ยินคำตอบนั้น ความนัยที่อยู่ในประโยคนั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร มันเป็นหลักฐานบ่งบอกว่าที่ปรึกษาจางเป็นคนสร้างข่าวลือนี้ขึ้นมา
นอกจากนั้น ปัญหาใหญ่ที่สุดที่จำเป็นต้องแก้ไขในเมืองฟู่ผิงนั้นไม่ใช่การสร้างถนน แต่เป็นปัญหาภัยแล้งอันน่ากังวลนั้นต่างหาก
ที่ปรึกษาจางไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเอาแต่พูดเรื่องการสร้างถนนเพียงอย่างเดียว
เมื่อถึงเวลานั้น หากพวกเขาไม่สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้เลยเพราะปัญหาภัยแล้ง ทุกคนในเมืองฟู่ผิงย่อมต้องออกจากเมืองเพื่อหนีความอดอยากนั้น และเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะไปเอาเงินมาจากที่ไหน!
หากเวลานั้นมาถึง ไม่ใช่เพียงแค่ราชสำนักเท่านั้นที่จะโทษว่าเป็นความผิดของพวกเขา แต่อดีตฮ่องเต้ก็อาจจะทรงไม่พอพระทัยไปด้วย และพวกเขาจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบต่อเรื่องนั้น
แต่เดิมนั้นจุดประสงค์ของพวกเขาคือการคว้าโอกาสหาเงินให้ได้เร็วที่สุด แต่พวกเขาเพียงต้องการหาเงินโดยที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย ถ้าเรื่องนี้ไปถึงขั้นที่อยู่นอกเหนือความสามารถของพวกเขาละก็ ย่อมไม่มีใครอยากรับผลที่ตามมาแม้แต่คนเดียว
“ที่ปรึกษาจาง วิธีที่ท่านใช้รับมือกับปัญหานี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง” หนึ่งในขุนนางเหล่านั้นเอ่ยขึ้น
ที่ปรึกษาจางไม่เคยคิดว่าผลสุดท้ายจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษารอยยิ้มแข็งๆ บนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า ”ข้าเพียงแค่เป็นห่วงชาวบ้านเท่านั้นขอรับ”
แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขาอีกต่อไป
แม้แต่ชาวบ้านที่มากับเขาก็ยังเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตวัดสายตาไปมองเขาอย่างดุร้าย ชายสูงอายุคนหนึ่งเข้าใจดีกว่าใคร เขาอ้าปากขึ้นแล้วกล่าวว่า ”เจ้าหลอกใช้พวกข้าอยู่หรือ พูดมาสิ!”
“ข้า…” ใบหน้าของที่ปรึกษาจางแทบดูไม่ได้ทันทีที่เขาถูกกล่าวหาเช่นนั้น จากนั้นเขาจึงอธิบายตัวเองว่า ”พวกเจ้าอย่ามากล่าวหาข้านะ! พวกเจ้าเป็นคนเสนอตัวมาที่นี่เอง ทำไมเจ้าถึงบอกว่าข้ากำลังหลอกใช้เจ้าอยู่เล่า ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ!”
เจ้าโง่! เลี่ยวจือฝู่ด่าเขาในใจขณะที่ฟังคำแก้ตัวอันไร้ประโยชน์ของเขา สีหน้าของเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่ปรึกษาจางทำงานให้เขา หากที่ปรึกษาจางทำผิด มันย่อมเท่ากับการตบหน้าเขาฉาดใหญ่
แน่นอนว่าเจ้าคนแซ่เว่ยย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ยังกล้าใช้ไม้นี้กับเขา!
ดี ดียิ่งนัก!
เลี่ยวจือฝู่กลอกตามองไปรอบๆ พร้อมกับพยายามเปลี่ยนประเด็นว่า ”พักเรื่องการสร้างถนนเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ใต้เท้าเว่ย ท่านคงเข้าใจคำถามที่ชาวบ้านถามท่านผิดแล้วกระมัง พวกเขาอยากรู้ว่าทำไมท่านถึงยืนกรานที่จะใช้เงินเหล่านั้นไปกับการวางท่อส่งน้ำทั้งที่พื้นที่ที่เป็นไร่นาของเมืองฟู่ผิงอยู่สูงกว่าแม่น้ำต่างหาก มันสิ้นเปลืองทั้งกำลังคนและทรัพยากร มิหนำซ้ำยังเสียแรงเปล่าอีกด้วย”
“ใช่แล้ว พวกเขาหมายความว่าอย่างนั้นขอรับ!” ที่ปรึกษาจางส่งเสียงเออออเป็นลูกคู่ให้เขาอย่างอดไม่ได้ ”จากที่ใต้เท้าเว่ยว่า การสร้างถนนจะก่อให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่ที่เป็นเรือกสวนไร่นา แต่การวางท่อส่งน้ำของท่านก็ต้องทำตัดผ่านไร่นาพวกนั้นเหมือนกัน ถ้าสุดท้ายไม่มีน้ำ และไร่นาถูกทำลาย ชาวบ้านก็ยังต้องเสียเมล็ดธัญพืชพวกนั้นไปอยู่ดี!”
เลี่ยวจือฝู่จิบชาก่อนจะพูดขึ้นมาว่า ”ที่ปรึกษาจาง ใต้เท้าเว่ยเป็นขุนนางที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่ ดังนั้นเขาจึงทุ่มเททั้งหัวใจของตัวเองให้กับการทำผลงานอันโดดเด่น พวกเราเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะยอมอนุญาตให้เป็นเช่นนั้น ท่านไม่ต้องห่วง หากมีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ค่อยๆ อธิบายให้ชาวบ้านฟัง เหล่าขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลจะได้ไม่เข้าใจท่านผิดด้วย”
“ข้าเพียงแค่เป็นห่วงชาวบ้านขอรับ” ที่ปรึกษาจางทำหน้าราวกับเขากำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”หลังจากถนนสร้างเสร็จแล้ว ประชาชนของเมืองฟู่ผิงก็ยังสามารถรับเสบียงช่วยเหลือจากเมืองหลวงประจำมณฑลได้ต่อให้พวกเขาไม่มีอาหาร การขุดดินเพื่อวางท่อส่งน้ำจึงเป็นการกระทำที่ผลาญงบประมาณไปโดยใช่เหตุ มันจะมีประสิทธิภาพเพียงใดกันเชียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดยิ้ม แล้วเอ่ยว่า ”ที่ปรึกษาจางยังไม่เห็นเลยว่าวิธีที่ข้าใช้มีประสิทธิภาพหรือไม่ ท่านจะด่วนสรุปในทันทีเช่นนี้ได้อย่างไร”
ใต้เท้าเลี่ยวโบกมือแล้วเอ่ยขึ้นว่า ”ใต้เท้าเว่ย พวกเราเลิกเถียงกันเรื่องนี้แล้วไปดูที่ไร่นากันเลยดีกว่า เหล่าขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลจะได้มาร่วมเป็นพยานให้กับพวกเราด้วยอย่างไร”
เจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้คงไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้หากไม่โดนตบหน้าเข้าอย่างจัง!
เขารู้จักเมืองฟู่ผิงเป็นอย่างดี มันไม่มีทางที่น้ำจากแม่น้ำจะไหลขึ้นมาบนไร่นาที่อยู่สูงถึงเพียงนั้นได้หรอก!
“เช่นนั้นก็เอาอย่างที่ใต้เท้าเลี่ยวว่า พวกเราไปดูที่ไร่นาด้วยตาตัวเองก็แล้วกัน” หนึ่งในบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลเอ่ยขึ้น ขุนนางผู้นี้เป็นคนใจดีมีเมตตากับประชาชนยิ่งนัก ”ให้ชาวบ้านตามพวกเรามา เจ้าจะได้อธิบายให้ใต้เท้าเว่ยฟังทีหลังด้วย”
ทุกคนหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยิน พวกเขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างชัดเจน
ชาวนาเหล่านั้นไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะเชื่อคำพูดของใครดี และรู้สึกเพียงแค่ว่าพวกเขาไม่ควรเชื่อใต้เท้าเว่ย แต่เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ตอนนี้พวกเขาจึงไม่เหลืออะไรให้ต้องเสียอีก ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการเตรียมใจและเดินตามหลังขุนนางเหล่านั้นไปที่ไร่นา
แม้พวกเขาจะบอกว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไร่นา แต่ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ ใต้เท้าเลี่ยวกลับพยายามนำทางพวกเขาไปทางแม่น้ำแทน เขาอยากให้บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลได้เห็นว่าตำแหน่งของแม่น้ำสายนี้อยู่ต่ำเพียงใด
หนึ่งในขุนนางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาขณะเดินอยู่ว่า ”ใต้เท้าเว่ย บางครั้งท่านก็ต้องรู้จักคิดก่อนทำ แม่น้ำอยู่ต่ำถึงเพียงนี้ ท่านจะส่งน้ำขึ้นไปถึงไร่นาได้อย่างไร”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน แต่นางก็ยังไม่คิดที่จะปริปาก
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงน้ำไหลดังอยู่ไม่ไกล เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของเหล่าชาวนา มันจึงเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นมา!
“น้ำ! น้ำไหลมาแล้ว!”
ขุนนางเหล่านั้นถึงกับตกตะลึง พวกเขาหันหน้าไปมองยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น ชายร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาและดูท่าทางห่างเหินเย็นชายืนอยู่ในไร่นาอันกว้างขวาง ชายเสื้อคลุมตัวยาวของเขาปลิวอยู่ในสายลม เขาดูเหมือนกับเทพจากสมัยโบราณกาลไม่มีผิด
เขาสวมถุงมือสีดำ นิ้วของเขาเรียวยาว ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ใช่รอยยิ้ม และดวงตาอันลุ่มลึกของเขาก็ส่องแสงเป็นประกาย ความกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นทำให้ยากที่ใครจะสามารถมองข้ามไปได้
แม้เขาจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ทุกคนก็สามารถมองเห็นเขาได้ในทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นริมฝีปากของนางก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม องค์ชายหายตัวไปตั้งแต่เช้า แต่ที่จริงแล้วเขามารออยู่ที่นี่เอง…