ทุกอย่างในเมืองฟู่ผิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในตอนที่เลี่ยวจือฝู่เริ่มรู้สึกตัว เขาก็ติดอยู่ท่ามกลางพายุลูกนี้เสียแล้ว
บรรดาขุนนางทั้งหลายที่เคยสนับสนุนโครงการก่อสร้างถนนต่างก็เหมือนไก่ไร้หัว พวกเขานั่งอยู่ในศาลาว่าการและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสืบให้รู้ว่าเวลานี้เกิดอะไรขึ้นที่เมืองหลวงประจำมณฑล และหวังว่าจะมีทางออกสำหรับเรื่องนี้สักทาง
ในหมู่คนพวกนั้น คนที่กังวลใจที่สุดก็คือที่ปรึกษาจาง
เขาเป็นคนที่สนิทสนมกับนายท่านเยี่ยนที่สุด ตอนนี้เมื่อนายท่านเยี่ยนตกที่นั่งลำบาก เขาก็อาจจะพลอยติดร่างแหไปด้วย
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมือง ชาวบ้านต่างพูดกันว่าเขาใช้ฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของศาลาว่าการปกป้องนายท่านเยี่ยนมาตลอดหลายปี และเขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากาฝากเท่านั้น
“ใต้เท้าเลี่ยว พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างนะขอรับ พวกเราจะนั่งเฉยรอคอยความตายอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ!” ที่ปรึกษาจางเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากตัวเอง ”ตอนนี้ที่นอกศาลาว่าการมีคนรอให้เราตอบคำถามอยู่มากมาย แต่โชคดีที่ขุนนางบางส่วนจากเมืองหลวงประจำมณฑลยังใจดีนึกถึงความสัมพันธ์ครั้งก่อนๆ จึงไม่รายงานเรื่องของพวกเราให้เบื้องบนทราบขอรับ หากเบื้องบนรู้เรื่องความผิดพลาดในวันนี้เข้าละก็ พวกเราคงแย่แน่!”
สถานการณ์ที่ที่ปรึกษาจางอธิบายให้เขาฟังนั้นย่อมเป็นสิ่งที่เลี่ยวจือฝู่คิดเอาไว้แล้ว แต่การคิดกับการลงมือนั้นย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เจ้าต้องทำให้ตระกูลหลิวหุบปากให้ได้ มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเรายังพอมีโอกาสอยู่บ้าง!” เลี่ยวจือฝู่สั่งที่ปรึกษาจางเสียงเบาว่า ”เรื่องนี้ทำได้ง่ายดายนัก เจ้าอย่าตื่นตูมไป อย่าลืมว่าบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลเหล่านั้นมาที่นี่ก็เพื่อสนับสนุนพวกเรา ถ้าพวกเขาไม่พูด ใครจะกล้านำเรื่องนี้ไปบอกให้เบื้องบนรู้หรือ ต่อให้ข่าวนี้ไปถึงเมืองหลวง แต่เราก็ยังมีคนรู้จักอยู่ที่นั่น ใต้เท้าเว่ยนั่นไม่มีค่าอะไรที่เมืองหลวงประจำมณฑล และยิ่งไร้ตัวตนเมื่ออยู่ที่เมืองหลวง! แค่ทำผลงานได้นิดเดียวมันก็คิดว่าตัวเองจะต่อต้านพวกเราได้แล้วหรือ หึ” เลี่ยวจือฝู่หัวเราะเย็นชา พร้อมกับเผยสีหน้าชั่วร้ายออกมา ”ในสังคมการเมืองนั้น ใช่ว่าเพียงเพราะประชาชนรวมตัวกันก่อความวุ่นวายแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไป สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นต่างหากที่สำคัญ! ไปเอาเงินมาซะ ข้าไม่สนว่าจะเป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่เราต้องบังคับให้ตระกูลหลิวเปลี่ยนคำพูดของตัวเองให้ได้ ตราบใดที่เราสามารถตั้งข้อสงสัยในคำพูดของพวกมันได้ เช่นนั้นข้อกล่าวหาของเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นก็จะตกไปเหมือนกัน!”
“ขอรับ! ไม่มีใครมีความคิดละเอียดถี่ถ้วนยิ่งไปกว่าท่านอีกแล้วขอรับใต้เท้า ข้าจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้!” ที่ปรึกษาจางพยักหน้ารัวเร็วก่อนจะก้าวออกไป
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว คุณชายเลี่ยวก็เดินเข้ามาอย่างเดือดดาลพร้อมด้วยสีหน้าไม่พอใจ ”ท่านพ่อขอรับ เจ้าคนแซ่เว่ยนั่นมันจับคนของข้าไปทั้งหมด และลงโทษพวกเขาตามอำเภอใจ! ตอนนี้ข้ายังหาตัวพวกเขาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ ท่านต้องช่วยข้าหาตัวพวกเขานะขอรับ!”
“ลงโทษคนของเจ้าเป็นการส่วนตัวหรือ” ดวงตาของเลี่ยวจือฝู่เป็นประกาย สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว ”เจ้าตามข้ามาที่ศาล แล้วร้องเรียนเจ้าคนแซ่เว่ยนั่นต่อหน้าบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลซะ!”
คุณชายเลี่ยวไม่ได้ฉลาดมากนัก เขาไม่สามารถทำความเข้าใจกับคำพูดนั้นได้ในตอนแรก ”พวกเราทำเช่นนั้นได้หรือขอรับ มันจะไม่เป็นที่น่าพอใจกว่านี้หรือหากท่านสั่งให้เขาปล่อยตัวคนของข้า แล้วไล่เขาออกจากตำแหน่งเสีย”
“ข้าต้องบอกเจ้าอีกกี่ครั้งกี่หนกันว่าตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากทางราชสำนัก ไม่ว่าข้าจะมีอำนาจเพียงใด แต่ข้าก็ไม่สามารถไล่ใครออกได้!” บุตรชายที่ดีแต่กิน ดื่ม และเล่นสนุกทั้งวันเช่นนี้ทำให้เขาหงุดหงิดเสียเหลือเกิน ”ให้ที่ปรึกษาจางสอนเจ้าบอกว่าเจ้าควรพูดอะไรบ้างเมื่อไปถึงศาล เขารู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
“ก็ได้ขอรับ” คุณชายเลี่ยวรับคำด้วยสีหน้าหม่นหมองหลังจากถูกผู้เป็นบิดาดุ เขาไม่เคยเจอเรื่องยุ่งยากเช่นนี้มาก่อน ในอดีตนั้นเขาก็เพียงแค่ฆ่าใครก็ตามที่มากวนใจเขาเท่านั้น เขาไม่เคยต้องไปที่ศาลเพื่อนทำอะไรเช่นนั้นเลย ช่างน่ารำคาญเสียจริง!
ที่ปรึกษาจางเป็นคนช่างสังเกตและรู้ว่าคุณชายเลี่ยวคิดอะไรอยู่ ”คุณชาย อย่าได้ประเมินสิ่งที่ท่านกำลังจะร้องเรียนต่ำเกินไป ท่านพ่อของท่านกล่าวว่าขุนนางส่วนใหญ่จากเมืองหลวงประจำมณฑลอยู่ข้างเราขอรับ หากท่านทำได้ดี ข้อร้องเรียนของท่านจะไม่ใช่ทำได้เพียงแค่ไล่เจ้าคนแซ่เว่ยออกไปเท่านั้น แต่ท่านจะได้ทำให้เขาต้องติดคุกไปตลอดชีวิตด้วยนะขอรับ!”
“จริงหรือ” สีหน้าห่อเหี่ยวของคุณชายเลี่ยวหายวับไป ดวงตาของเขาเป็นประกาย
ที่ปรึกษาจางไม่รู้ว่าคุณชายเลี่ยวส่งมือสังหารไปลอบสังหารเฮ่อเหลียนเวยเวย เขารู้เพียงแค่ในสิ่งที่คุณชายเลี่ยวพูดออกมาเท่านั้น เขาเองก็อยากให้เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกลงโทษเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ และเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจว่า ”หากมีท่านพ่อของท่านอยู่ ต่อให้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเราก็สามารถสาดสีดำใส่เขาได้ขอรับ!”
ที่ปรึกษาจางพูดไม่ผิด อย่างไรบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่า พวกเขาไม่พอใจกับวิธีการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้อยู่เหมือนกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อหาความจรรโลงใจให้ชีวิต แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ได้รู้สึกดีมากนัก
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมีความสัมพันธ์อันดีกับเลี่ยวจือฝู่ พวกเขารู้อยู่ในใจแล้วว่าแผนการต่อไปจะเป็นอย่างไร
แต่แล้วในตอนนั้นนั่นเอง ในที่สุดรถม้าที่หลงทางไปของใต้เท้าเฉินซึ่งเป็นผู้ว่าการสามมณฑลก็เดินทางมาถึงเขตเมืองฟู่ผิง
เด็กรับใช้ตัวน้อยร้องขอความเมตตากับเขามาตลอดทาง
ใต้เท้าเฉินร้อนใจอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้า
เขากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาจึงแวะไปยังค่ายทหารที่อยู่ในพื้นที่ แล้วแสดงจดหมายของตัวเองให้คนสนิทของอดีตฮ่องเต้ดู
ทันทีที่อีกฝ่ายเห็นจดหมายฉบับนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แต่เขาก็ให้การยืนยันกับเขาว่า ”องค์ชายอยู่ในมณฑลของเรา นี่เป็นรับสั่งจากอดีตฮ่องเต้”
เพียงแค่ประโยคเดียว ใต้เท้าเฉินก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในราชสำนักได้
วิธีการขององค์ชายมักสร้างความหวาดกลัวให้ทุกคนอยู่เสมอ
เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ของเขาคือการไปที่เมืองฟู่ผิง
เขาตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ จากภายนอกเข้ามาสู่ภายใน
และเขาคงไม่ได้พอใจกับแค่เมืองฟู่ผิงแค่เมืองเดียว
จุดประสงค์ของเขาคือการจัดการกับผู้มีอำนาจทั้งหลายภายในมณฑลนั้นพร้อมกันในคราวเดียว!
ใต้เท้าเฉินตัวสั่นกับความคิดพวกนั้น แล้วมองไปยังศาลาว่าการเมืองฟู่ผิงที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเขานึกถึงบรรดาขุนนางที่เขาเคยส่งมาเพื่อตรวจสอบเรื่องของที่นี่ และอดีตเพื่อนร่วมงานคนก่อนๆ ของตัวเองขึ้นมา หน้าผากของเขาก็พลันเย็นเยียบ เขาหวังว่าคนพวกนั้นจะตระหนักได้ถึงจุดประสงค์ขององค์ชาย และจะทำตัวดีๆ กับเขา…
“ฮัดเช้ย!” เฉินเหลียงที่เดินตามเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่จามออกมาอย่างแรง และมองไปยังผู้เป็นนายของตัวเองอย่างน่าสงสาร ”ทำไม ทำไมข้าถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่นาล่ะขอรับ ข้าได้ยินมาจากต้าสงว่าท่านเท่อย่าบอกใครเชียว” เขารู้สึกภูมิใจยิ่งนักเมื่อได้ยินเรื่องนั้น แต่เขาพลาดไม่ได้อยู่ที่นั่นไปได้อย่างไร!
เฮ่อเหลียนเวยเวยดื่มชาอย่างสงบ ”หน้าตาของเจ้าน่าดึงดูดเกินไป”
“คนที่ดึงดูดความสนใจคือองค์ชายสามต่างหากล่ะขอรับ” เฉินเหลียงพึมพำเสียงเบา พร้อมกับตวัดสายตาไปมองผู้บังคับบัญชาของบรรดาองครักษ์เงาเหล่านั้น เขาเผลอลุกขึ้นยืนตัวตรงแทบจะในทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ”เจ้าไม่ต้องอิจฉาไปหรอก ระหว่างการสอบสวนนายท่านเยี่ยนในช่วงบ่ายนี้เจ้าได้มีประโยชน์แน่”
“จริงหรือขอรับ” เฉินเหลียงตื่นเต้น เขาหันไปมองตัวเองในกระจกสัมฤทธิ์ทันที ”ข้าจะไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยนั่งกัดซาลาเปาอยู่ข้างๆ เขาเคี้ยวมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า ”พี่สะใภ้สามขอรับ ทำไมคนของท่านทุกคนถึงได้ซื่อบื้อจังเลยล่ะขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาว แล้วตอบว่า ”พวกเขาคงถูกเลี้ยงมาดีเกินไป”
“ถูกเลี้ยงมาดีกว่าพี่สามอีกหรือขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยโซเซลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พี่สามเป็นคนเจ้าแผนการมาตั้งแต่ยังเด็กแล้วขอรับ…”