ทว่าตอนที่นางแอบอยู่ในที่ลับกลับเห็นใจความส่วนหนึ่งในกระดาษไปแล้ว
อวิ๋นอิ๋นแอบสัมผัสได้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยเกิดความสงสัยต่อนาง หลายวันมานี้นางเชื่อฟังไม่ตุกติกมาตลอด
ทว่าหลังจากที่เห็นชูอีเผากระดาษให้กลายเป็นเถ้าธุลีทีละแผ่นๆ แล้ว อวิ๋นอิ๋นจึงได้รู้ว่าในนี้ต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกใครอยู่แน่!
ทันใดนั้นความคิดนางก็แล่นวาบขึ้น!
นางจะบอกเรื่องนี้กับคุณชาย!
อวิ๋นอิ๋นเดินออกจากห้องครัวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง นางอดพินิจมองรอบด้านไม่ได้ เมื่อพบว่าไม่มีใครตามนางมาและไม่มีใครจับตาดูนาง ในที่สุดนางก็วางใจลงได้บ้างแล้ว!
ทว่านางยังคงไม่กล้าประมาท มือถือเครื่องมือตัดผลไม้เดินขึ้นเขาไปคนเดียว
ชังมู่นำคนที่มาจากชายแดนตะวันตกคารวะมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเป็นระเบียบแบบแผน
บรรดาผู้ติดตามไม่ได้สลักสำคัญอะไร ชังมู่จึงแนะนำแค่ทูตสำคัญๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย
ทูตที่ติดตามชังมู่มารวมถึงตัวเขาเองแล้วมีทั้งหมดสี่คน
คนที่รั่วสุ่ยส่งมาแต่งตัวเหมือนบัณฑิต ทั้งยังแซ่อวี่ด้วย
คนที่แม่ทัพสองนายส่งมาคือแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของตัวเอง คนหนึ่งแซ่จาง อีกคนแซ่หลิว
หลังจากแนะนำทั้งคู่เสร็จ แม่ทัพจางก็เอาแต่คุยจ้อไม่ได้หยุดเลย
เขาก็เคยเป็นคนติดตามท่านกั๋วกงมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงเอาแต่คิดถึงช่วงเวลาที่ท่านกั๋วกงตอนอยู่ที่ชายแดนตะวันตกอย่างน่าเกรงขาม
มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้วแปลกใจไม่น้อย
คราก่อนตอนที่ชังมู่กับอวี่เสวียนมาหา กลับไม่ได้พูดมากพูดมายเช่นนี้
พอทั้งคู่ถ่ายทอดคำสั่งของหัวหน้าเผ่าเสร็จอย่างเงียบๆ ก็ไปจัดการให้บรรลุผลเลย
มั่วเชียนเสวี่ยนึกว่าคนของชายแดนตะวันตกเป็นคนพูดน้อยด้วยซ้ำ
ทว่าเมื่อได้มาเจอแม่ทัพจางผู้นี้คงต้องปฏิเสธสิ่งที่เคยคิดไว้เมื่อก่อนหน้านี้ทั้งหมดเสียแล้ว
“คุณหนูใหญ่! ท่านคงไม่รู้ว่าตอนนั้นท่านพ่อของท่านห้าวหาญชาญชัยเพียงใด! ศึกในครานั้นท่านกั๋วกงมีแค่หอกด้ามหนึ่งกับม้าคู่ใจ…”
บุรุษผู้นี้ช่างคุยเก่งนัก ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยมึนงงไปหมด
ชังมู่กับอวี่เสวียนในเวลานี้หามุมเงียบสงบในห้องโถงจู๋จี๋กันไปนานแล้ว
“หมู่นี้คุ้นชินกับทางเมืองหลวงหรือยัง”
ชายชาตรีไม่คุยอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำ แต่อย่างไรเสียไม่ได้พบหน้ามาตั้งนานนมแล้วจึงคิดถึง
เมื่อก่อนพวกเขาแทบจะเจอหน้ากันทุกวัน
อวี่เสวียนพยักหน้าน้อยๆ ด้วยสีหน้าแดงระเรื่อผิดปกติ
“ดียิ่งนัก คุณหนูใหญ่ช่างเป็นคนจิตใจดีงามยิ่งและดีกับพวกเรามากด้วย อีกทั้งคุณหนูใหญ่ก็จิตใจกว้างขวางที่พวกเราไม่อาจเทียบได้เลย! พวกเราติดตามถูกคนแล้ว!”
ในขณะที่กำลังพูดถึงมั่วเชียนเสวี่ยนั้น ราวกับดวงหน้าของอวี่เสวียนเปล่งแสงได้อย่างไรอย่างนั้น
แรกเริ่มนางไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริงๆ ว่าสตรีที่ถูกเลี้ยงดูในห้องหับลึกจะกล้าหาญเด็ดเดี่ยวได้เพียงนี้
แม้แต่บุตรชายบุตรสาวในยุทธภพและผู้อาวุโสที่ท่องเที่ยวในหลายปี เมื่อมาอยู่ต่อหน้ามั่วเชียนเสวี่ยแล้วก็ยังเทียบได้ไม่เลย
จวนกั๋วกงมีเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้นเกิดขึ้น นางไม่ตระหนกและลนลานเลยสักนิด ซ้ำยังไม่ร้องสักแอะด้วย
น้ำตาของนางมีไว้ให้แค่ตอนที่มั่วหมัวมัวจากไปไม่กี่หยดเท่านั้น
ความดีใจของอวี่เสวียนถ่ายทอดมาสู่ชังมู่ด้วย
เขารู้จักอวี่เสวียนเป็นอย่างดี คนที่ถูกอวี่เสวียนนับถือได้จะต้องเป็นคนไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนเขาก็เคยได้สัมผัสกับความใจเย็นและสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาของคุณหนูใหญ่มาตั้งนานแล้วด้วย
บุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของมั่วกั๋วกงมีความสามารถเช่นนี้ได้ เขาย่อมปรีดาอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ดี! ดีแล้วล่ะ!”
ชังมู่ไม่รู้เหมือนกันว่าควรพูดอะไร เขาไม่ใช่คนช่างพูดช่างจา และไม่ได้ทำงานอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยจึงพูดเหตุและผลอะไรไม่ได้
ทั้งสองพลอดรักต่อกันแล้ว อวี่เสวียนถามว่า “จริงสิ! จู่ๆ พวกเจ้าก็มาเมืองหลวงมีเรื่องสำคัญอะไรรึ”
โดยปกติแล้วชาวชายแดนตะวันตกจะไม่ออกมาเจรจาหารือกับชาวจงหยวน
อีกทั้งครานี้คนที่มาก็ยังเป็นตัวแทนเผ่าที่มีตำแหน่งฐานะสูงเหมือนอย่างชังมู่ด้วย
ผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยยังมีเผ่ารั่วสุ่ย ที่ปรึกษาข้างกายบิดาของนางและคนของแม่ทัพทั้งสอง รวมถึงองครักษ์มากมายนั่นอีก
อวี่เสวียนเข้าใจว่าที่พวกเขามาในครานี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ชังมู่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
“หัวหน้าเผ่าทั้งสองกับสองแม่ทัพกองทัพตระกูลมั่วที่เฝ้ารักษาการณ์ด่านซีกวนได้รับข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูใหญ่ โทสะคุกรุ่นยากจะดับ เดาว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นบนบัลลังก์มังกรเป็นแน่ ดังนั้นจึงให้พวกเรามาเจรจา”
“เจรจาอย่างนั้นรึ” อวี่เสียนตกใจ
นี่มันเรื่องสำคัญระดับไหนกันจึงได้ใช้คำว่าเจรจาเช่นนี้
ในขณะเดียวกันนั้นเอง แม่ทัพจางก็เอ่ยถึงเจตนาในการมาครานี้ขึ้นมา
มั่วเชียนเสวี่ยก็ตกใจเหมือนกับอวี่เสวียนเช่นกัน
เป็นเพราะเรื่องไฟไหม้ที่จวนกั๋วกงในคืนนั้น หัวหน้าเผ่าทั้งสองกับแม่ทัพทั้งสองจึงได้ส่งคนมาสนับสนุนนางอย่างนั้นรึ
แม่ทัพจางพยักหน้าให้ ก่อนเอ่ยด้วยพลังเต็มเปี่ยม
“เจ้าคือเลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวของมั่วกั๋วกง และเป็นเจ้านายของกองทัพตระกูลมั่วของพวกเรา พวกเราจะปล่อยให้เจ้านายตัวเองตกอยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจได้อย่างไร”
“อีกอย่างพวกเราก็ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไร ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการทหารของกองทัพตระกูลมั่วและอำนาจทางการทหารของสองเผ่า ดังนั้นหากพวกเรายังไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยในตอนนี้แล้วจะเป็นเวลาไหนอีก”
เสียงนี้ทะลุทะลวงเสียจนทำให้แก้วหูมั่วเชียนเสวี่ยหนวกไปชั่วขณะ
ทว่าเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นแม่ทัพจางพูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาเกิดโทสะขึ้นมา สีหน้าของเขาเดือดดาล ซ้ำยังออกตัวปกป้องนางอย่างเห็นได้ชัดด้วย นางจึงไม่เคียดแค้นอะไรขึ้นมาสักนิด
คนเหล่านี้เร่งรุดเดินทางกันทั้งวันทั้งคืนมาถึงที่นี่โดยไม่กลัวลำบากก็เพื่อตนมิใช่หรือ
ถึงแม้ว่าที่พวกเขาดีกับตนจะเป็นเพราะบิดานางอย่างมั่วเทียนฟั่งก็ตาม
แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังซาบซึ้งอยู่ดี
เดิมคิดว่าจะพูดคุยอย่างสบายอกสบายใจเสียหน่อย
ทว่าในยามนี้มั่วเชียนเสวี่ยนกลับนึกถึงถ้อยคำที่หนิงเซ่าชิงบอกเล่าในกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาได้
“แม่ทัพจาง ไม่ใช่ว่าบ้านไร่แห่งนี้รังเกียจทั้งสองท่าน แต่ในเมื่อพวกเจ้ามากันแล้ว หากไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นอย่างแรกแล้วรั้งอยู่ข้างกายเชียนเสวี่ย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะอยู่ดี!”
ดังนั้นแล้ว…
“คุณหนูใหญ่มั่วพูดถูก! พวกเราจะมาเยี่ยมแต่คุณหนูใหญ่อย่างเดียวแล้วไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้”
ชังมู่ยามนี้กลับมาด้วยกันกับอวี่เสวียนแล้ว ได้ยินประโยคนี้ของมั่วเชียนเสวี่ยพอดี ก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
แม้ว่ายามนี้พวกเขาจะไม่หวาดกลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง แต่อย่างไรเสียเบื้องบนก็ยังมีราชวงศ์เทียนฉีอยู่
ตราบใดที่ยังมีราชวงศ์นี้อยู่เบื้องบน พวกเขาก็ยังคงเป็นชาวเทียนฉีอยู่
หากเรื่องที่เข้าเมืองมาแล้วไม่เข้าเฝ้าฝ่าบาทแพร่ออกไป คนอื่นคงได้คิดว่ากองทัพตระกูลมั่วกับสองเมืองนี้คิดคดกบฏเป็นแน่!
เช่นนั้นคงได้อ้างกับฝ่าบาทให้ประหารมั่วเชียนเสวี่ยทันทีแน่