สวีลิ่งอี๋มองไปที่หยางอี๋เหนียง สีหน้าของเขานั้นไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร
หยางอี๋เหนียงแอบดีใจ
หากไม่ใช่เพราะบ่าวรับใช้คนนั้นเข้ามาขัดจังหวะ เกรงว่าสถานการณ์ตอนนี้คงจะรับมือยาก
ช่วงชี้เป็นชี้ตาย แค่ชั่วพริบตาเดียวก็เพียงพอ
“ท่านโหวเจ้าคะ!” นางสงบลงสติอารมณ์ได้แล้ว ทุกคนล้วนมีความชอบส่วนตัว ในเมื่อท่าทีสุขุมสามารถทำให้เขาประทับใจ นางก็ไม่มีทางทำท่าทางเจ้าเล่ห์เช่นนั้นอีก ไม่เพียงเท่านั้น แล้วยังต้องมีท่าทียืนหยัดอีกด้วย ยิ่งสุขุมมากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถปกปิดพฤติกรรมเจ้าเล่ห์เมื่อครู่ได้มากเท่านั้น ทำให้เขาคิดว่าที่นางทำเช่นนั้นเพราะว่าใจร้อน “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนโง่เขลา แต่ข้าก็รู้หลักการของความถูกต้อง ท่านโหวลำบากใจ ข้าเองก็ไม่สบายใจ แต่ในฐานะบุตรสาว ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนและรักพี่รักน้อง ข้า…” พูดจบ นางก็สะอื้นไห้ แต่กลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง กะพริบตาให้น้ำตาค่อยๆ ซึมเข้าไปในเบ้าตา “หากครอบครัวของข้าโชคดี ได้รับความช่วยเหลือจากท่านโหว…” นางพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังและแน่วแน่ “ข้ายินดีที่จะบำเพ็ญเพียร ชดใช้ให้ท่านพ่อของข้า อธิษฐานให้ไท่ฮูหยิน ท่านโหว ฮูหยินและคุณชายน้อยคุณหนูทุกคน” พูดจบ นางก็วางมือเอาไว้ที่หน้าผากแล้วก้มหัวลงบนพื้นอิฐสีฟ้า
แต่ในใจกลับรู้สึกกระวนกระวาย
หากเป็นตัวเอง ก็คงไม่เชื่อใช่หรือไม่
ก่อนหน้านี้พยายามขอร้องให้เขาช่วย แต่ในชั่วพริบตาถัดมากลับบอกว่ายินดีบำเพ็ญเพียร… แต่บางครั้ง ก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด สกุลหยางถูกกวาดล้าง คุณนายสามสกุลถังถูกส่งไปรักษาตัวที่วัดเพราะว่าป่วย…หากนางถูกส่งไปที่วัดอีก คนอื่นจะพูดเช่นไร สกุลสวีพึ่งจะเสียอี๋เหนียงไปสองคน พวกเขาจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง?
นอกจากวิธีนี้ ตนคิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกอีกแล้ว
สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางเชื่อ
“บำเพ็ญเพียร!” เขามองดูสตรีที่คุกเข่าอยู่ใต้เท้าตัวเอง เผยยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
ในบรรดาสตรี นางถือว่าเป็นคนมีความสามารถ
แค่เวลาเพียงไม่นาน ก็คิดแผนเอาตัวรอดออก
ทันใดนั้นเอง ภาพที่สืออีเหนียงนั่งจัดดอกไม้ต้นไม้บนเตียงเตาข้างหน้าต่างก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
โชคดีที่ตอนนั้นตนไม่ให้สืออีเหนียงรับถ้วยชาคารวะนาง ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
คิดได้เช่นนี้ ก็พลันนึกถึงทางเดินที่ใช้มายังเรือนปั้นเย่ว์พั่นที่มีต้นไม้หนามขึ้นรกเต็มทางเดิน
มีโคมไฟแค่ดวงเดียว ไม่รู้ว่านางจะเห็นทางเดินหรือไม่ หากถูกหนามทิ่มเข้ามันคงไม่ดี…
ไม่รู้ว่านางมีเรื่องสำคัญอันใดกับตน?
จะว่าไปแล้ว สองสามวันนี้เขานอนอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นตลอด…พูดคุยกับนางทุกวัน จู่ๆ ก็ไม่มีนาง ตอนที่อยู่คนเดียวเขาเองก็รู้สึกว่ามันเงียบเกินไป…
คิดเช่นนี้ หัวใจของสวีลิ่งอี๋ก็เต้นแรง
หรือว่าสืออีเหนียงก็ไม่คุ้นชินเหมือนกัน…
จู่ๆ เขาก็อยากเจอสืออีเหนียง อยากรู้ว่านางมาหาเขาทำไม
แต่หยางอี๋เหนียงกลับไม่สบายใจ
นางสังเกตการเคลื่อนไหวของสวีลิ่งอี๋อยู่ตลอด ความเย้ยหยันที่ออกมาจากน้ำเสียงของเขา นางจะไม่รู้สึกได้อย่างไร
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางทำได้แค่ทำให้เขาเชื่อในความจริงใจของตัวเองเท่านั้น
หยางอี๋เหนียงกัดฟันแล้วพูดว่า “ท่านโหวเจ้าคะ ข้าเกิดที่ชนบท ไม่มีความรู้ พูดจาไม่เป็น” นางพูดด้วยจังหวะที่ช้าลง จึงทำให้ฟังดูเคร่งขรึม “แต่ว่าข้าโตมากับท่านย่า ได้รับคำสั่งสอนจากนาง ข้ารู้ว่าจะพูดจาเหลวไหลต่อหน้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ขอร้องให้ท่านโหวเห็นแก่ความจริงใจของข้า อนุญาตให้ข้าไปบำเพ็ญเพียรที่วัดด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” จากนั้นนางก็ก้มตัวลงด้วยท่าทีที่จริงใจอ่อนน้อมถ่อมตน
สวีลิ่งอี๋ได้สติกลับมา สายตาของเขามีความเย้ยหยัน เขาเลิกคิ้ว กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หลินปัวก็เข้ามาพอดี
“ท่านโหวขอรับ!” เขากระซิบข้างหูสวีลิ่งอี๋ “ฮูหยินกลับไปแล้วขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ “รู้หรือไม่ว่าทำไม”
“ไม่รู้ขอรับ” หลินปัวเหลือบมองหยางอี๋เหนียงที่กำลังเอียงหูแอบฟัง เขาจึงพูดเสียงเบาลง “ฮูหยินยืนอยู่ที่ศาลาชุนเหยี่ยนครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับไปทางเดิมขอรับ!”
กลางค่ำกลางคืน เดินมาถึงครึ่งทางแล้วก็กลับไป
เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญแน่นอน!
คิดเช่นนี้ หัวใจของเขาก็เดือดพล่านราวกับน้ำเดือด
หรือว่า เป็นเหมือนที่ตัวเองคาดเดา สืออีเหนียงแค่มาหาเขา…
ทันใดนั้นสวีลิ่งอี๋ก็รู้สึกหมดความอดทน
ในเมื่อเขาไม่ยอมรับหยางอี๋เหนียง แน่นอนว่าเขาต้องคิดวิธีจัดการหยางอี๋เหนียงเอาไว้อยู่แล้ว
หากนางยอมอยู่ที่จวนสกุลสวี ก็ส่งนางไปอยู่ที่เรือนนอก หากนางอยากออกไป คงจะออกไปอย่างเปิดเผยไม่ได้ เพราะนางคืออนุภรรยาของเขา แล้วยังหน้าตาสะสวยงดงาม อาจจะถูกคนอื่นจับตามองได้ หากนางเป็นอะไรไป เขาก็จะเสียหน้า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะช่วยนางเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่แล้วแต่งงานออกไปจากเยี่ยนจิง!
แต่ว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องของฉินอี๋เหนียง ต่อมาสืออีเหนียงก็คลอดยาก แล้วช่วงไว้ทุกข์ของไท่เฮาก็ยังไม่สิ้นสุด…เรื่องนี้จึงล่าช้า!
ตอนที่หลินปัวบอกว่าหยางอี๋เหนียงมาหาเขาเพียงลำพัง เขาคิดว่านางมาเพราะเรื่องของบิดาของนาง เขากะจะถือโอกาสนี้พูดกับนางให้ชัดเจน ให้นางเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง…
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า รู้คน รู้หน้า แต่ไม่รู้ใจ
สตรีคนนี้จะเก็บเอาไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว!
เขาครุ่นคิด จากนั้นก็ยืนขึ้น
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าไปบอกฮูหยินก่อน อีกสองวันค่อยส่งเจ้าไปบำเพ็ญเพียรที่วัด!”
“ท่านโหวเจ้าคะ!” หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ที่มองนางลงมาจากด้านบน ยืนตัวตรงแล้วเอามือไขว้หลัง มองนางด้วยสายตาที่เย็นชาและสีหน้าเคร่งขรึมท่าทางดูสูงส่ง
ทันใดนั้น นางก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า ตัวเองแสดงความโง่เขลาออกมาแล้ว!
สวีลิ่งอี๋ดูเหมือนจะอ่อนโยนกับนาง แต่เขามีจิตใจที่เข้มแข็ง
เขาหวงแหนชื่อเสียงของจวนสกุลสวี แต่เขาไม่มีทางยอมทนต่อความอับอายเพียงเพราะกลัวว่าจะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์
ทันใดนั้น จิตใจของอยางอี๋เหนียงก็สับสนอลหม่านไปหมด นางตัวสั่นขึ้นมา
แต่สวีลิ่งอี๋กลับเกียจคร้านที่จะมองนางอีก
เขาถอดเสื้อคลุมที่เปื้อนน้ำตาของนางออกแล้วโยนลงบนเก้าอี้ไท่ซือ จากนั้นก็บอกหลินปัว “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า ข้าจะออกไปดู!”
หลินปัวรีบรับใช้สวีลิ่งอี๋เข้าไปยังห้องด้านใน
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด มีแค่หยางอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเพียงลำพัง มีเพียงโคมไฟและเสื้อคลุมของสวีลิ่งอี๋ที่อยู่เป็นเพื่อน
*****
สืออีเหนียงสระผม เปลี่ยนเป็นสวมชุดอ่าวสีแดงฐานสีทองตัวใหม่แล้วไปยังเรือนหน่วนเก๋อ
จิ่นเกอราวกับกบตัวน้อย นอนหงายอยู่บนเตียงเตาคนเดียวด้วยสีหน้าที่สบายใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับมือเล็กๆ ของเขามาซุกไว้ใต้ผ้าห่ม เข้าเบ้ปากแล้วยกมือขึ้นมาไว้ข้างหัวตัวเองอีกครั้ง
แม่นมกู้อธิบายอยู่ข้างๆ “เด็กเล็กก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ โตขึ้นอีกสักหน่อย เขาก็จะเปลี่ยนท่านอนเอง”
สืออีเหนียงพยักหน้า กลัวจะทำให้ลูกตื่น นางจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ แล้วถามแม่นมกู้ที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ “ยามดึกหนาวหรือไม่”
ช่วงสองเดือนมานี้ จิ่นเกออ่อนไหวมาก หากมีคนพูดหรือพลิกตัวข้างๆ เขาจะหลับตาร้องไห้อยู่นาน สืออีเหนียงไม่มีทางเลือก จึงต้องให้เขามานอนที่เรือนหน่วนเก๋อ นอนอยู่บนเตียงเตาในเรือนหน่วนเก๋อคนเดียว วางเก้าอี้กุ้ยเฟยไว้ข้างเตียงเตาสองตัว ให้แม่นมกู้และสาวใช้ที่เฝ้ายามนอนบนเก้าอี้กุ้ยเฟย จิ่นเกอจึงนอนหลับจนถึงเช้า แต่สืออีเหนียงกลัวว่าแม่นมกู้จะไม่ชิน
“ไม่หนาวเจ้าค่ะ” แม่นมกู้รีบตอบ “ในห้องจุดสมุนไพร แม่นางจู๋เซียงก็ปูที่นอนใหม่ให้บ่าวตั้งสองผืน แล้วยังมีเสื้อคลุมหนังกระรอกอีกตัวหนึ่ง ตอนกลางคืนก็นำมาสวมได้เจ้าค่ะ ปกตินอนอยู่ใต้ห่มผ้าไม่หนาวเลยสักนิด ขยับตัวไปมาบางทียังรู้สึกร้อนเลยเจ้าค่ะ”
หงเหวินที่เป็นคนเฝ้ายามวันนี้ นางเห็นว่าผมของสืออีเหนียงยังเปียกอยู่ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวช่วยท่านเป่าผมดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าดูแลจิ่นเกอเถิด!”
พวกนางสองคนย่อเข่าคำนับแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” หงเหวินเฝ้าอยู่ข้างเตียงเตา ส่วนแม่นมกู้ไปส่งสืออีเหนียงออกจากเรือนหน่วนเก๋อ
จู๋เซียงเตรียมถาดไฟเอาไว้แล้ว
ถ่านอิ๋นซวงที่ไร้กลิ่นไร้ควันบวกกับเปลือกส้มและสมุนไพรต้นสน หลังจากเป่าผมแห้งแล้วจะไม่มีกลิ่น แล้วยังมีกลิ่นส้มและสมุนไพรต้นสนอ่อนๆ อีกด้วย
สืออีเหนียงสระผมทุกสองสามวัน บรรดาสาวใช้จึงช่วยนางเป่าผมอย่างชำนาญ เมื่อผมแห้งครึ่งหนึ่งแล้ว จู๋เซียงก็บอกให้สาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องไปหยิบหวีไม้หวงหยางมาหวีผมให้สืออีเหนียง แล้วพูดคุยกับนาง
“ผมของฮูหยินช่างสวยจังเลยเจ้าค่ะ ทั้งดำทั้งดก” น้ำเสียงของนางไม่คมชัดเหมือนหู่พั่ว แต่กลับมีความนุ่มนวล “ผมของคุณชายน้อยหกของเราก็เหมือนฮูหยินเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็หัวเราะเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ จะว่าไปแล้ว คุณชายน้อยหกของเราดวงตากลมโตเหมือนคุณชายน้อยสองและคุณชายน้อยห้า แล้วยังมีผมดกดำเหมือนคุณชายน้องสี่และคุณชายน้อยห้า…คิดดูแล้ว คุณชายน้อยหกคล้ายคลึงกับคุณชายน้อยห้ามากกว่าเจ้าค่ะ…เหมือนกับคำพูดที่ว่า ใครเลี้ยงก็หน้าเหมือนคนนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ!”
นางกำลังบอกตนว่า หากไร้ความโปรดปรานของสวีลิ่งอี๋ นางก็ยังมีบุตรชายอีกสองคนใช่หรือไม่
สืออีเหนียงพลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จู๋เซียงพาตัวเองไปที่ศาลาชุนเหยี่ยน เพราะนางดูออกใช่หรือไม่
แต่รอยยิ้มของจู๋เซียงกลับค่อยๆ จางหายไป นางคุกเข่าลงบนพื้นแล้วซบหน้าลงบนเข่าของสืออีเหนียง “ฮูหยิน ลูกแกะคุกเข่าทานนมแม่แกะ ลูกอีกายังรู้จักกตัญญูต่อแม่มันเอง เราดีกับคุณชายน้อยห้าเหมือนคุณชายน้อยหก หากคุณชายน้อยห้าโตขึ้นก็คงจะสนิทสนมกับคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ”
นางอยากช่วยจิ่นเกอตีสนิทกับสวีซื่อเจี้ยอย่างนั้นหรือ!
สืออีเหนียงลูบผมจู๋เซียงเบาๆ “มีพวกเจ้าคอยอยู่ข้างๆ ข้าจะกังวลอะไร!”
จู๋เซียงเงยหน้าขึ้น ฉับพลันน้ำตาก็คลอเบ้า ไม่รู้จะตอบอะไร
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตกใจ
เรือนปั้นเย่ว์พั่นเป็นเหมือนค่ายทหารของสวีลิ่งอี๋ ไม่ว่ามันจะดูเรียบง่ายแค่ไหนแต่ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เขากลับมาตอนนี้ คงจะรู้แล้วว่านางไปหาเขามา…
จู๋เซียงรีบหยิบกล่องเครื่องประดับออกมา
คงจะหวีผมไม่ทันแล้ว แต่สวมต่างหูหน่อยก็ดี!
“ไม่จำเป็น!” สืออีเหนียงม้วนผมง่ายๆ “ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว!”
มือของจู๋เซียงหยุดชะงัก สายตาของนางมีรอยยิ้ม ยังคงพูดโน้มน้าวให้สืออีเหนียงสวมต่างหูดอกติงเซียงคู่เล็กๆ
ถึงแม้ว่าฮูหยินจะผ่ายผอม แต่ระดูของนางก็มาตรงเวลา…
นางรีบเดินไปเปิดม่าน จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
จู๋เซียงยกชาเข้ามาก่อนจะเดินออกไปแล้วปิดประตูอย่างเบามือเบาเท้า
*****
“ท่านโหวทำธุระเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงนั่งลงบนเตียงเตาตรงข้ามสวีลิ่งอี๋ นางยิ้มแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋เหมือนปกติ “ทานข้าวเย็นแล้วหรือยัง เรียกสาวใช้เข้ามารับใช้ท่านอาบน้ำดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วมองไปที่สืออีเหนียงที่มีท่าทีนิ่งสงบ นึกถึงนิสัยของนาง เขาก็เข้าใจในทันที เขาพูด “ข้าได้ยินหลินปัวบอกว่า เมื่อครู่เจ้าไปศาลาชุนเหยี่ยน กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ เจ้าไปทำอะไรที่ศาลาชุนเหยี่ยน”
เขารู้ว่าเป้าหมายของนางคือเรือนปั้นเย่ว์พั่นจึงถามเช่นนี้? หรือว่าเป็นเหมือนที่เขาพูดจริงๆ แค่สนใจในความแปลกไปของนาง?
แต่ไม่ว่าอย่างไร หากจะทำให้สืออีเหนียงยอมรับความตื่นตระหนกของตัวเอง นางไม่มีทางพูดออกมาอย่างแน่นอน
ดังนั้น นางจึงคิดคำตอบเอาไว้ตั้งนานแล้ว
“เดิมทีอยากไปหาท่านโหว แต่นึกขึ้นได้ว่าหยางอี๋เหนียงอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น จึงกลับมาก่อนเจ้าค่ะ!”