ที่พวกเขามาครานี้ก็เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับมั่วเชียนเสวี่ย หาใช่เพื่อให้นางแบกรับโทษอันไร้เหตุผลนั่น!
ดังนั้นจึงจำต้องเข้าวัง!
แม่ทัพจางไม่อินังขังขอบมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้ยินชังมู่เอ่ยเช่นนี้ก็พลันไม่เห็นด้วยทันที
“ในเมื่อฮ่องเต้เฒ่าทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้ พวกเราจะข่มอำนาจเสียหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่!”
มั่วเชียนเสวี่ยพินิจมองแม่ทัพจางอย่างเงียบๆ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนนิสัยมุทะลุเช่นนี้มานั่งตำแหน่งแม่ทัพที่กุมอำนาจเป็นตายของทหารไว้ในมือเช่นนี้ได้อย่างไร!
สงสัยจริงๆ ว่าตอนที่เขาเข้าสู่สนามรบกับข้าศึกจะยืนกรานจะฆ่าจะตีเพราะอุบายอันน้อยนิดของข้าศึกโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของกองทัพทั้งหมดหรือไม่
ชังมู่กับอวี่เสวียนต่างชินกับแม่ทัพจางแล้ว
พวกเขาต่างรู้ว่าเขาเป็นคนมุทะลุเช่นนี้ ยามนี้มาได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ทำเพียงยิ้มอย่างจนใจเท่านั้น
แม่ทัพจางเป็นคนเสียงดังโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นิสัยก็ใจร้อนเช่นนี้ตั้งแต่เกิด ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนเขาไม่ได้
“แม่ทัพจาง พวกเราเก็บข้าวเก็บของไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกันเถิด ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ยังเป็นชาวเทียนฉีนะ”
ถ้อยคำของชังมู่มีเหตุผล แม่ทัพจางพึมพำพร่ำบ่นอะไรบางอย่างที่ทุกคนต่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็ยังอะลุ่มอล่วยให้ ตอบตกลงว่าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท
เขามาที่นี่เดิมทีก็ได้รับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพตระกูลมั่วสองนายให้ไปเจรจากับฝ่าบาทอยู่แล้ว แต่แค่ไม่อยากไปก็เท่านั้น จึงได้บ่นไปเช่นนี้
อวี่เสวียนยังคงกังวลใจอยู่ดี
อย่างไรเสียยามนี้ฝ่าบาทกับจวนกั๋วกงก็แตกหักกันเข้าหน้ากันไม่ติดแล้ว
เรื่องบางเรื่องจึงไม่เหมาะจะเจรจากัน
“แล้วพวกเจ้าต้องเตรียมตัวเข้าวังหรือไม่” ทุกคนต่างเข้าใจในความหมายของประโยคนี้ มั่วเชียนเสวี่ยแสดงออกระมัดระวังต่อเรื่องนี้เช่นกัน
อย่างไรเสียชีวิตพวกเขาก็สำคัญที่สุด
“เตรียมตัวก่อนดีกว่า ยื่นฎีกาขึ้นไปค่อยเข้าวังเข้าเฝ้าก็แล้วกัน หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้นมาคงจะมีแต่เสียมากกว่าได้”
อันที่จริงชังมู่ก็ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
อย่างไรเสียฮ่องเต้สามารถลงมือกับจวนกั๋วกงได้ก็คงจะมาถึงจุดหนึ่งของความปรารถนาที่เติบโตขึ้นมากแล้ว! ยามนี้ถือว่าพวกเขาเป็นทูตของชายแดนตะวันตก และชายแดนตะวันตกก็เป็นเมืองที่จงรักภักดีต่อมั่วกั๋วกง
มีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมเห็นชายแดนตะวันตกเป็นขวากหนามในสายตาอยู่แล้ว
ชังมู่เม้มปากเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงได้เอ่ยกับทุกคนว่า “เอาอย่างนี้ พวกเราแอบจัดระเบียบกันเสียหน่อย แบบนี้จะได้ไม่ถึงกับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างไม่รู้เรื่องรู้ความ”
“จะกลัวอะไร! หรือฮ่องเต้เฒ่าจะทำอะไรพวกเราได้อย่างนั้นรึ เจ้าก็รู้ว่าที่พวกเราเข้าเมืองหลวงครานี้ แม้ว่าจะไม่ได้เอิกเกริกใหญ่โตจนทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ แต่คนที่ควรรู้ก็รู้กันพอสมควรแล้ว! ฮ่องเต้ไม่มีทางเสี่ยงจัดการพวกเราเช่นนี้หรอก! สองแคว้นยังไม่ได้ทำสงครามกัน ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้เฒ่าเรียกพวกเราแม่ทัพกับหัวหน้าเผ่าสองเผ่าเข้าเฝ้านานมาก”
อย่าคิดว่าก่อนหน้านี้แม่ทัพจางดูเหมือนจะหยาบกระด้าง แต่เพราะประโยคนี้ของเขากลับทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจในตัวตนของเขามากขึ้น
นี่มันคือคนที่ใครๆ เขาก็เรียกว่าคนฉลาดมีความสามารถมักไม่แสดงตนออกมานี่นา
แม้ว่าดูแล้วจะหยาบกระด้างมาก แต่ความจริงแล้วเขากลับฉลาดกว่าคนทั่วไปเสียอีก
“แม่ทัพจางพูดได้มีเหตุผลนัก!” มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าและรู้สึกว่าที่แม่ทัพจางพูดมานั้นถูกต้อง
ฮ่องเต้ไม่มีทางเสี่ยงแตกหักกับตระกูลใหญ่ของแผ่นดินโดยการฆ่าทูตชายแดนตะวันตกที่เดินทางมาหรอก
ต่อให้ฮ่องเต้อยากจะทำ ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงเหล่านั้นก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี
เพราะชายแดนตะวันตกถือว่าเป็นเกราะป้องกันของเทียนฉี มีพวกเขาอยู่ก็สามารถปกป้องเทียนฉีไปได้นับพันๆ ปี ปกป้องบรรดาชนชั้นสูงทั้งหลายให้เปรมปรีดิ์ แต่หากไม่มีพวกเขา…
แต่หากไม่มีพวกเขา ถ้าอย่างนั้นพวกนั้นจะใช้ชีวิตกันอย่างไร
ชังมู่กับอวี่เสวียนก็เข้าใจในจุดนี้กันในทันที พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
ทุกคนจัดระเบียบกันอย่างเงียบๆ ก่อนจะออกเดินทางอย่างเต็มยศ
อันที่จริงก็มีกันแค่ไม่กี่คน นับรวมชังมู่กับแม่ทัพจางสองคนไปด้วย ทูตแท้ๆ มีทั้งหมดแค่สี่คนเท่านั้น
แน่นอนว่านี่คือในที่แจ้ง ในที่ลับมีผู้ที่ติดตามมาด้วยอีก ซึ่งไม่จำเป็นต้องนับรวมเข้าไปด้วย
ชังมู่พาทุกคนควบม้าเร็วเพิ่มบังเหียนเข้าไปในเมืองเพื่อยื่นฎีกาถวายให้ฝ่าบาท
ฮ่องเต้ได้ยินขันทีรายงานว่าทูตชายแดนตะวันตกมาถึงแล้ว ก็เอาฎีกาทูลขอเข้าเฝ้ามาอ่านแวบหนึ่ง แล้วโยนไปอีกด้าน
ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากชายแดนตะวันตกมายังเมืองหลวงหนทางยาวไกลยิ่งนัก เร่งเดินทางก็ต้องมีครึ่งเดือนกว่าจะถึง แต่พวกเขาออกเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงยังไม่ถึงสิบวันด้วยซ้ำ
ชาวชายแดนตะวันตกรีบร้อนกันมาเช่นนี้ หรือว่าจะไม่ใช่เพราะทวงคืนป้ายไม้ดำในมือมั่วเชียนเสวี่ย แต่เป็นหนุนหลังให้นางแทน
ฮ่องเต้อดใจกระตุกไม่ได้
เหตุใดจึงเอาแต่รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างกันหนอ
ทว่า ในขณะนั้นเอง…
เหมือนว่าลู่กงกงจะได้รับข่าวลับบางอย่างมาอีก
เขากระซิบข้างหูฮ่องเต้ว่า “เมื่อครู่หน่วยสอดแนมมารายงานว่าพวกชายแดนตะวันตกมาถึงเมืองหลวงแล้วกลับไม่เข้าเมือง แต่ไปที่บ้านไร่ของมั่วเชียนเสวี่ยก่อน แอบเจราจากันลับๆ กับมั่วเชียนเสวี่ย จากนั้นจึงได้ตรงเข้าเมืองหลวง ยื่นฎีกาขอเข้าเฝ้า…”
ปั้ง เสียงฮ่องเต้ทุบโต๊ะดังสนั่น
เข้าเมืองหลวงไม่มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่กลับไปหาสตรีนางหนึ่งก่อน!
นี่พวกชายแดนตะวันตกคิดจะกบฏหรือไร
หรือว่าในใจขของพวกชายแดนตะวันตก ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้อย่างพระองค์ไม่สลักสำคัญเท่ามั่วเชียนเสวี่ยอย่างนั้นรึ
ฮ่องเต้เดือดดาลขึ้นมา
ก่อนจะไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจจะพบพวกชายแดนตะวันตกที่เดินทางมา
อย่างไรเสียกองทัพหลายแสนนายที่พวกเขาชายแดนตะวันตกเลี้ยงไว้ก็ไม่ใช่เล่นๆ
หากอยากจะควบคุมชายแดนตะวันตก ชายแดนตะวันตกมากันครานี้ช่างเป็นโอกาสทองที่จะเจราจาหารือกันตรงๆ
พระองค์อยากจะดูซีว่าพวกชายแดนตะวันตกเหล่านี้มีกันกี่หัวที่กล้าไม่เคารพพระองค์
ทว่า ต่อให้จะอนุญาตให้เข้าเฝ้า แต่ก็ไม่ใช่ยามนี้
ฮ่องเต้ก็มีความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดอยากจะเข้าเฝ้าก็เข้าเฝ้าได้
ควรประวิงไว้เสียหน่อย
ฮ่องเต้ที่ปรับอารมณ์ตัวเองเรียบร้อยก็ดื่มชาคำหนึ่ง แล้วสั่งการว่า “จัดให้พวกเขาพักที่หอพักม้าก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้เข้าเฝ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีอย่างลู่กงกงติดตามฝ่าบาทมานานหลายปี จึงพอจะเดาความคิดของฝ่าบาทได้อยู่บ้าง
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยส่งชังมู่กับแม่ทัพจางไปวังหลวงแล้ว ในบ้านไร่ก็มีแขกอีกสองรายที่มาหา
ผู้มาเยือนคือเฟิงอวี้เฉินกับหลันรั่วเมิ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยพาคนออกไปต้อนรับทั้งคู่ที่เรือนเสวี่ยหว่าน
แต่นางกลับคาดไม่ถึงเลยว่าเฟิงอวี้เฉินกับหลันรั่วเมิ่งจะมาหานางด้วยกัน
เรือนเสวี่ยหว่านแห่งนี้ไม่รับแขกนอก แต่เฟิงอวี้เฉินเป็นคนที่นางนับถือเป็นพี่ใหญ่ หลันรั่วเมิ่งก็เป็นสหายที่ดีของนาง และเป็นคนที่นางหมายตาอยากให้มาเป็นอาซ้อใหญ่ด้วย ย่อมไม่ใช่คนนอกอะไรอยู่แล้ว